วันอาทิตย์ที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2568

เลี้ยงลูกให้แกร่ง… อย่างนกอินทรี

🦅 เลี้ยงลูกให้แกร่ง… อย่างนกอินทรี ✨
นกอินทรีเป็นพ่อแม่ที่สอนลูกให้ "แกร่ง" และ "เอาตัวรอด" ได้ตั้งแต่เกิด 🦅
พวกมันไม่ได้เลี้ยงลูกให้อยู่ใน "รังที่สบายตลอดไป" แต่เตรียมลูกให้พร้อมเผชิญโลกกว้าง 🌎
🔹 วิธีเลี้ยงลูกของพ่อแม่นกอินทรี 🔹
1️⃣ สร้างรังอย่างมั่นคง 
พ่อแม่นกช่วยกันทำรังด้วย แผ่นหิน กิ่งไม้ หนาม และขนนก
ชั้นสุดท้ายคือขนนุ่ม ๆ ให้ลูกนอนสบาย
2️⃣ เมื่อโตขึ้น… แม่ค่อย ๆ ทำให้รังไม่น่าอยู่ 
เอาขนนุ่ม ๆ ออก → ลูกต้องนอนบนใบไม้แข็ง ๆ
เอาใบไม้ออก → ลูกต้องทนหนามแหลม
เอาหนามออก → ต้องทรงตัวอยู่บนกิ่งไม้
สุดท้าย… เอาหินออก เหลือแค่กิ่งไม้ ไม่มีที่ให้อยู่สบายอีกต่อไป
3️⃣ ฝึกให้บิน แม้ยังบินไม่ได้ ✈️
แม่นกจับลูกไปที่สูง… แล้ว ปล่อยลงมา 
ลูกนกพยายามกางปีก แต่บินไม่เป็น
ก่อนตกถึงพื้น… แม่จะคว้าขึ้นไปปล่อยใหม่ 
ทำแบบนี้ซ้ำ ๆ จนลูกนกเริ่มบินได้เอง
4️⃣ ฝึกหากินเอง จนเอาตัวรอดได้ 
เมื่อบินได้แล้ว… พ่อแม่พาออกหากินทุกวัน
พอถึงจุดหนึ่ง พ่อแม่นกก็จากไป… ไม่กลับมาอีก
เพราะพวกมันรู้ว่า ลูกต้องอยู่ได้ด้วยตัวเอง! 
💡 ข้อคิดจากนกอินทรี 🦅
✅ อย่าทำให้ลูก "สบาย" ตลอดไป 
เด็กที่เติบโตมาแต่ในความสะดวกสบาย จะอ่อนแอเมื่อเจอโลกจริง
การสอนให้ลูกช่วยเหลือตัวเอง คือ ของขวัญที่ดีที่สุด 🎁
✅ สอนให้ลูกเผชิญปัญหา ตั้งแต่ยังเล็ก 
ค่อย ๆ ให้ลูกเจอกับความท้าทายทีละนิด
เพราะโลกความจริง… ไม่ได้มีพ่อแม่คอยปกป้องตลอดไป
✅ พ่อแม่จากไป ลูกต้องอยู่รอด 
ไม่มีใครอยู่ตลอดไป… วันหนึ่งเราจะจากไป
สิ่งสำคัญคือ ลูกต้องเอาตัวรอดได้ แม้ไม่มีเรา
🚫 อย่าเลี้ยงลูกแบบ "นกกระจาบ" 🐦
🐦 นกกระจาบสร้างรังใหญ่ อยู่รวมกันเป็นฝูงตลอดชีวิต
🐦 ไปไหนก็ไปเป็นขบวน… ไม่สามารถอยู่ตัวคนเดียวได้
🐦 เวลาตกใจ วิ่งแตกตื่น… ไม่มีการควบคุมตัวเอง
 ลูกที่ถูกเลี้ยงแบบ "นกกระจาบ" มักอ่อนแอ
❌ ต้องพึ่งพาคนอื่นตลอด
❌ เจอปัญหาแล้วตื่นตระหนก
❌ ไม่มีความกล้า… ไม่อดทน
🧑‍🏫 สรุปข้อคิด:
 จงเลี้ยงลูกให้เป็น "นกอินทรี" ไม่ใช่ "นกกระจาบ"
ให้ลูกรู้จัก "ความลำบาก" ตั้งแต่เด็ก 
ฝึกให้ลูกช่วยตัวเอง… ไม่ใช่พึ่งพาพ่อแม่ตลอด 
ปล่อยให้ลูกรู้จักแก้ปัญหาเอง ไม่ใช่แก้ให้ทุกเรื่อง 
เมื่อถึงวันหนึ่ง… ลูกจะบินได้เอง ไม่ต้องรอให้ใครมาจับมือพาไป ✈️
🖐️ "อย่าให้ลูกอยู่ในรังที่สบายตลอดไป… เพราะโลกความจริงไม่มีที่ให้อยู่แบบนั้น" ❤️

เรียบเรียง โดย #ฟังนะ

"ข อ ง ดี มี อ ยู่ กั บ ตั ว"



🍀ของดีมีอยู่กับตัวเราทุกคน ก็พากันปฏิบัติเอาทำเอา เมื่อเวลาตายแล้วจึงวุ่นวายหานิมนต์พระมากุสลามาติกา ไม่ใช่เกาถูกที่คัน ต้องรีบแก้เสียบัดนี้ คือ "เร่งทำความดีแต่บัดนี้"

จะได้หายห่วงอะไร ๆ ที่เป็นสมบัติของโลก มิใช่สมบัติอันแท้จริงของเรา ตัวจริงไม่มีใครเหลียวแล สมบัติในโลกเราแสวงหามา หามาทุจริตก็เป็นไฟเผา เผาตัวทำให้ฉิบหายได้จริง ๆ

 "ข้อนี้ขึ้นอยู่กับความฉลาดและความโง่เขลาของผู้แสวงหาแต่ละราย"

🍀ท่านผู้พ้นทุกข์ไปด้วยความอุตส่าห์สร้างความดีใส่ตน จนกลายเป็นสรณะของพวกเรา

 "ท่านไม่เคยมีสมบัติเงินทอง เครื่องหวงแหน" เป็นคนร่ำรวย สวยงามเฉพาะสมัย จึงพากันรัก พากันห่วง จนไม่รู้จักเป็นรู้จักตาย

"สำคัญตนว่าจะไม่ตายและพากันประมาทจนลืมตัว"

 เพลิดเพลินตักตวงเอาแต่สิ่งไม่เป็นท่าใส่ตนแทบหาบไม่ไหว 
.
.
โอวาทธรรมคำสอนของหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
.
ที่มาของบทความ: คัดมาจาก "ของดีมีอยู่กับตัว"หลวงปู่มั่น ภูริทัตตมหาเถระ นิตยสารธรรมจักษุ ปีที่ ๘๒ ฉบับที่ ๒ พฤศจิกายน ๒๕๔๐
.
ทานานํ ยทิทํ ธมฺมทานํ เอตทคฺคํ
ธรรมทานเลิศกว่าทานทั้งหลาย

 Cr. fbพระคุณเจ้า~Nirasho Bhikkhu~
.
..........................................
หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต

การเสริมสร้างวินัยนักเรียนในสถานศึกษา

#หนังสือดีแนะนำคุณครูเข้าไปอ่านฟรี 📕 หนังสือ ❝ คู่มือ การเสริมสร้างวินัยนักเรียนในสถานศึกษาระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน ด้านการปฏิบัติตามระเบียบ กฎเกณฑ์ รู้จักกาลเทศะและเคารพสิทธิผู้อื่น ❞ โดย สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ
👉 อ่าน / ดาวน์โหลดฟรี ที่ https://backoffice.onec.go.th/uploads/Book/1690-file.pdf

🙏 ขอบพระคุณหนังสือคู่มือดีๆ จากสำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ

วันเสาร์ที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2568

#อาการของเด็กที่ใช้หน้าจอเยอะเกินไป

พ่อโต้งขอเล่า #อาการของเด็กที่ใช้หน้าจอเยอะเกินไป จนไม่มีสมาธิและทำสิ่งที่น่าเบื่อนานๆ ไม่ได้ พร้อมกับคำอธิบายแบบเข้าใจง่าย ช้าๆ ชัดๆ นะครับ
อาการที่ 1️⃣ สมาธิสั้น อยู่กับอะไรนานๆ ไม่ได้

▪️ฟังครูแค่ 5–10 นาทีก็เริ่มหันไปมองรอบตัว ในวัยที่ควรนิ่งได้แล้ว
▪️อ่านหนังสือยังไม่ถึงหน้าแรกก็ลุกไปหาอย่างอื่นทำ
▪️เปลี่ยนกิจกรรมบ่อย ทำอะไรไม่เสร็จสักอย่าง

 🧠 เพราะสมองคุ้นกับการเปลี่ยนสิ่งเร้าเร็วๆ จากหน้าจอ

อาการที่ 2️⃣ ไม่มีความอดทน  เบื่อง่าย หงุดหงิดง่าย

▪️เจอบทเรียนยากๆ หรือช้าๆ จะบ่นว่า "น่าเบื่อ"
▪️ถ้าไม่ได้ดูหน้าจอ จะหงุดหงิดหรืองอแง
▪️ไม่อยากรอ ไม่อยากทำซ้ำ ไม่อยากเริ่มใหม่

 ❗ เพราะโดพามีนจากหน้าจอทำให้เด็กคาดหวัง “ความสนุก” ตลอดเวลา

อาการที่ 3️⃣ อ่านหนังสือไม่เข้าใจ  แค่มองผ่าน แต่ไม่ซึมซับ  ไม่เข้าหัว

▪️อ่านไปเหมือนดูผ่านๆ ไม่รู้ว่าเนื้อหาคืออะไร
▪️ไม่สามารถจำหรืออธิบายสิ่งที่อ่านได้
▪️ข้ามบรรทัดหรือรีบอ่านให้จบโดยไม่เข้าใจ

📱 เพราะสมองเคยชินกับภาพเคลื่อนไหวและเสียง ไม่ชินกับตัวหนังสือเรียบๆ เงียบๆ

อาการที่ 4️⃣ ใจลอย ตัวอยู่ตรงนี้แต่ใจไปที่อื่น

▪️เวลานั่งเรียนเหมือนร่างกายอยู่แต่ใจไม่อยู่
▪️คิดถึงเกม มือถือ หรือยูทูบอยู่ตลอดเวลา
▪️ชอบวาดรูป เขียนเล่น หรือกดปากกาไปมา

😶 เพราะสมองไม่สามารถโฟกัสสิ่งที่ไม่มีการกระตุ้นสูงได้

อาการที่ 5️⃣ ร่างกายอยู่นิ่งไม่ได้จะกระสับกระส่าย

▪️นั่งไม่ติดที่ ขยับตลอดเวลา
▪️ลุก เดิน ยืดตัว หมุนเก้าอี้ ทั้งที่เรียนอยู่
▪️บางครั้งมีพฤติกรรมเหมือน ADHD (แม้จะไม่ได้เป็นจริงๆ)

🚨 เกิดจากการเสพสิ่งกระตุ้นตลอดเวลา ทำให้ร่างกายต้องเคลื่อนไหวเพื่อไม่ให้เบื่อ

อาการที่ 6️⃣ พูดเร็ว คิดไว แต่คิดวิเคราะห์ไม่เป็น

▪️เด็กบางคนจะพูดเก่ง ตอบไว
▪️แต่ถ้าให้วิเคราะห์ คิดต่อยอด หรืออธิบายเหตุผล จะทำไม่ได้
▪️ขาดความสามารถในการคิดเชื่อมโยง เพราะเคยชินกับข้อมูลสั้นๆ เร็วๆ

💡 สะท้อนว่าการใช้หน้าจอแบบสั้นๆ เช่น คลิปสั้น ทำลายการคิดแบบลึกซึ้ง

อาการที่ 7️⃣  นอนหลับยาก เหนื่อยง่าย อารมณ์ไม่คงที่

▪️สมองตื่นตัวเกินไปเพราะโดนแสงฟ้าและภาพกระตุ้น
▪️ส่งผลให้นอนหลับยาก พอหลับไม่เต็มอิ่ม
▪️ทำให้เด็กง่วงตอนกลางวัน หงุดหงิดง่าย อารมณ์แปรปรวน

😴 ร่างกายไม่ได้พักจริงๆ เพราะสมองทำงานตลอดเวลา

เมื่อเราทราบอาการแล้ว ต่อไปพ่อโต้งจะอธิบายช้าๆ ชัดๆ เพื่อให้เข้าใจง่ายๆว่า… #ทำไมเด็กที่ใช้หน้าจอเยอะๆ ถึงไม่มีสมาธิในการเรียนหรืออ่านหนังสือนานๆ 

🔴 เพราะสมองของเด็กถูกกระตุ้นมากเกินไป

หน้าจอ เช่น มือถือ แท็บเล็ต หรือเกมออนไลน์
จะเปลี่ยนภาพ เสียง และข้อมูล "เร็วมาก"
ทำให้สมองคุ้นเคยกับ "สิ่งเร้าที่เร็วและตื่นเต้น"

เมื่อถึงเวลาที่ต้อง อ่านหนังสือ หรือฟังครูพูด
สิ่งเหล่านั้นดู “ช้า” และ “น่าเบื่อ” สำหรับสมอง
เพราะไม่มีอะไรเปลี่ยนเร็วๆ หรือสนุกเหมือนหน้าจอ

 ❗ เปรียบเทียบง่ายๆ นะครับ 
ถ้ากินอาหารเผ็ดจัดตลอดเวลา พอมากินรสจืดก็จะรู้สึกว่า "ไม่อร่อย"
สมองก็เช่นกัน ถ้าชินกับสิ่งเร้าเร็วๆ จะทนสิ่งที่ช้าหรือเงียบไม่ได้

🔵 เพราะระบบสมาธิในสมองแย่ลงหรือเด็กบางคนถึงขั้นพัง 

การใช้งานหน้าจอมากเกินไป (โดยเฉพาะสื่อที่เปลี่ยนเร็วๆ เช่น TikTok หรือ YouTube Shorts)
จะทำให้ "วงจรสมาธิ" ในสมองอ่อนแอ

สมาธิ คือ ความสามารถในการ "โฟกัสกับสิ่งเดิม" นานๆ แต่หน้าจอสอนสมองให้ "เปลี่ยนสิ่งที่ดู" ตลอดเวลา  พอมาอ่านหนังสือหรือเรียนในห้อง สมองจึง "ทนไม่ได้"

 🔄 หน้าจอ = เปลี่ยนไปเรื่อยๆ → สมองชอบเปลี่ยน
📘 การเรียน = อยู่กับสิ่งเดิม → สมองเบื่อ

🟣 เพราะฮอร์โมนโดพามีน ที่เป็นสารเคมีที่หลั่งออกมาจากสมองเวลาที่เรา รู้สึกดี, สนุก, ตื่นเต้น, หรือ ได้รางวัล ......  มันหลั่งมากเกินไป 

เปรียบเทียบให้เห็นภาพง่ายๆ

😆เวลาเด็กเล่นเกมแล้วชนะ → สมองหลั่งโดพามีน → "รู้สึกฟิน"

😁เวลาได้ไลก์จากโพสต์ → โดพามีนหลั่ง → "รู้สึกภูมิใจ"

😃เวลาเปิดคลิป TikTok ใหม่ → โดพามีนหลั่งทันที → "อยากดูอีก"

 💥 โดพามีน = ฮอร์โมนที่ทำให้เรารู้สึกว่า “เอาอีก!”

แต่เมื่อไปทำอะไรที่ไม่มีรางวัลทันที เช่น อ่านหนังสือ หรือทำการบ้าน
สมองจะรู้สึกว่า “ไม่สนุก” “ไม่มีแรงจูงใจ”
เพราะมันไม่ได้รางวัลเร็วแบบที่เคยได้จากหน้าจอ

⚫️ เพราะหน้าจอลดทักษะการอดทนต่อความเบื่อ (Boredom Tolerance)

เด็กที่ใช้หน้าจอบ่อย จะไม่เคยฝึก "การอดทนต่อความเบื่อ" แต่การเรียน การอ่าน หรือการทำงานในชีวิตจริง ล้วนต้องใช้ความอดทน และมีช่วงที่ "น่าเบื่อ"

ถ้าเด็กไม่เคยฝึกสิ่งนี้ เขาจะลุกหนี หยุด หรือขอเปลี่ยนกิจกรรมทันที ทำให้ ขาดความอดทน และ ทำอะไรต่อเนื่องไม่ได้

✅️ ดังนั้นเมื่อรู้อย่างนี้แล้ว  ถ้าเราอยากให้เด็กมีสมาธิดีขึ้น ถอนพิษโดพามีนของหน้าจอจากสมองลูก ควรทำอย่างไร?

#จำกัดเวลาใช้หน้าจอ เช่น ไม่เกินวันละ 1–2 ชั่วโมง

#ให้เด็กมีเวลาว่างจริงๆโดยไม่ต้องดูจอ เช่น เล่นของเล่น อ่านหนังสือ วิ่งเล่น

#ฝึกให้ทำสิ่งเดิมนานๆทีละนิด เช่น อ่าน 5 นาที แล้วค่อยๆ เพิ่ม

#ใช้เวลาอยู่ร่วมกันแบบไม่มีหน้าจอ เช่น เล่นกระดาน อ่านนิทาน ทำอาหารด้วยกัน

และ #สร้างความสุขจากกระบวนการ  ค่อยๆสร้าง ค่อยๆทำ รอความสำเร็จ ไม่ใช่จาก “รางวัลทันที" นะครับ 😊

#ดีต่อลูก #หน้าจอ

รถไฟฟ้าโซลาร์เซลล์ อาจเป็นจริง


.
ทีมนักวิจัยจาก Martin Luther University Halle-Wittenberg ในเยอรมนี ได้เปิดตัวเทคโนโลยีพลังงานแสงอาทิตย์ใหม่ ซึ่งสามารถเพิ่มการผลิตกระแสไฟฟ้าจากแสงได้สูงขึ้นถึง 1,000 เท่า 
.
นวัตกรรมนี้อาจทำให้ แผงโซลาร์เซลล์ ในอนาคตมีประสิทธิภาพสูงขึ้นและมีขนาดเล็กลงอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
.
นวัตกรรมวัสดุโซลาร์เซลล์ยุคใหม่
การค้นพบนี้เกิดจากการนำผลึกคริสตัลต่างชนิดมาซ้อนกันเป็นชั้นบางพิเศษ โดยมีวัสดุหลักคือ แบเรียมไททาเนต (BaTiO3​) ซึ่งเป็นวัสดุที่เปลี่ยนแสงเป็นไฟฟ้าได้ แต่นักวิจัยพบว่าเมื่อนำมาสร้างเป็นโครงสร้างสลับชั้นกับวัสดุอื่นอีก 2 ชนิด จะเกิดปรากฏการณ์ที่ทำให้ประสิทธิภาพพุ่งสูงขึ้นอย่างมหาศาล
.
Dr. Akash Bhatnagar ผู้นำทีมวิจัยอธิบายว่า การสลับชั้นของวัสดุที่มีคุณสมบัติต่างกัน ทำให้โครงสร้างโดยรวมสามารถดูดซับแสงและปล่อยให้อิเล็กตรอนไหลผ่านได้ง่ายขึ้นอย่างมหาศาล
.
จากการทดลองฉายแสงเลเซอร์ไปยังวัสดุใหม่นี้ พบว่าสามารถสร้างกระแสไฟฟ้าได้แรงกว่าการใช้ แบเรียมไททาเนตบริสุทธิ์ในความหนาเท่ากันถึง 1,000 เท่า ทั้งที่ใช้วัสดุหลักน้อยลงถึง 2 ใน 3 และยังมีความเสถียรยาวนานเกือบ 6 เดือน
ความสำเร็จครั้งนี้มีนัยสำคัญต่ออุตสาหกรรม พลังงานสะอาด อย่างยิ่ง เพราะจะนำไปสู่
.
แผงโซลาร์เซลล์ประสิทธิภาพสูง ผลิตไฟได้มากขึ้นในพื้นที่เท่าเดิม
ขนาดกะทัดรัด ประหยัดพื้นที่ เหมาะอย่างยิ่งกับการติดตั้งในเมืองหรือบนอุปกรณ์ขนาดเล็ก
ความทนทานและต้นทุนการผลิต โดยวัสดุมีความทนทานสูงและผลิตง่ายกว่าเซลล์แสงอาทิตย์แบบซิลิคอนในปัจจุบัน
.
แม้จะต้องมีการวิจัยเพิ่มเติมเพื่อทำความเข้าใจกลไกอย่างสมบูรณ์ แต่การค้นพบเทคโนโลยีโซลาร์เซลล์ใหม่นี้ ก็ได้เปิดประตูสู่อนาคตที่มนุษย์จะสามารถใช้ประโยชน์จาก พลังงานแสงอาทิตย์ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพและยั่งยืนยิ่งขึ้นครับ
.
ที่มา
https://www.techhub.in.th/scientists-discover-new-solar-cell-technology-that-increases-efficiency-by-1000-times/
.
#TechhubUpdate #Solarcell 
.
——————
 ติดตามอัปเดตข่าวไอที How To , Tips เทคนิคใหม่ ๆ ได้ทุกวัน
ค้นหาข่าวที่อยู่ในความสนใจได้ที่ >> www.techhub.in.th

คำศัพท์ภาษาอังกฤษเกี่ยวกับการบอกทาง พร้อม คำอ่าน และ คำแปล:

🚞คำศัพท์พื้นฐานเกี่ยวกับการบอกทาง🚉
Turn left : เทิร์น เลฟท์ : เลี้ยวซ้าย
Turn right : เทิร์น ไรท์ : เลี้ยวขวา
Go straight : โก สเตรท : ตรงไป
Cross the road : ครอส เดอะ โรด : ข้ามถนน
Intersection : อิน-เทอร์-เซค-ชัน : สี่แยก
Traffic light : แทรฟ-ฟิก ไลท์ : ไฟจราจร
Roundabout : เรา-นดะ-เบาท์ : วงเวียน
Corner : คอร์-เนอร์ : มุมถนน
Street : สตรีท : ถนน
Avenue : แอฟ-เว-นิว : ถนนใหญ่
Lane : เลน : ซอย
Block : บลอค : ช่วงตึก
Next to : เน็กซทฺ ทู : ถัดจาก
Opposite : ออพ-โพ-ซิท : ตรงข้าม
Behind : บิ-ไฮนด์ : ข้างหลัง
In front of : อิน ฟรอนทฺ ออฟ : ข้างหน้า
Between : บิ-ทวีน : อยู่ระหว่าง
Near : เนียร์ : ใกล้
Far : ฟาร์ : ไกล

🚸🚸🚸🚸🚸🚸🚸🚸🚸🚸🚸🚸🚸🚸🚸🚸🚸🚸🚸🚸🚸🚸🚸🚸

คำศัพท์สถานที่สำคัญ (ใช้ร่วมกับการบอกทาง)🚇
Bank : แบงก์ : ธนาคาร
Hospital : ฮอส-พิ-ทอล : โรงพยาบาล
Police station : โพ-ลีซ สเท-ชัน : สถานีตำรวจ
Bus stop : บัส สตอป : ป้ายรถเมล์
Train station : เทรน สเท-ชัน : สถานีรถไฟ
Airport : แอร์-พอร์ต : สนามบิน
Hotel : โฮ-เทล : โรงแรม
School : สคูล : โรงเรียน
Market : มาร์-เก็ต : ตลาด
Mall : มอล : ห้างสรรพสินค้า
Restaurant : เรส-เตอ-รองท์ : ร้านอาหาร

🚸🚸🚸🚸🚸🚸🚸🚸🚸🚸🚸🚸🚸🚸🚸🚸🚸🚸🚸🚸🚸🚸🚸🚸

ตัวอย่าง ประโยคเกี่ยวกับการบอกทาง 📍🚸

🚇ประโยคบอกทางทั่วไป🚇
 1. Go straight for about 200 meters.
โก สเตรท ฟอร์ อะ-เบาท์ ทู-ฮัน-เดรด มี-เทอร์ส
แปล: ตรงไปประมาณ 200 เมตรล

 2. Turn left at the traffic light.
เทิร์น เลฟท์ แอท เดอะ แทรฟ-ฟิก ไลท์
แปล: เลี้ยวซ้ายที่ไฟจราจร

 3. Turn right at the next intersection.
เทิร์น ไรท์ แอท เดอะ เน็กซทฺ อิน-เทอร์-เซค-ชัน
แปล: เลี้ยวขวาที่สี่แยกถัดไป

 4. The bank is on your left.
เดอะ แบงก์ อิส ออน ยัวร์ เลฟท์
แปล: ธนาคารอยู่ทางซ้ายมือของคุณ

 5. The hotel is next to the police station.
เดอะ โฮ-เทล อิส เน็กซทฺ ทู เดอะ โพ-ลีซ สเท-ชัน
แปล: โรงแรมอยู่ติดกับสถานีตำรวจ

🚉ประโยคถามทาง🚉
 1. Excuse me, how can I get to the train station?
เอ็กซ์-คิ้วส์ มี, ฮาว แคน ไอ เก็ท ทู เดอะ เทรน สเท-ชัน?
แปล: ขอโทษครับ/ค่ะ ไปสถานีรถไฟต้องไปทางไหน?

 2. Is there a hospital near here?
อิส แดร์ อะ ฮอส-พิ-ทอล เนียร์ เฮียร์?
แปล: แถวนี้มีโรงพยาบาลไหม?

 3. Can you show me on the map?
แคน ยู โชว์ มี ออน เดอะ แมพ?
แปล: คุณช่วยชี้ให้ดูบนแผนที่ได้ไหม?

 4. How far is it from here?
ฮาว ฟาร์ อิส อิท ฟรอม เฮียร์?
แปล: มันอยู่ไกลจากที่นี่แค่ไหน?

#twannapha
#สอนภาษาอังกฤษออนไลน์
#englishwithTookata
#privateclass
#ภาษาอังกฤษง่ายๆ

ถอด 18 บทเรียน ฉลาดรอบด้านด้วยวิถีสามก๊กเลือกม้าเร็วไม่เลือกม้าสวย



1. วางแผนก่อนลงมือ – เรียนจากขงเบ้ง
ก่อนที่ขงเบ้งจะรบหรือเจรจา เขามักจะวางหมากไว้ล่วงหน้าเสมอ เหมือนเราจะสมัครงานหรือเริ่มโปรเจกต์ใหญ่ อย่าลุยก่อนคิด คิดก่อนลุยจะปลอดภัยกว่าเยอะ

2. รู้เขารู้เรา – แบบซุนกวน
ซุนกวนไม่เคยประมาทแม้มีพันธมิตร เพราะเขารู้ว่าศัตรูเปลี่ยนใจได้เสมอ ชีวิตจริงก็เหมือนกัน อย่าไว้ใจใครจนลืมดูแลตัวเอง

3. รู้จังหวะถอย – เหมือนเล่าปี่
เล่าปี่กล้าถอยเพื่อรอเวลาที่เหมาะ การถอยไม่ได้แปลว่าแพ้ บางครั้งคือการรักษาพลังเพื่อสู้ให้ดีกว่าเดิม

4. เลือกคนให้เป็น – ขงเบ้งเลือกม้าเร็วไม่เลือกม้าสวย เวลาเราทำงาน อย่ามองแค่เปลือก คนเก่งอาจไม่พูดเยอะ แต่ลงมือเมื่อไรคือ เป๊ะทุกที

5. กล้ารับผิด – อย่างกวนอู
กวนอูแม้จะพลาด แต่เขาไม่เคยโยนความผิดให้ใคร การยอมรับความผิดคือความกล้าของคนที่มีวุฒิภาวะ

6. ใช้จิตวิทยา – แบบโจโฉ
โจโฉรู้วิธีอ่านใจคน พูดคำเดียวก็สั่นทั้งก๊ก บางทีในชีวิตเรา พูดให้น้อยแต่ลึก อาจได้ผลกว่าพูดยาวแต่ไม่มีน้ำหนัก

7. ไม่ยึดติด – ขงเบ้งเคยวางมือจากการเมืองเพื่อความสงบ บางครั้งชีวิตต้องเลือกความสงบก่อนชื่อเสียง ไม่ใช่ทุกเวทีที่เราต้องขึ้นไปยืน

8. สร้างสัมพันธ์มากกว่าศัตรู – ซุนกวนเลือกเจรจาก่อนรบ ก่อนจะทะเลาะกับใคร ลองคุยดูดีๆ เผื่อจะกลายเป็นทีมที่แข็งแรงแทนที่จะเป็นคู่แข่ง

9. อย่าดูถูกคนเงียบ – เล่าปี่เงียบแต่แกร่ง
คนที่ไม่พูด ไม่ได้แปลว่าไม่คิด พวกเงียบๆ นี่แหละ ถ้าขยับคือเปลี่ยนเกมได้เลย

10. ยอมเสียเล็กเพื่อได้ใหญ่ – ขงเบ้งยอมปล่อยเมืองหนึ่งเพื่อได้ชัยระยะยาวบางครั้งต้องยอมเสียเวลา เงิน หรืออารมณ์นิดหนึ่ง เพื่อเป้าหมายที่ใหญ่กว่าในอนาคต

11. รู้จักฟัง – เล่าปี่มักฟังขงเบ้งก่อนตัดสินใจในยุคที่ทุกคนแย่งพูด คนที่ยอมฟังกลับได้เปรียบ เพราะฟังมากขึ้น = เข้าใจมากขึ้น

12. สร้างภาพลักษณ์ให้เป็น – โจโฉรู้จักใช้ภาพลักษณ์นำเกมไม่ใช่การหลอก แต่คือการรู้ว่าคนมองเราแบบไหน แล้วใช้มันสร้างโอกาส

13. ซื่อสัตย์ต่อคุณธรรม – กวนอูไม่ยอมรับสินบนแม้ถูกล่อลวง ซื่อสัตย์ต่อสิ่งที่เชื่อ ถึงจะไม่รวยเร็ว แต่สบายใจได้นาน

14. อย่าใช้แต่อารมณ์ – ซุนกวนยอมอดกลั้นแม้จะโกรธจนลุกเป็นไฟอารมณ์อาจทำลายสิ่งที่เราสร้างมานาน ลองหายใจลึกๆ แล้วค่อยพูด หรือค่อยทำ

15. ชนะใจคนด้วยความจริงใจ – แบบเล่าปี่ เล่าปี่ไม่ต้องใช้เงินซื้อใจใคร แค่จริงใจ คนก็พร้อมอยู่ข้างเขาแล้ว

16. หาคนที่ต่างจากเรา – ขงเบ้งไม่ใช่คนเหมือนเล่าปี่ แต่เป็นทีมที่ลงตัวอย่ามองหาแต่คนที่คิดเหมือนกัน บางครั้งคนที่คิดต่างคือคนที่เติมเต็มเราได้ดีที่สุด

17. ใช้จุดอ่อนเป็นพลัง – โจโฉโดนมองเป็นคนร้าย แต่ใช้มันสร้างอำนาจอย่าเสียใจที่ไม่เหมือนใคร จุดที่เราโดนมองว่า “แปลก” อาจกลายเป็นจุดแข็งของเราได้

18. ปิดเกมให้สวย – ขงเบ้งตายแต่แผนยังเดินต่อ ชีวิตไม่ใช่แค่เริ่มต้นดี แต่ต้องจบดีด้วย อย่าทิ้งอะไรไว้ครึ่งๆ กลางๆ ให้คนอื่นต้องมาเก็บ

#สามก๊ก #กวนอู

18 เทคนิค พูดน้อยแต่ลึก ฉบับคนมีเสน่ห์ 🌈☀️


.
1. ฟังให้จบก่อนพูด
คนพูดเก่งน่ารัก คนฟังเก่งมีเสน่ห์กว่า การฟังอย่างตั้งใจทำให้คำที่เราพูด “แม่น” และ “ตรงใจ” มากขึ้น
เหมือนเพื่อนเราคนหนึ่ง เวลาเขาพูด มักพูดสั้นๆ แต่ตรงประเด็น เพราะเขาฟังทุกคนจนเข้าใจจริงๆ

2. พูดแค่คำที่จำเป็น
พูดเท่าที่ต้องพูด ไม่ต้องขยายทุกเรื่อง เหลือที่ว่างให้คนฟังเติมเองบ้าง เสน่ห์อยู่ตรงนั้นแหละ

3. เลือกคำที่มีพลัง
บางคำไม่ต้องยาว แต่มีแรงกระแทกใจ เช่น “เชื่อในตัวเองนะ” หรือ “เราอยู่ตรงนี้เสมอ”

4. น้ำเสียงชัด นุ่ม นิ่ง
โทนเสียงที่นิ่งและมั่นคงจะทำให้คำพูดน่าเชื่อถือและดูมีน้ำหนักมากขึ้น

5. พูดด้วยสายตา
บางทีไม่ต้องพูดเลย แค่สายตาเข้าใจ ก็เหมือนพูดได้ล้านคำแล้ว

6. ใช้ภาษากายร่วมด้วย
ท่าทางเล็กๆ เช่น พยักหน้า ยิ้มบางๆ หรือจับมือแน่นๆ ช่วยส่งพลังใจได้โดยไม่ต้องใช้คำพูด

7. อย่ารีบตอบรีบพูด
เว้นจังหวะให้คำพูดได้หายใจ ให้คนฟังรู้สึกว่าเราคิดก่อนพูด ไม่ใช่พูดเพราะว่างปาก

8. เล่าเรื่องแทนการอธิบาย
แทนที่จะบอกว่า “เรารู้สึกผิดมาก” ลองเล่าว่า “คืนนั้นเรานอนไม่หลับเลย คิดถึงคำที่พูดออกไป”
แค่นี้ก็ลึกแล้ว

9. ถามกลับแบบตั้งใจ
“เธอคิดยังไงกับเรื่องนี้?” เป็นคำถามธรรมดาที่เปิดใจคนฟังได้ดีมาก

10. ไม่แทรกไม่ตัดบท
การพูดน้อยแต่ลึก เริ่มจากการให้พื้นที่คนอื่นก่อน แล้วเราค่อยพูดแบบสรุป หรือเติมจุดที่ขาด

11. เวลาพูดเรื่องตัวเองให้พูดแบบจริงใจไม่เยิ่นเย้อ
ไม่ต้องแต่งเรื่อง ไม่ต้องเว่อร์ บอกแค่ “ตอนนั้นเราเสียใจมาก…แต่มันก็สอนให้เราเข้าใจคนอื่นมากขึ้น” ก็ลึกพอ

12. พูดให้คนฟังรู้สึกไม่ใช่แค่เข้าใจ
“ขอบคุณที่เธออยู่ตรงนี้” มันรู้สึกต่างจากแค่ “ขอบใจนะ”

13. เลือกเวลาพูดให้เป็น
บางครั้งคำพูดจะลึกมาก ถ้ามาในเวลาที่ใช่ เช่น หลังจากผ่านช่วงยากๆ ไปด้วยกัน

14. หยุดพูดเมื่อถึงจุดพีค
พูดถึงจุดที่คน “อือฮึม” แล้วเงียบไว้ ไม่ต้องพูดซ้ำ หรืออธิบายเพิ่ม ปล่อยให้คำพูดตกตะกอนในใจ

15. มีหลักมีแก่น
คนที่พูดน้อยแต่มีเสน่ห์ มักมี “ค่านิยม” ชัด เช่น ซื่อสัตย์, เห็นอกเห็นใจ และสื่อสารสิ่งนี้ผ่านคำพูดเสมอ

16. ฝึกใช้คำเรียบง่ายแต่กินใจ
เช่น “เหนื่อยมากใช่มั้ย” หรือ “เรารู้ว่าเธอพยายามอยู่” คำพวกนี้มีพลังเสมอ

17. หัดเงียบอย่างสบายใจ
บางคนเงียบแล้วดูอึดอัด แต่คนบางคนเงียบแล้วยังรู้สึกอบอุ่นได้…เพราะใจเขาอยู่ตรงนั้นจริงๆ

18. อย่าใช้คำพูดเป็นอาวุธ
อย่าใช้คำพูดเพื่อชนะ แต่ให้ใช้คำพูดเพื่อเชื่อมโยงและรักษา
บางครั้ง คำพูดที่ลึกที่สุด คือคำที่พูดเบาๆ ด้วยใจ

เสน่ห์ของคนพูดน้อยไม่ได้อยู่ที่ความเงียบ
แต่อยู่ที่ “ทุกคำพูด” มีความหมาย และ “ทุกความเงียบ” 
มีความรู้สึก

Cr. FB Read Journey

#พูดให้มีเสน่ห์ 
#ฟังให้มากกว่าพูด

ข้อคิดที่ได้จากหนังสือศิลปะแห่งการถ่อมตน

1. ปล่อยให้คนอื่นอวดเก่งต่อไป
แต่คุณต้องถ่อมตัวอยู่เสมอ

2. ต้องยอมรับว่าคุณไม่ได้รู้ไปหมดทุกเรื่อง
คุณสามารถถามได้ถ้าคุณไม่เข้าใจ

3. ถ้ารู้จักฟังผู้อื่น 
คุณจะสามารถเรียนรู้จากผู้อื่น
และพัฒนาตัวเองได้

4. ลองนำคำวิจารณ์มาพัฒนา
เพื่อให้เราเองเก่งขึ้น

5. อย่ามัวแต่ฝันแล้วไม่ลงมือทำ
ให้เริ่มจากสิ่งเล็กๆ ทำเป็นขั้นเป็นตอน

6. การบ่นไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้นมา

7. อย่าตัดสินคนอื่นง่ายๆ 
อย่าแสดงความคิดของตัวเองเร็วเกินไป

8. คนที่้เก่งมีความสามารถจะไม่ปล่อยให้คนอื่น
ล่วงรู้ความคิดของเขาได้ง่ายๆ พวกเขาจะเก็บ
สิ่งนั้นเอาไว้ เวลาที่คิดว่ามันไม่เหมาะสม
ที่จะพูดออกไป

9. ไม่จำเป็นที่จะต้องไปทะเลาะเรื่องไร้สาระ
เพียงเพราะอยากเอาชนะ

10. คนที่ประสบความสำเร็จ
จะไม่ชื่นชมตัวเองมากเกินไป
เพราะว่าคนอื่นจะเห็นได้เอง
จากสิ่งที่คุณได้ทำ

11. คนที่ประสบความสำเร็จ
จะไม่ให้คำสัญญากับใครง่ายๆ
ถ้าเกิดรู้ว่าไม่สามารถรักษาสัญญาได้
เพราะมันจะทำให้คนอื่นต้องมีปัญหา
และก็ทำให้ตัวคุณสูญเสียความน่าเชื่อถือ

12. การแสดงความคิดเห็นทางอ้อม
เป็นศิลปะอย่างหนึ่ง บางครั้งมันก็ดีกว่า
การที่พูดอะไรตรง ๆ วิธีนี้คุณสามารถ
โน้มน้าวคนอื่นได้และยังเป็นการ
ให้ความเคารพเขาด้วย 

13. คุณต้องให้เกียรติคนอื่น
ถึงแม้ว่าพวกเขาจะมีสถานะต่ำกว่าคุณ

14. อย่าปล่อยให้คนอื่นรู้ว่าคุณคิดอะไร
มันจะทำให้คุณต้องพ่ายแพ้

15. อย่ารีบลงมือทำโดยไม่วางแผน

16. การถอยหลังไม่ได้หมายความว่า
คุณอ่อนแอหรือว่ากลัว แต่มันเป็นการ
เก็บรักษาพลังของคุณเอาไว้และทำให้
คุณได้รับชัยชนะได้ในที่สุด

17. เมื่อคนอื่นทำงานได้ดีกว่าคุณ
คุณก็ต้องพยายามให้มากขึ้น

18. อย่ามัวแต่ยึดติดความสำเร็จเดิมๆ
ต้องหาเป้าหมายใหม่ๆ ให้กับตัวเราเอง

หนังสือเล่มนี้ยังมีข้อคิดดีๆ อีกมาก
หากสนใจ ตอนนี้เหลือแต่ปกแข็ง
สั่งซื้อเล่มนี้ได้ที่
Shopee : https://s.shopee.co.th/20hsdUD8Hk
Lazada : https://s.lazada.co.th/s.uZgGV?cc

100 ไอเดียคำGemini แบ่งหมวดหมู่สำหรับคนทำงานออฟฟิสโดยเฉพาะ

Gemini ไม่ได้เอาไว้ทำคลิป ทำรูปเท่านั้น
แต่ยังเป็นผู้ช่วยงานที่เก่งมาก ๆ ถ้าใช้เป็น
นี่คือ 100 ไอเดียคำสั่ง แบ่งหมวดหมู่
สำหรับคนทำงานออฟฟิสโดยเฉพาะ
.
.
📂 หมวดที่ 1: งานเอกสาร & รายงาน
บริบท: สรุปข้อมูล, เรียบเรียงเอกสาร, รายงานผล
รูปแบบคำสั่ง: สั่งให้สรุป แก้ไข ย่อ เขียนใหม่ให้เข้าใจง่ายและดูมืออาชีพ

สรุปรายงานประชุมจากข้อความนี้ใน 5 ประเด็น พร้อม Action Plan

เขียนรายงานผลการดำเนินงานรายเดือนแบบทางการ

ย่อบทความนี้ให้ไม่เกิน 3 ย่อหน้า พร้อมหัวข้อ

แปลงข้อความนี้เป็น Bullet Point พร้อมหัวข้อย่อย

เขียน Memo แจ้งเวียนภายในเกี่ยวกับ [ระบุหัวข้อ]

ปรับภาษารายงานนี้ให้ดูมืออาชีพมากขึ้น

ร่างรายงานสรุปโครงการแบบเน้นผลลัพธ์

สรุปข้อมูลจาก PDF ไฟล์นี้ให้เข้าใจง่ายใน 1 หน้า

สร้างรายงานแบบ Executive Summary สำหรับผู้บริหาร

เขียนบทวิเคราะห์เปรียบเทียบข้อมูลจาก 2 แหล่ง

-------------------

🧭 หมวดที่ 2: การจัดการเวลา & วางแผน
บริบท: การวางแผนประจำวัน, สัปดาห์, โครงการ
รูปแบบคำสั่ง: ขอแผนงาน, ลำดับความสำคัญ, ตั้งเป้าหมาย

วางแผนงานประจำวันให้มีเวลาโฟกัสงานสำคัญ

สร้าง To-do List สำหรับวันนี้จากรายการนี้

วางแผนโครงการให้เสร็จภายใน 1 สัปดาห์

แนะนำเทคนิคจัดลำดับความสำคัญด้วย Eisenhower Matrix

เขียนเป้าหมายแบบ SMART สำหรับเดือนนี้

วางแผนเก็บเงินเพื่อซื้อ MacBook ภายใน 6 เดือน

สร้าง Weekly Planner พร้อมเวลาพัก

ช่วยเตือนฉันเวลา 13.00 น. ให้เริ่มงานเขียน Proposal

วิเคราะห์ว่าในสัปดาห์นี้ฉันเสียเวลาไปกับอะไร

ช่วยออกแบบ Habit Tracker เพื่อพัฒนาตนเอง

-------------------

📧 หมวดที่ 3: การสื่อสาร & อีเมล
บริบท: สื่อสารทางการ, ไม่เป็นทางการ, ติดต่อภายใน/ลูกค้า
รูปแบบคำสั่ง: ร่าง ตรวจ แก้ไขอีเมล

เขียนอีเมลแนะนำตัวกับทีมใหม่แบบมืออาชีพ

ร่างอีเมลแจ้งเลื่อนประชุมอย่างสุภาพ

เขียนอีเมลติดตามเอกสารจากแผนกอื่น

แปลอีเมลนี้จากไทยเป็นอังกฤษแบบสุภาพ

ตรวจแกรมมาร์อีเมลนี้ให้หน่อย

เขียนอีเมลขอบคุณลูกค้าหลังจบงาน

สรุปใจความสำคัญของอีเมลนี้ใน 3 บรรทัด

ร่างหัวข้ออีเมลให้ดูน่าสนใจและไม่คลิกเบต

เขียนอีเมลเสนอราคาให้ลูกค้าใหม่

เปลี่ยนภาษาทางการให้อ่านง่ายขึ้นแต่ยังสุภาพ

-------------------

👥 หมวดที่ 4: การประชุม
บริบท: เตรียมก่อนประชุม สรุปหลังประชุม
รูปแบบคำสั่ง: สรุป เตรียม Agenda สร้าง Action List

สร้าง Agenda การประชุมทีมในสัปดาห์นี้

สรุปการประชุมเป็น Bullet Point + ผู้รับผิดชอบ

เตรียมสคริปต์เปิดประชุมอย่างมืออาชีพ

เขียน Minutes of Meeting ในรูปแบบ Memo

สรุป Action Items หลังการประชุม

เขียนคำถามชวนคิดไว้ใช้ในประชุม

แปลการประชุมเป็นไทย (แนบไฟล์เสียง/ข้อความ)

วิเคราะห์ Pain Point ที่เกิดขึ้นในการประชุม

เขียนข้อความสรุปส่งในไลน์กลุ่มหลังประชุม

ร่าง Checklist ก่อนเข้าประชุมกับผู้บริหาร

-------------------

📊 หมวดที่ 5: การนำเสนอ
บริบท: เตรียมสไลด์, สคริปต์พูด, Q&A
รูปแบบคำสั่ง: ร่าง สรุป วางโครงสร้าง

สร้าง Outline สไลด์หัวข้อ [ชื่อเรื่อง]

เขียนสคริปต์พรีเซนต์ความยาว 3 นาที

แปลงข้อมูลนี้เป็น Slide เดียวที่เข้าใจง่าย

แนะนำภาพประกอบหรือกราฟที่เหมาะกับข้อมูลนี้

เขียนประโยคเปิดพรีเซนต์ให้น่าดึงดูด

เขียนประโยคปิดพรีเซนต์ให้ประทับใจ

เตรียม Q&A ที่อาจเจอจากการนำเสนอเรื่องนี้

แนะนำเทคนิคเล่าเรื่องแบบ Storytelling สำหรับพรีเซนต์

สร้าง Slide Design Guideline ให้สวยและมืออาชีพ

วิเคราะห์จุดอ่อนของพรีเซนต์นี้ และแนะนำให้ปรับปรุง

-------------------

🧮 หมวดที่ 6: การวิเคราะห์ข้อมูล
บริบท: วิเคราะห์ข้อมูลธุรกิจ, สรุปเชิงกลยุทธ์, ตีความตัวเลข
รูปแบบคำสั่ง: สรุป วิเคราะห์ เปรียบเทียบ สร้าง Insight

วิเคราะห์ยอดขายรายเดือนนี้ และสรุปแนวโน้ม

สร้าง Insight จากข้อมูล Excel นี้

เปรียบเทียบยอดขาย Q1-Q2 พร้อมสรุปผลกระทบ

สรุปจุดแข็ง-จุดอ่อนจากแบบสอบถามลูกค้า

เขียน SWOT จากข้อมูลตลาดนี้

แสดงข้อมูลในรูปแบบ Dashboard (แนบโครง/หัวข้อให้)

วิเคราะห์สาเหตุยอดขายตกจากรายงานนี้

สรุปสถิติจากรายงานให้อยู่ใน 5 ข้อ

แนะนำกราฟที่เหมาะสมกับข้อมูลชุดนี้

เขียนบทสรุปเชิงกลยุทธ์เพื่อเสนอผู้บริหาร

-------------------

🎯 หมวดที่ 7: การบริหารงาน & ทีม
บริบท: ทำงานร่วมกัน, บริหารโครงการ, บริหารคน
รูปแบบคำสั่ง: สรุป ร่าง แนะนำ

ร่าง Job Description สำหรับตำแหน่ง [ระบุชื่อ]

เขียน Feedback เชิงบวกเพื่อพัฒนาทีม

สร้างโครงสร้างการแบ่งงานในทีมขนาดเล็ก

สรุป Performance รายเดือนของทีมใน 1 หน้า

เขียนข้อความให้กำลังใจทีมในช่วงเร่งด่วน

ร่าง Checklist สำหรับการ Onboard พนักงานใหม่

สร้าง Weekly Report ให้หัวหน้าอ่านง่าย

วิเคราะห์ปัญหาทีมและเสนอแนวทางแก้

เขียน KPI สำหรับพนักงานในแผนก [ระบุชื่อ]

แนะนำการจัดประชุมประจำทีมให้มีประสิทธิภาพ

-------------------

💬 หมวดที่ 8: คอนเทนต์ & โซเชียลมีเดีย
บริบท: เขียนโพสต์ โฆษณา สื่อสารกับลูกค้า/ผู้ติดตาม
รูปแบบคำสั่ง: สร้าง เขียน แปลง สรุป

เขียนโพสต์ Facebook โปรโมตสินค้าใหม่

คิด Caption IG แนวน่ารัก+ขายของ

ร่างหัวข้อ TikTok ให้เหมาะกับออฟฟิศ

แปลงเนื้อหานี้ให้ใช้ใน Line OA ได้

เขียน Blog สั้น 300 คำ สำหรับแชร์ในเว็บบริษัท

ร่างโฆษณา Google Ads ภาษาไทย 3 เวอร์ชัน

ช่วยทำ Content Plan 1 สัปดาห์ในแนว "ให้ความรู้"

คิด Quote แรงบันดาลใจสำหรับโพสต์วันจันทร์

แนะนำ Hashtag ที่เหมาะกับโพสต์นี้

เขียนข้อความตอบคอมเมนต์ลูกค้าอย่างมืออาชีพ

-------------------

📚 หมวดที่ 9: การพัฒนาตัวเอง
บริบท: เรียนรู้ พัฒนาทักษะ เติบโตในอาชีพ
รูปแบบคำสั่ง: แนะนำ วางแผน สร้าง

แนะนำหนังสือที่พนักงานออฟฟิศควรอ่านในปีนี้

วางแผนพัฒนาทักษะ Soft Skill ภายใน 1 เดือน

วิเคราะห์จุดแข็ง-จุดอ่อนจากนิสัยการทำงานของฉัน

สร้าง Roadmap การเติบโตในอาชีพจากตำแหน่งนี้

แนะนำคอร์สออนไลน์เพื่อพัฒนาทักษะการนำเสนอ

ช่วยสร้างตารางฝึกฝน Excel ทุกวันวันละ 15 นาที

วางแผนเรียนรู้ AI ให้ทันในยุคใหม่

แนะนำแนวทางฝึกพูดในที่ประชุมให้มั่นใจขึ้น

สร้างแบบประเมินตนเองในสายงานปัจจุบัน

คิดกิจกรรมเสริมทักษะสำหรับทีมงาน (online/offline)

-------------------

💡 หมวดที่ 10: ความคิดสร้างสรรค์ & ไอเดีย
บริบท: คิดแคมเปญ คิดชื่อ คิดกิจกรรมใหม่ ๆ
รูปแบบคำสั่ง: คิดไอเดีย ตั้งชื่อ เขียน Pitch

คิดชื่อแคมเปญโปรโมตสินค้ารับหน้าฝน

คิดกิจกรรมทีมบิลดิ้งแบบสนุก ๆ 1 วัน

คิดแคปชั่นขายของแบบอารมณ์ขัน

ร่าง Idea Pitch สำหรับเสนอหัวหน้าใน 1 หน้า

คิด Slogan ใหม่ให้แบรนด์เครื่องดื่มสุขภาพ

สร้างไอเดียโพสต์ TikTok แบบเบาสมองสำหรับคนออฟฟิศ

คิดหัวข้อเวิร์กชอปน่าสนใจสำหรับพนักงาน

สร้าง Mindmap สำหรับแผนโปรเจกต์ใหม่

คิดกิจกรรม CSR ที่เชื่อมกับแบรนด์

ร่างเนื้อเรื่องสั้น ๆ สำหรับใช้เป็นคลิปไวรัล

#Work360 #AI

วันศุกร์ที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2568

9​วิธีลดอีโก้

1. ฝึกการเป็นผู้ฟังที่ดี: คนที่มีอีโก้สูงมักจะอยากพูดมากกว่าฟัง ลองฝึกฟังผู้อื่นอย่างตั้งใจ ไม่ต้องรีบคิดคำโต้ตอบ หรือหาโอกาสในการแสดงความเห็นของตัวเอง การฟังอย่างแท้จริงจะช่วยให้คุณเข้าใจผู้อื่นมากขึ้น และลดความต้องการที่จะเป็นจุดศูนย์กลางลง
2. เปิดใจยอมรับคำวิจารณ์: แทนที่จะรู้สึกถูกโจมตีเมื่อได้รับคำวิจารณ์ ลองมองว่าเป็นโอกาสในการเรียนรู้และพัฒนา ไม่มีใครสมบูรณ์แบบ การยอมรับว่าเราอาจมีข้อผิดพลาดและพร้อมที่จะปรับปรุงจะช่วยลดอีโก้ลงได้มาก

3. ยอมรับว่า "ไม่รู้" ในบางเรื่อง: คนที่มีอีโก้สูงมักจะพยายามแสดงออกว่ารู้ทุกเรื่อง การยอมรับว่าคุณไม่รู้หรือไม่เข้าใจในบางประเด็น ไม่ได้ทำให้คุณดูด้อยลง แต่กลับแสดงถึงความถ่อมตนและความเปิดกว้างในการเรียนรู้

4. ชื่นชมและให้เกียรติผู้อื่น: การแสดงความชื่นชมในความสำเร็จหรือความสามารถของผู้อื่นอย่างจริงใจ จะช่วยให้คุณลดการเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่น และมองเห็นคุณค่าในตัวผู้อื่น

5. ฝึกมองโลกในมุมมองของผู้อื่น: ลองจินตนาการว่าหากคุณเป็นคนอื่นในสถานการณ์เดียวกัน คุณจะรู้สึกอย่างไร หรือคิดอย่างไร การฝึกเห็นอกเห็นใจและเข้าใจมุมมองที่แตกต่างจะช่วยลดการยึดติดกับความคิดของตัวเองลง

6. อย่าพยายามพิสูจน์ตัวเองตลอดเวลา: คนที่มีอีโก้สูงมักจะรู้สึกว่าต้องพิสูจน์ตัวเองเพื่อให้ผู้อื่นยอมรับ ลองปล่อยวางความต้องการนี้ และเชื่อมั่นในคุณค่าของตัวเองโดยไม่ต้องพยายามแสดงออกหรือแข่งขันกับใคร

7. รู้จักขอโทษและให้อภัย: เมื่อคุณทำผิดพลาด จงกล้าที่จะขอโทษอย่างจริงใจ และเมื่อผู้อื่นทำผิดพลาด จงพร้อมที่จะให้อภัย การยึดติดกับความถูกต้องของตัวเอง หรือความโกรธแค้น เป็นสัญญาณของอีโก้ที่สูง

8. ทำความเข้าใจว่าอีโก้บางครั้งเป็นเกราะป้องกัน: บางครั้งอีโก้ก็เป็นกลไกที่ปกป้องเราจากความไม่มั่นใจหรือความกลัว การตระหนักถึงรากเหง้าของอีโก้จะช่วยให้เราจัดการกับมันได้ดีขึ้น

9. ฝึกสติและทำสมาธิ: การฝึกสติจะช่วยให้คุณอยู่กับปัจจุบัน และสังเกตความคิด ความรู้สึกของตัวเองได้โดยไม่ยึดติด การทำสมาธิยังช่วยให้จิตใจสงบและลดความต้องการที่จะควบคุมสิ่งต่างๆ ได้

แนะนำอ่านเล่มนี้
https://s.lazada.co.th/s.CxsgV?cc

ATX หลักสําหรับแหล่งจ่ายไฟคอมพิวเตอร์

ภาพแสดงแผนภาพของตัวเชื่อมต่อไฟ ATX หลักสําหรับแหล่งจ่ายไฟคอมพิวเตอร์ แสดงแหล่งจ่ายไฟและขั้วต่อที่มีรหัสสีบ่งบอกถึงแรงดันไฟฟ้า (+3.3v, +5v, +12v, -12v), กราวด์ (Ground) และสายจุดระเบิด (PS-On) รวมถึงสายเคเบิล "Power Good" และสาย NC (Unplugged) แผนภาพรายละเอียดการติดต่อระหว่างสีของสายเคเบิลและแรงดันไฟฟ้า 

8 ลักษณะของคนเก่งจริงในยุคนี้

🌻
1. ไม่โชว์เยอะ... 
คนเก่งจริงไม่ต้องโพสต์ทุกอย่างที่ตัวเองทำ เพราะเขารู้ว่า... “ผลงาน” จะพูดแทนเขาเอง โลกอาจไม่เห็นทุกก้าวของเขา แต่เขารู้ว่า...ทุกก้าวนั้น พาเขาเข้าใกล้ชีวิตที่อยากมี

2. ไม่เอาเวลาไปแข่งกับใคร…
แต่ใช้เวลาสร้างชีวิตตัวเอง ยุคนี้มีแต่คนชวนเปรียบเทียบ แต่คนเก่งจะเงียบ แล้วตั้งใจพาตัวเองก้าวไปข้างหน้า แม้จะช้ากว่าคนอื่น เพราะเขารู้ว่า “ชนะคนอื่นแค่แป๊บเดียว ไม่เท่าเอาชนะตัวเองทุกวัน”

3. กล้ายอมรับว่า “พลาด” แล้วเริ่มใหม่ให้ถูกทาง 
หลายคนแพ้เพราะ “กลัวคำว่าเริ่มต้นใหม่” แต่คนเก่งจะยอมรับความจริง เพราะเขารู้ว่า... ดีกว่าเดินผิดทางไปตลอดชีวิต

4. ไม่ต้องรู้ทุกเรื่อง…
แต่รู้ว่า “อะไรสำคัญกับชีวิตเรา” คนเก่งไม่เอาเวลาทั้งวันไปเสพทุกข่าว ทุกดราม่า เขาเลือกใส่ใจแค่เรื่องที่ช่วยให้ชีวิตดีขึ้น เพราะเขารู้ว่า... “รู้เยอะไม่ช่วย ถ้าไม่รู้จักเลือกให้ถูก”

5. ไม่พูดอวด…
แต่ทำให้เห็น คนเก่งจริงไม่ได้ใช้คำพูดเพื่อให้คนเชื่อ แต่เขาใช้ “การกระทำ” เพื่อให้คนยอมรับ เพราะพูดเก่งแค่ไหน...ก็ไม่สู้ “ทำได้จริง”

6. ยิ่งเก่ง…ยิ่งอ่อนน้อม 
คนที่เสียงดัง มักยังกลัวว่าใครจะเก่งกว่า แต่คนเก่งจริง เขาจะถ่อมตัวเสมอ เพราะเขารู้ว่า... “ยิ่งรู้มาก ยิ่งรู้ว่าตัวเองยังต้องเรียนรู้อีกเยอะ”

7. ล้มได้…แต่ต้องลุกให้เป็น 
คนเก่งไม่ได้แปลว่าไม่เคยล้ม แต่คือคนที่ล้มแล้วไม่จมอยู่กับมัน เขาเรียนรู้จากความพลาด และเดินต่อได้ด้วยหัวใจที่แข็งแรงกว่าเดิม

8. รู้ว่าเวลา…สำคัญกว่าเงิน 
เพราะเงินหาย ยังหาใหม่ได้ แต่เวลาที่เสียไป...ไม่มีทางซื้อคืน คนเก่งจริงไม่ปล่อยเวลาไหลผ่านไปเปล่า ๆ เขาใช้ทุกนาที...ให้คุ้มค่ากับชีวิตที่เลือก

บทความโดยฟ้าใส

อย่าหลง..... ความสำเร็จ...

“ความสำเร็จคือครูที่แย่มาก เพราะมันล่อลวงคนฉลาดให้คิดว่าพวกเขาไม่มีวันล้มเหลว”
— Bill Gates —
.
เราทุกคนล้วนอยากประสบความสำเร็จ
แต่เมื่อได้มันมา...หลายคนก็เริ่ม “นิ่งนอนใจ”
.
เพราะความสำเร็จทำให้เรารู้สึก “เก่ง”
รู้สึกว่า “เราควบคุมทุกอย่างได้”
จนลืมไปว่าโลกนี้ไม่เคยหยุดหมุน
และเกมแห่งชีวิต…เปลี่ยนกฎอยู่เสมอ
.
หลายคนล้มเหลว...
ไม่ใช่เพราะเขาไม่ดีพอ
แต่เพราะเขา เคยสำเร็จมากเกินไป จนประมาท
เคยชนะมากเกินไป จนคิดว่า "ไม่มีวันแพ้"
.
🔍 ข้อคิดจากคำพูดของบิล เกตส์
✅ อย่าปล่อยให้ความสำเร็จทำให้เราหยุดเรียนรู้
✅ คนฉลาดที่สุด ก็อาจประมาทได้ ถ้าเขาเชื่อว่า “ตนเองไม่มีวันพลาด”
✅ ความสำเร็จไม่ใช่แค่เส้นชัย แต่มันคือ “จุด Check point ให้เราระวังให้มากขึ้น”
.
อย่าให้ความยินดี มาทำให้คุณประมาท
เพราะในวันที่เราชะล่าใจ และไม่ระวังให้มากพอ
ความล้มเหลว…จะไม่เคาะประตู มันจะพังเข้ามาเลย
.
--- ยอดมนุษย์เป็ด ---
______________________________________________
.
#mindset #quotes #พัฒนาตัวเอง #ใช้ชีวิต #การใช้ชีวิต #ข้อคิด #ข้อคิดดีๆ #ข้อคิดชีวิต #แรงบันดาล #ทรงพลัง #หนังสือน่าอ่าน #หนังสือ

โฟกัสเป้าหมายให้ดีขึ้นแค่ทำตาม 18 ข้อนี้ 💡


1. เขียนเป้าหมายลงกระดาษ
การเขียนช่วย ตอกหมุดเป้าหมายในสมองให้ชัดขึ้นกว่าคิดไว้เฉยๆตัวอย่าง: แทนที่จะคิดว่าอยากเก็บเงินให้ได้ให้เขียนว่าจะเก็บเงินให้ได้ 20,000 บาทใน 3 เดือน

2. ใช้เวลา 5 นาทีทุกเช้าทบทวนเป้าหมาย
เหมือนบอกสมองทุกวันว่า เฮ้ นี่คือสิ่งที่เราอยากไปถึงนะ
ลองเปิดสมุดจดเป้าหมายทุกเช้าก่อนไปทำงาน แค่ 5นาทีจริงๆ ช่วยรีเซ็ตโฟกัสได้มหาศาล

3. ตัดสิ่งรบกวนออกวันละนิด
ลองเริ่มจากปิดแจ้งเตือนแอปที่ไม่จำเป็น เช่น IG, TikTok 
(อันนี้โหด แต่ได้ผลจริง)ตอนเราปิด IG 3 วัน โหเวลาว่างโผล่มาเพียบเลย เอาไปทำเป้าหมายได้เต็มที่มากขึ้น

4. ใช้เวลาโฟกัสแบบจริงจัง
เช่น เทคนิค Pomodoro: ทำงาน 25 นาที พัก 5 นาที
ลองจับเวลา แล้วโฟกัสแค่สิ่งเดียว เช่น อ่านหนังสือ/เขียนรายงาน 25 นาที พอหมดรอบค่อยพัก

5. วางแผนแค่ 3 อย่างต่อวัน
อย่าพยายามยัดทุกอย่างไว้ในวันเดียว เดี๋ยวสมองล้า
ถ้าเราบอกตัวเองว่า วันนี้ขอทำแค่ 3 อย่างให้ดีสุดท้ายก็ทำได้จริงและรู้สึกดีมากด้วย

6. เริ่มจากงานที่สำคัญสุดก่อน
เพราะพลังตอนเช้าจะมากที่สุด ใช้ช่วงนั้นเคลียร์งานใหญ่เลย
เช่น ถ้าต้องเขียน Proposal ยาวๆ เริ่มเขียนก่อนเช็คอีเมล

7. ทำ Check-in ทุกคืน
ถามตัวเองว่า วันนี้ได้ทำอะไรเข้าใกล้เป้าหมายมั้ย
อาจเขียนสั้นๆ ในสมุด หรือพูดกับตัวเองหน้ากระจกก็ได้ เหมือนเป็นเพื่อนให้กำลังใจตัวเอง

8. เอาเป้าหมายไปบอกเพื่อนสนิท
ให้เขาช่วยถาม ช่วยแซว ช่วยเตือนเวลาจะหลุด
เราเคยบอกเพื่อนว่า เราจะวิ่งทุกเย็นปรากฏว่าเพื่อนทักมาทุกวัน วิ่งยังๆสุดท้ายเราก็ไม่กล้าขี้เกียจเลย 555

9. ใช้ภาพแทนคำพูด
แปะภาพปลายทางไว้ชัดๆ เช่น รูปมหาลัยในฝัน, งานที่อยากได้วันไหนหมดไฟ แค่เห็นภาพนั้นก็ใจพุ่งกลับมาได้อีก

10. แบ่งเป้าหมายเป็นก้าวเล็กๆ
เพื่อลดความรู้สึกใหญ่เกินไป
เช่น อยากเปิดร้านกาแฟสัปดาห์แรกศึกษาตลาดสัปดาห์สองหาเครื่องมือที่ต้องใช้ 

11. เลือกทำก่อนพร้อม
อย่ารอความมั่นใจ เพราะบางที ลงมือทำนั่นแหละคือทางสร้างความมั่นใจเหมือนตอนเรารับทำฟรีแลนซ์ครั้งแรก มือสั่นมาก แต่พอลองก็ได้เรียนรู้เพียบ

12. ฟังเพลงที่ช่วยโฟกัส
มีบาง Playlist ที่พอเปิดปุ๊บ สมองเราก็เข้าโหมดทำงาน
เช่น Lofi, Instrumental, Piano เบาๆ ก็ช่วยมากนะ

13. ให้รางวัลตัวเองเล็กๆทุกครั้งที่ทำสำเร็จ
เช่น ถ้าเรียนออนไลน์ครบ 3 บทในวันนี้ จะให้รางวัลตัวเองด้วยชานมหนึ่งแก้ว ☕️

14. กล้าที่จะไม่ทำสิ่งที่ไม่สำคัญ
อย่ากลัวจะพลาดเรื่องเล็กๆ ถ้าแลกกับเรื่องใหญ่ที่ใช่
ถ้าต้องเลือกระหว่างดูซีรีส์ใหม่ vs เตรียม Pitch งานสำคัญ เลือกสิ่งที่พาเราเข้าใกล้เป้าหมายเถอะ

15. อยู่ใกล้คนที่โฟกัสเก่ง
พลังของสภาพแวดล้อมมันจริงมาก
แค่ไปนั่งทำงานข้างๆ เพื่อนที่จริงจัง เราก็เผลอจริงจังไปด้วยแล้ว

16. อ่านเรื่องราวของคนที่เคยทำสำเร็จ
ช่วยปลุกไฟได้ดีเหลือเกินเช่น อ่านเรื่องเด็กบ้านนอกที่สอบติดหมอได้ทำให้เรารู้สึกว่า เราก็ทำได้เหมือนกัน

17. อย่าด่าตัวเองถ้าเผลอหลุด
แค่รับรู้ แล้วย้อนกลับมาก็พอวันไหนหลุดไป
เล่นเกม 3 ชั่วโมง อย่าโทษตัวเอง แค่พรุ่งนี้เริ่มใหม่ให้ไว

18. เชื่อในตัวเองเวอร์ชันที่ดีที่สุด
เป้าหมายจะไม่สำเร็จ ถ้าเราไม่เชื่อว่าเราทำได้
ลองนึกภาพตัวเองที่ทำสำเร็จไว้เสมอ มันคือพลังที่ขับเคลื่อนวันละนิดจนกลายเป็นก้าวใหญ่มหาศาล

แนะนำให้อ่าน
https://s.lazada.co.th/s.Cqg8D?cc
https://s.shopee.co.th/7KlR2ySfIZ
#เป้าหมายชีวิต
#ตั้งเป้าหมายให้ชัดเจน

15 งานประจำที่เราทำทุกวัน แต่จริง ๆ แล้วเราสามารถใช้ AI ช่วยทำงานแทนหรือลดระยะเวลาในการทำงานลงได้

🤖✍️ มาลองดูตัวอย่าง 15 งานประจำที่เราทำทุกวัน แต่จริง ๆ แล้วเราสามารถใช้ AI ช่วยทำงานแทนหรือลดระยะเวลาในการทำงานลงได้
.
💼 กลุ่มงานเอกสาร / จัดการข้อมูล
1. ร่างอีเมลถึงลูกค้าหรือหัวหน้า
เช่น ทีมเซลล์โรงแรมให้ GPT ช่วยร่างข้อความเชิญลูกค้าเข้าร่วมอีเวนต์ พร้อมแนบรายละเอียดไฟล์เสนอขาย แค่บอกหัวข้อและเนื้อหาคร่าว ๆ มันก็จัดข้อความให้สุภาพและดูดีได้เลย
.
2. สร้าง Template เอกสารใช้งานภายในบริษัท
เช่น ทีม HR ต้องการทำ Template เอกสารสำคัญต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น ใบสมัครงาน, ใบลา, สัญญาจ้างงาน หรือเอกสารแบบไหนก็บอกได้ ไม่ต้องนั่งพิมพ์ใหม่เอง
.
3. สรุปรายงานการประชุมหรือบทความยาว ๆ ให้อ่านง่าย  
เวลาประชุมจบ ส่งโน้ตหยาบ ๆ หรือไฟล์เสียงให้ AI มาช่วยจับประเด็นสำคัญ สรุปเหลือหนึ่งย่อหน้า หรือแปลงเป็น Bullet Point เอาไว้แชร์ในทีมต่อ
.
4. จัดตารางงานอัตโนมัติ
บางทีเรามีรายการสิ่งที่ต้องทำเต็มไปหมด แต่ไม่รู้จะเริ่มจัดการจากตรงไหน ให้ AI ช่วยจัดลำดับความสำคัญและวางแผนออกมาเป็นตารางงานรายวันเชื่อมต่อลงใน Google Calendar ได้
.
🛍️ กลุ่มงานขาย / การตลาด
5. เสนอไอเดีย เขียน Caption / โพสต์โปรโมตสินค้า
อยากได้ไอเดียในการทำคอนเทนต์หรือแคมเปญใหม่ ๆ ก็ให้ AI ช่วยคิดได้ ได้ทั้งไอเดียหลากหลาย พร้อมแคปชันโดน ๆ
.
6. สร้างรูปโปรโมตอัตโนมัติ
มีข้อความโพสต์โปรโมตแล้ว จะขาดรูปภาพไปได้ไง อยากได้รูปภาพแบบไว ๆ ให้ AI ช่วยสร้างให้ ตรงใจ ใช้ได้จริง
.
7. สรุปรายงานยอดขายประจำวัน
ยอดขายอย่างพุ่ง แต่ทำสรุปอย่างง่ายแค่ให้ AI ช่วยสรุป เพียงแค่ส่งไฟล์ POS หรือ Excel เข้าไปก็ได้ข้อมูลมาแบบไว ๆ ในไม่กี่นาที
.
👩‍💻 กลุ่มงานบริการ / HR / ฝ่ายบุคคล
8. คัดกรอง Resume เบื้องต้น
ไม่ต้องนั่งเสียเวลาคัดกรองผู้สมัครเอง เปลี่ยนเป็นสร้าง Pattern ในการส่งใบสมัคร แล้วให้ AI ประเมินคุณสมบัติเพื่อให้คะแนน ช่วยคัดกรองผู้สมัครเบื้องต้นได้เลย
.
9. นัดสัมภาษณ์งานอัตโนมัติ
คัดกรองเสร็จก็ต่อด้วยการนัดสัมภาษณ์ คนไหนผ่านก็ให้ AI ส่งอีเมลนัดวันเวลาสัมภาษณ์และลงตาราง Google Calendar ได้เลยทันที สะดวกมาก ๆ
.
10. แนะนำคอร์สอบรมให้พนักงาน
อยากพัฒนาทีมให้เก่งขึ้น แต่ไม่รู้ต้องเลือกหลักสูตรไหน ก็ให้ AI ช่วยประเมินทักษะพนัดงานแล้วแนะนำหลักสูตรที่น่าสนใจให้ได้
.
🧩 อื่น ๆ ที่น่าสนใจ
11. เช็คความถูกต้องของเอกสาร
ใช้ AI ช่วยตรวจหาคำผิด ตรวจแกรมม่า หรือโครงสร้างเอกสารได้แบบไว ๆ ไม่ต้องนั่งอ่านให้ปวดตา
.
12. เตรียมเนื้อหาการสอน
อยากได้เนื้อหาการสอนที่ทันสมัย พร้อมแบบทดสอบใช้งานได้จริง แค่บอก AI ก็ได้มาในพริบตา
.
13. เขียน Script พอดแคสต์ / วิดีโอ
อยากทำรายการพอดแคสต์ หรือถ่ายวิดีโอ แต่กลัวบทพูดไม่ดี ก็ให้ AI ช่วยคิด ช่วยเกลาให้ได้
.
14. วางแผนทริป
อยากไปเที่ยวแต่วางแผนไม่เก่ง ให้ AI ช่วยสร้างแผนเที่ยวเจ๋ง ๆ ให้ได้ สัมผัสประสบการณ์เที่ยวได้ทุกที่ อยากไปที่ไหนก็บอกเลย
.
15. แปลงข้อมูลจากภาพเป็นตัวหนังสือ (OCR)
ให้ AI อ่านข้อความจากรูปภาพ แล้วสรุปเป็นข้อความ สร้างเป็นเอกสารที่นำไปใช้ต่อได้ทันที
.
นี่ขนาดแค่ 15 ตัวอย่างเองนะ จริง ๆ AI ยังทำอะไรได้อีกเยอะเลย ใครยังไม่เคยลองใช้ต้องลองดูแล้ว เดี๋ยวตามคนอื่นไม่ทันน้า
.
ส่วนถ้าใครอยากได้เทคนิคการใช้งานดี ๆ ก็ติดตาม Tech Ninja เอาไว้ได้เลย แต่ถ้าอยากได้หลักสูตรอบรมพัฒนาทักษะให้กับทีมหรืององค์กรของคุณก็ติดต่อเรามาได้ที่

☎️ โทร. 082-348-3222
✉️ อีเมล techninja@borntodev.com
.ที่มา
🥷 #TechNinja - เข้าใจ Tech เพื่อเพิ่ม Productive ระดับนินจา

อ่านให้จบ แล้วคุณจะอยาก "ขอบคุณ"

อ่านให้จบ แล้วคุณจะอยาก "ขอบคุณ"
.
1. ในแต่ละปี จงทำชีวิตให้ดีขึ้น
เพราะในแต่ละวัน ชีวิตเรากำลังสั้นลง
2. การอยู่กับปัจจุบัน ไม่ใช่การหยุดทำในเรื่องสำคัญ
แต่มันคือ การหยุดทุกข์ไปกับเรื่องที่ไม่สำคัญ
3. อารมณ์ลบทุกชนิด จะทำให้เรารู้สึกแย่
ก่อนที่คนอื่นจะทำให้เรารู้สึกแย่เสมอ
เช่นกัน อารมณ์บวกทุกชนิด
จะให้พรเรา ก่อนที่จะให้พรคนอื่นเสมอ
4. วิจารณ์คนอื่นทุกวัน ใจต่ำลงทุกวัน
วิจัยตัวเองทุกวัน ใจสูงขึ้นทุกวัน
5. ถ้าไม่มีคนมาทำให้คุณโกรธ
คุณจะไม่รู้เลยว่า ระดับจิตคุณอยู่ตรงไหน
ถ้าไม่มีใครมาทำให้คุณทุกข์ใจ
คุณจะไม่รู้เลยว่า ตัวเองยังมีอะไรต้องพัฒนา
6. ไม่ว่าภายนอก เราจะอยู่กับคนมากแค่ไหน
แต่ภายใน เรายังอยู่ตัวคนเดียวเสมอ
จงหาวิธีรักตัวเองให้เจอ เพราะไม่มีใครในโลกนี้
ที่จะอยู่กับเธอสม่ำเสมอเ ท่ากับตัวของเธอเอง
7. การฝึกจิต และพัฒนาตัวเอง
อาจไม่ทำให้เราพ้นทุกข์ตลอดกาล
แต่มันทำให้เราที่เคยเป็นทุกข์นาน กลับน้อยลง
8. การแก้กรรมที่ดีที่สุด คือ การแก้ไข
ความคิด คำพูด และการกระทำของตัวเอง
9. ความดีเล็กๆ ที่ทำไปนานๆ
สุดท้าย อาจสร้างปาฏิหาริย์ให้กับชีวิตได้
10. ไปได้เร็วแค่ไหน ก็ถึงเร็วเท่านั้น
ปล่อยวางได้เร็วแค่ไหน ก็สุขใจเร็วเท่านั้น
11. จำไว้ว่า "ความทุกข์ ”
ไม่ได้ผ่านเข้ามาในชีวิตเรา เพื่อมอบ “ คำสาป ”
แต่มันผ่านเข้ามาในชีวิตเรา เพื่อมอบ “ คำสอน ”
12. ก้าวแรกของการใช้ชีวิตอย่างผู้ตื่น
คือ การหยุด ยุ่ง วุ่นวาย เรื่องของคนอื่น
แล้วหันกลับมาวิเคราะห์ใจตัวเอง
13. ความทุกข์ทั้งหมดในชีวิต
ไม่ได้เกิดจากสิ่งที่คนอื่นคิดเกี่ยวกับคุณ
แต่มันเกิดจากสิ่งที่คุณคิด ว่าคนอื่นคิดยังไงกับคุณ
14. ต้องขอบคุณคนที่ทำไม่ดี
ที่ช่วยเป็นตัวอย่างที่ดี ว่าอะไรไม่ควรทำ
15. ไม่ว่าจะทุกข์หนักหนาสาหัสสักแค่ไหน
ทางออกก็ไม่เคยอยู่ไกลไปกว่าใจของเราเอง
16. เกลียดเขาเราทุกข์ เมตตาเขาเราสุขเอง
17. คนเราฝึกเดินจนเก่งได้ ฉันใด
ก็สามารถฝึกใจ จนเป็นสุขได้ ฉันนั้น
18. โปรดสังเกต ดูให้ดีว่า
สิ่งที่ทำให้เราทุกข์บ่อยที่สุดในแต่ละวัน
ไม่ใช่พฤติกรรมของคนอื่น แต่คือความคิดของเราเอง
19. หากคุณคิดว่า ตัวเองมีค่าเพราะมีเงิน
วันไหนเงินหมด วันนั้นคุณค่าคุณก็หมดไป
หากคุณคิดว่า ตัวเองมีค่าเพราะหน้าตาดี
วันไหนหน้าตาไม่ดี คุณค่าคุณก็หมด
หากคุณคิดว่า ตัวเองมีค่าเพราะเป็นคนดี
ตราบใดที่คุณมีความดี คุณก็จะมีคุณค่าได้ตลอดไป

วันพฤหัสบดีที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2568

คุณเชื่อมั้ย...นี่คือรูปพระพุทธเจ้าองค์จริง...?



เมื่อ 20 กว่าปีก่อนคุณลุงทองดี หรรษคุณารมณ์ ท่านเล่าว่า ท่านได้พบพระพุทธเจ้าด้วยตาท่านภายในห้องพระ และได้ซักถามข้อธรรมต่างๆ พระองค์ทรงให้พรแล้วจากไป ภาพที่เห็นด้านล่าง จิตกรวาดจากความทรงจำของลุงทองดี

ประวัติคุณลุงทองดี

 คุณทองดี หรรษคุณารมณ์ ประธานมูลนิธิพระบรมธาตุ ในพระสังฆราชูปถัมป์ เริ่มต้นเป็นนักธุรกิจธรรมดา สร้างอาคารพาณิชย์ทั่วไป สมัยนั้นไม่เคยศึกษาเรื่องธรรมะเลย ย้อนไปเมื่อ ๔๐ ปีก่อน มีคนนำเทปธรรมะมาให้ก็ไม่สนใจ วางกองเอาเก็บไว้ในรถ เนื่องจากไม่มีเวลาฟัง ทุกวันจะต้องออกไปตรวจงานมากมาย
•มีอยู่วันหนึ่ง ขึ้นรถตั้งใจจะฟังเพลงของเติ้ง ลี่ จิน เป็นนักร้องที่ชอบมาก บังเอิญหยิบเทปผิด เป็นเทปธรรมะขึ้นมาฟัง พอได้ฟังธรรมะท่านสอนดีมาก ทำให้เปลี่ยนความคิดเป็นความศรัทธาขึ้นมาทันที
ประมาณ ปี ๒๕๒๐ ชวนภรรยาไปทัวร์ประเทศอินเดีย-เนปาล ซึ่งเป็นสถานที่ประสูติของพระพุทธเจ้า โดยไปกราบสังเวชนียสถาน ๔ ได้แก่ สถานที่ประสูติ ตรัสรู้ ปฐมเทศนา แลtปรินิพพาน

นายทองดี เล่าว่า ระหว่างเดินทางไปตามสถานที่ที่มี พระธาตุ จะได้ยินเสียงคล้ายคลื่นวิทยุอยู่ในหูตลอดเวลา ความรู้สึกคิดว่า ด้านในเจดีย์ต้องมีพระธาตุ แต่ไม่มั่นใจว่า สิ่งที่รู้นั้นเป็นพระธาตุจริงหรือไม่ เพราะไม่เคยรู้มาก่อน จากการศึกษาพบว่า พระธาตุต่างๆ เหล่านี้ จมดินจมทรายหมด

สมัยพระเจ้าอโศกมหาราช ได้อัญเชิญพระธาตุออกมาบรรจุสร้างเจดีย์ ๘๔,๐๐๐ องค์ ในอินเดีย ซึ่งพระพุทธเจ้าปรินิพพาน ได้แบ่งพระธาตุออกเป็น ๑๖ กอง ให้อาณาจักรต่างๆ ไปบูชา เสร็จแล้วพระเจ้ากัสสปะเห็นพระธาตุเหล่านี้จะสูญ เลยให้พระเจ้าอาชาติศัตรูสร้างเจดีย์ เพื่ออัญเชิญพระธาตุกลับมาประดิษฐานที่เก่า หลังจากนั้นเมื่อพระเจ้าอโศกขึ้นครองราชย์ ก็อัญเชิญพระธาตุเหล่านี้ออกมาสร้างเจดีย์ทั่วประเทศอินเดีย

วันหนึ่ง ขับรถแวะกินข้าวที่กำแพงเพชร เลยเข้าไปดูเจดีย์ช้างล้อม ปรากฏว่า สภาพเจดีย์มีความทรุดโทรมอย่างมาก ทั้งๆ ที่ศาสนาพุทธในเมืองไทยถือว่ารุ่งเรือง แต่เจดีย์ช้างล้อมอายุประมาณ ๗๐๐ ปี กลับไม่มีการบูรณะ จังหวะยืนมอง ได้ก้มลงกราบพร้อมกล่าวว่า “พระบรมสารีริกธาตุ พระอรหันตธาตุ ที่อยู่ในที่ไม่อันควรทั้งหลาย ขอให้ไปอยู่ที่บ้านลูก ลูกจะอัญเชิญไปประดิษฐานยังที่อันควรให้เอง ลูกจะทำงานชิ้นนี้

ในตอนอธิษฐานมีความตั้งมั่นมาก พอเดินทางถึงเชียงใหม่นอนแล้วฝันว่า พระธาตุมาที่บ้านเยอะมาก ภรรยาก็เลยบอกว่า คุณคิดมาก จึงฝันไปไม่ใช่เรื่องจริง แม้จะเป็นเพียงความฝัน แต่กลับรู้สึกมั่นใจว่า สิ่งที่ฝันนั้นต้องเป็นเรื่องจริง
•เมื่อกลับถึงบ้านที่คลองสาน ไปซื้อโถและเจดีย์มาวางบนผ้าปูขาวตั้งบูชาอยู่เป็นแรมเดือน ไม่มีวี่แววว่า พระบรมธาตุเสด็จมา กระทั่งวันวิสาขบูชามาถึง ได้ชวนกันไปถือศีลกินเจ นั่งสมาธิ คุยกับภรรยา ถ้าวันนี้เราตายไปยมบาลถามว่า ทองดีมีศีล ๕ กี่วัน เชื่อไหมว่า เกิดมาจนเข้าวัยกลางคนแล้ว คงไม่กล้าที่จะตอบยมบาลเป็นแน่แล้ว เพราะจะให้ตอบอย่างไรว่า เคยถือศีล ๕ กี่วัน ตรงนี้จึงตัดสินใจต้องถือศีล ๕ ให้เคร่งสักวันหนึ่ง พรุ่งนี้ตายไปยมบาลถามเรา ถึงจะกล้าตอบได้มีศีล ๕ มาแล้ว ๑ วัน “ผมคิดว่าอานิสงส์ของการถือศีล ๕ สำคัญ

คืนต่อมาประมาณห้าทุ่ม นั่งสมาธิได้ยินเสียงพระสวดมนต์ แว่วๆ มา คิดว่าคงเป็นวัดหนึ่งวัดใดมีงานบุญ คงมีพระเป็นพันรูปสวดมนต์ รุ่งเช้าได้มาเปลี่ยนน้ำที่ถวายพระ ปรากฏว่าที่โถแก้ว และเจดีย์ที่บูชาพบว่า มีพระบรมธาตุเสด็จมาเต็มโถ ผมดีใจยิ่งกว่าได้อะไรเสียอีก ผมเลยคิดได้ว่า จริงๆการที่ท่านไม่เสด็จเพราะว่าผมยังไม่มีศีล พระธาตุจะเสด็จมาให้เห็นได้ บุคคลผู้นั้นต้องถือศีลพอสมควร” เขาเล่าถึงพระบรมธาตุเสด็จมาด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น

•ประธาน มูลนิธิพระบรมธาตุ กล่าวต่อว่า จากนั้นพระบรมธาตุก็เสด็จมาทุกวัน โดยไปซื้อโถแก้วและเจดีย์มาเพิ่มเรื่อยๆ แต่ด้วยความอยากรู้ว่า อันไหนเป็นพระบรมธาตุ หรือพระอรหันตธาตุ ตกกลางคืนเลยนั่งสมาธิ ภรรยาเห็นทันทีว่า พระสงฆ์มา ๓ รูป องค์กลางคือพระพุทธเจ้า องค์ขวาคือพระสารีบุตร องค์ซ้ายคือพระโมคคัลลาน์ ท่านรับสั่งว่า ต่อไปนี้ในแต่ละวันให้เอาพระธาตุหนึ่งโถมาตั้งบูชา เจ้าของพระธาตุจะมาบอกเองว่า ชื่ออะไร พระธาตุนี้ของใคร
•ต่อมามีโอกาสเข้ากราบสักการะ สมเด็จพระญาณสังวร (ตอนนั้นยังไม่ได้สถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราช) ได้กราบนมัสการถึงประวัติของพระธาตุองค์ต่างๆ พร้อมทั้งบอกท่านว่า พระธาตุเหล่านี้ได้เสด็จมาที่บ้าน เจ้าประคุณสมเด็จมีความสนใจมาก จึงได้เดินทางมาดูพระธาตุที่บ้าน จึงได้ปรึกษากับท่านว่า อยากจะนำพระธาตุเหล่านี้ไปบรรจุในเจดีย์ หลังจากนั้น เจ้าประคุณสมเด็จจึงได้อัญเชิญพระธาตุเหล่านี้ไปประทานให้ผู้ศรัทธาอัญเชิญ ไปบรรจุตามเจดีย์ต่างๆ กว่า ๒๐ ปี บรรจุพระบรมธาตุไปแล้ว ๒๒๘ เจดีย์ พระพุทธรูปกว่า ๕๐๐ องค์ ทั่วประเทศ
“ผมคิดว่า คนที่บูชาพระบรมธาตุแล้วตายไป ถ้าไม่ได้ทำบาปคงไปสวรรค์ แต่ถ้าบูชาพระธาตุแล้วจะทำให้ร่ำรวยนั้น เป็นไปไม่ได้ อาจมีนิดหนึ่งก็ได้ ถ้าเราทำความดี คนเราจะร่ำรวยได้ต้องขยันทำมาหากิน คนที่ร่ำรวย เพราะบุญเก่าสร้างมาดี บุญใหม่สร้างต่อด้วยการขยันหมั่นเพียร ประหยัด อดออมก็จะรวยขึ้น ส่วนพระเครื่องที่แขวน เป็นพระที่แกะสลักจากแก้ว แขวนพระก็เพื่อให้มีสติ ทำกรรมดีละเว้นความชั่ว” นายทองดี กล่าวทิ้งท้าย

จากเพจ ตำนานศักดิ์สิทธิ์ทั่วโลก

ยังไม่มีสินค้า ก็ไม่เป็นไรสร้างตัวตน ทุกหนทุกแห่ง

ยังไม่มีสินค้า ก็ไม่เป็นไร
สร้างตัวตน ทุกหนทุกแห่ง
ทำให้คนคิดถึงคุณ บ่อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
แล้วพอมีสินค้า ค่อยขายก็ได้
.
Grant Cardone นักธุรกิจผู้เขียนหนังสือ "The 10X Rule" ที่ขายได้กว่า 1 ล้านเล่มทั่วโลก เล่าว่า ความสำเร็จที่แท้จริงต้องอาศัยกฎ 10X คือการคิดและลงมือทำทุกอย่างให้มากกว่าปกติ 10 เท่า การวิจัยจาก Stanford University พบว่า 98% ของคนเราประมาณการเวลาและความพยายามที่ต้องใช้ในการบรรลุเป้าหมายต่ำกว่าความเป็นจริงถึง 10 เท่า
.
และนี่คือวิธีที่จะทำให้คุณประสบความสำเร็จอย่างล้นหลาม
.
1. สร้างตัวตนที่อยู่ทุกหนทุกแห่ง ทำให้คนคิดถึงคุณบ่อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
.
บริษัทที่ประสบความสำเร็จที่สุดในโลกล้วนมีจุดร่วมคือ "คนคิดถึงบ่อยๆ " คุณเห็นพวกเขาบ่อยแทบจะทุกวัน คุณต้องสร้างการปรากฏตัวแบบนี้สำหรับตัวเองและธุรกิจของคุณ เขียนเนื้อหา สร้างวิดีโอ เข้าร่วมงาน พูดคุยกับคน สร้างเครือข่าย จนกระทั่งคนรอบข้างคิดถึงคุณเมื่อต้องการสิ่งที่คุณเสนอ โอกาสจะมาเอง
.
2. เป้าหมายใหญ่สร้างพลังงานมหาศาล เมื่อคุณตั้งเป้าหมายหารายได้ 33 ล้านบาทแทน 3.3 ล้านบาท
.
การตั้งเป้าหมายเล็ก ๆ ทำให้คุณขาดแรงบันดาลใจในการลงมือทำ เป้าหมายใหญ่จะสร้างความตื่นเต้น ความกระตือรือร้น และบังคับให้คุณคิดนอกกรอบ แม้ว่าคุณจะทำได้แค่ 50% ของเป้าหมาย 33 ล้านบาท คุณก็ยังได้ 16.5 ล้านบาท ซึ่งมากกว่าเป้าหมายเดิม 3.3 ล้านบาทถึง 5 เท่า
.
3. ลงมือทำระดับ 10X แทนการทำปกติ เพราะผลลัพธ์พิเศษต้องใช้การกระทำพิเศษ
.
คนส่วนใหญ่ทำงานในระดับปกติและได้ผลลัพธ์ปกติ แต่หากคุณต้องการผลลัพธ์พิเศษ คุณต้องทำในระดับ 10X นั่นหมายถึงการโทรหาลูกค้า 100 คนแทน 10 คน การเขียนเนื้อหา 10 โพสต์แทน 1 โพสต์ การเรียนรู้ 10 สกิลใหม่แทน 1 สกิล การกระทำระดับ 10X จะสร้างโอกาสมากกว่า สร้างความเป็นไปได้มากกว่า และสร้างผลลัพธ์ที่เหนือความคาดหมาย
.
4. หยุดแข่งขันและเริ่มสร้างความได้เปรียบ ใช้วิธีที่คนอื่นไม่กล้าทำ
.
การแข่งขันทำให้คุณติดอยู่ในกรอบของคู่แข่ง แต่การสร้างความได้เปรียบคือการสร้างกฎเกณฑ์ของคุณเอง ทำสิ่งที่คนอื่นไม่ยอมทำ เข้าถึงลูกค้าในช่องทางที่คนอื่นมองข้าม ให้บริการในระดับที่คนอื่นคิดว่าเกินไป เมื่อคุณทำสิ่งที่คนอื่นไม่ยอมทำ คุณจะได้ผลลัพธ์ที่คนอื่นไม่เคยได้
.
5. เปลี่ยนความกลัวให้เป็นสัญญาณความสำเร็จ ความกลัวบอกว่าคุณกำลังไปในทิศทางที่ถูกต้อง
.
ความกลัวเกิดขึ้นเมื่อคุณกำลังทำสิ่งที่ไม่เคยทำมาก่อน นั่นหมายความว่าคุณกำลังก้าวออกจากคอมฟอร์ตโซนแทนที่จะหลีกเลี่ยงความกลัว ให้ใช้มันเป็นเข็มทิศที่ชี้ทางสู่ความสำเร็จ เมื่อคุณรู้สึกกลัว ให้ลงมือทำทันที อย่าให้เวลาผ่านไปจนความกลัวเมากกว่าเดิม
.

.
นี่คือผลลัพธ์ของกฎ 10X: คุณจะไม่เป็นแค่อีกคนหนึ่งในตลาด แต่จะกลายเป็นผู้ที่ตลาดต้องมองตาม เพราะความสำเร็จที่แท้จริงไม่ได้มาจากการทำดีกว่าคนอื่นนิดหน่อย แต่มาจากการทำให้คนอื่นไล่ตามไม่ทัน
.
เขียนและเรียบเรียงโดย 100WEALTH
 ——— 
100WEALTH l ไปให้ถึง100ล้าน
 . 
#Business 
#100WEALTH 
#ไปให้ถึง100ล้าน 
อ้างอิง
•The 10X Rule โดย Grant Cardone

วันพุธที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2568

การพูดของผู้นำ

เคยหรือไม่แม้จะพูดตามสคริปต์ แต่กลับไม่มีใครเชื่อในสิ่งที่เราพูดเลย?
.
ไม่ว่าจะเป็นผู้บริหารระดับสูง หัวหน้าทีมขาย หรือเจ้าของธุรกิจ การพูดในที่สาธารณะเป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้ แต่การพูด "ได้" กับการพูดแล้ว "เชื่อ" เป็นคนละเรื่องกัน Nick Morgan ผู้เชี่ยวชาญด้านการสื่อสารแนะนำว่า ความ "จริง" หรือ Authentic ไม่ใช่แค่การพูดความจริง แต่เป็นการสื่อสารอย่างแท้จริง ด้วยใจ ร่างกาย และอารมณ์พร้อมกัน 
.
เราทุกคนเคยเห็นผู้นำที่พูดอย่างมั่นใจ ใช้ภาษากายเป๊ะ ใช้สไลด์โดนใจ แต่กลับไม่มีใครรู้สึกอิน หรือรู้สึกเชื่อใจ เพราะอะไร? คำตอบคือ ความ "ไม่จริง" ที่ซ่อนอยู่ภายใต้การเตรียมตัวอย่างดี เมื่อคำพูดกับภาษากายไม่ไปในทิศทางเดียวกัน สมองของผู้ฟังจะเลือกเชื่อ "ภาษากาย" มากกว่าเสียงพูด แม้เราจะพูดแต่ความจริง แต่ถ้า "ร่างกายบอกอย่างอื่น" ผู้ฟังจะรู้สึกว่าเราไม่จริงใจทันที
.
งานวิจัยทางสมองชี้ว่า ภาษากายของเรามักเกิดขึ้นก่อนที่เราจะคิดเป็นคำพูด ตัวอย่างเช่น การยิ้ม การพยักหน้า หรือการขมวดคิ้ว มักเกิดขึ้นโดยไม่รู้ตัวก่อนที่เราจะพูดจริง ๆ ซึ่งหมายความว่า "ความจริง" เริ่มต้นจากความรู้สึก ไม่ใช่แค่คำพูด และการฝึกให้ภาษากายเข้ากับคำพูดจึงไม่ใช่การ "ซ้อมท่าทาง" แต่เป็นการ "ซ้อมความรู้สึก"
.
Nick Morgan เสนอว่า ผู้นำที่ต้องการพูดอย่างแท้จริง ต้องฝึกจาก "ความตั้งใจภายใน" 4 อย่างได้แก่
[1] ตั้งใจที่จะเปิดใจ (To Be Open)
[2] ตั้งใจเชื่อมต่อกับผู้ฟัง (To Connect)
[3] ตั้งใจพูดด้วยความหลงใหล (To Be Passionate)
[4] ตั้งใจฟังปฏิกิริยาผู้ฟัง (To Listen)
เมื่อเราซ้อมจากความตั้งใจเหล่านี้แทนที่จะจำสคริปต์ คำพูดและภาษากายจะแสดงออกมาอย่างเป็นธรรมชาติ
.
ตัวอย่างเช่น ถ้าเราเริ่มซ้อมด้วยความตั้งใจจะ "เปิดใจ" ลองจินตนาการว่ากำลังเล่าเรื่องให้เพื่อนสนิทหรือครอบครัวฟัง สังเกตว่าไหล่ของเราจะผ่านคลาย สีหน้าอ่อนโยน และน้ำเสียงอบอุ่นขึ้นแค่ไหน ความรู้สึกนี้เองที่ต้องจำไว้และนำกลับมาเพื่อใช้พูดบนเวที เพราะผู้ฟังจะสัมผัสได้ทันทีว่าเรา "เปิดใจ" จริงหรือแค่แสดงออกว่าเปิด
.
เมื่อเราเปิดใจได้แล้ว ขั้นต่อไปคือ "การเชื่อมโยง" กับผู้ฟัง ลองจินตนาการว่าเรากำลังพูดกับเด็กที่เราอยากให้ตั้งใจฟัง เราจะเปลี่ยนโทนเสียง มองตา เดินเข้าไปใกล้ หรือหยุดพูดชั่วคราวเพื่อเรียกความสนใจโดยไม่รู้ตัว สิ่งเหล่านี้คือ "ภาษากายที่แท้จริง" ที่เกิดจากความต้องการเชื่อมโยง ไม่ใช่การซ้อมท่าทางจากคลาสพูดในที่สาธารณะ
.
พลังสำคัญอีกหนึ่งข้อคือ "ความหลงใหล" ถ้าเราไม่อินกับสิ่งที่พูด ผู้ฟังก็จะไม่อินเช่นกัน ลองถามตัวเองว่า "ทำไมเราถึงต้องพูดเรื่องนี้?" "อะไรคือสิ่งที่เราเชื่อจริง ๆ" เมื่อเราเจอคำตอบเหล่านี้ อารมณ์จะไหลออกมาในเสียง สีหน้า ท่าทาง โดยไม่ตั้งใจ เหมือนเวลาเราพูดถึงสิ่งที่เรารัก มันไม่จำเป็นต้องซ้อม แต่มันออกมาจากข้างในจริง ๆ
.
ข้อสุดท้ายคือ "การฟัง" แม้เราจะพูดอยู่บนเวที แต่เราต้องตั้งใจฟังผู้ฟังด้วย ผ่านแววตา ภาษากาย เสียงหัวเรา หรือแม้แต่ความเงียบ หากเราสังเกตเห็นผู้ฟังไม่อิน เราควรเปลี่ยนจังหวะ ปรับเนื้อหา หรือโยนคำถามเพื่อดึงความสนใจกลับมา เพราะการพูดที่ดี เพราะการพูดที่ดี ไม่ใช่การพูดคนเดียว แต่คือการ "สื่อสารสองทาง" ผู้ฟังรู้สึกมีส่วนร่วมด้วยจริง ๆ
.
การเป็นนักพูดที่แท้จริง จึงไม่ใช่การพูดให้ "เป๊ะ" หรือ "เก่ง" แต่คือการพูดให้ "คนรู้สึก" ถึงความตั้งใจจริง ผู้นำที่พูดอย่างจริงใจจะสามารถปลุกพลัง เปลี่ยนความคิด และสร้างความเชื่อมั่นให้กับทีมได้มากกว่าผู้นำที่แค่พูดเก่ง เพราะในโลกผู้คนเริ่มไม่เชื่อใครง่าย ๆ อีกต่อไป "ความจริงใจ" จึงกลายเป็นแต้มต่อทางธุรกิจที่ทรงพลังอย่างคาดไม่ถึง
.
.
เรียบเรียงโดย: THE INSIDER 
#theinsider #HBR #speaker

คนที่เครียดตลอดเวลาระวัง "พลังชีวิตจะติดอยู่ในความหงุดหงิด" จนชินให้บริหารเวลา แยกให้ชัด


.
ถ้าทุกวันนี้ ตื่นตั้งแต่เช้า 6 โมง อาบน้ำ แต่งตัว เดินทางไปทำงาน จนถึง 6 โมงเย็น วันแล้ววันเล่า ทั้งที่พยายามบริหารเวลาอย่างเต็มที่แล้ว แต่ทำไมยังรู้สึกหมดพลังและไม่มีความสุขกับชีวิต?
.
Kristin Brownstone นักเขียนจาก Fast Company เปิดมุมมองใหม่ที่น่าสนใจ เมื่อเพื่อนของเธอที่ทำงานหนักมาขอคำแนะนำเรื่องการบริหารเวลา แต่สิ่งที่ Kristin ค้นพบคือ ความสำเร็จในการทำงานของเธอไม่ได้มาจากการจัดการเวลา แต่มาจากการบริหารพลังงาน
.
Russ Hudson ผู้สอน Enneagram ได้มาแชร์มุมมองที่น่าสนใจ ว่าอารมณ์ทางลบอย่างความหงุดหงิดเป็นภาวะเสพติดที่ทำให้ร่างกายผลิตฮอร์โมนความเครียด แล้ว "พลังชีวิตของเราจะติดอยู่ในความหงุดหงิดนั้น" แทนที่จะถูกนำไปใช้ในกิจกรรมที่สร้างสรรค์และมีประโยชน์
.
วัฒนธรรมการทำงานหนักในปัจจุบันสร้างภาพลวงตาว่า การบริหารเวลาคือทางออกของการหมดไฟ แต่ความจริงแล้ว การมุ่งเน้นแต่การบริหารเวลาอาจยิ่งส่งเสริมวัฒนธรรมการทำงานแบบหักโหมให้ดำเนินต่อไป โดยมีวิธีจัดการพลังงานที่ดีกว่าตามแนวทางนี้
.
1. สร้างความตระหนักรู้ในพลังงานของตัวเอง
รู้จักแยกแยะพลังงานดีและพลังงานลบ
.
พลังงานมีหลายประเภท บางแบบเร่งรีบและผลักดัน แต่อีกแบบเปิดกว้าง อิสระ และมีชีวิตชีวา แบบหลังนี้คือพลังงานที่ยั่งยืน เกิดจากการทำกิจกรรมที่ตรงกับจุดแข็งของเรา ทำแล้วรู้สึกมีพลังและเติบโตขึ้น
.
สำหรับ Kristin การโค้ชเป็นกิจกรรมที่เติมพลังให้เธอ ในขณะที่การจัดตู้เสื้อผ้าหรือทำงบประมาณกลับดูดพลังของเธอ แต่สำหรับบางคน กิจกรรมเหล่านี้กลับสร้างความพึงพอใจและฟื้นฟูพลังงาน ทุกคนมีกิจกรรมเติมพลังที่แตกต่างกัน
.
2. พัฒนาวิจารณญาณในการเลือกกิจกรรม
รู้ว่าอะไรเติมพลัง อะไรดูดพลัง
.
เข้าใจว่ากิจกรรมใดสร้างพลังงานแบบไหนให้คุณ และเลือกกิจกรรมที่ขยายพลังงานเป็นหลัก รู้ด้วยว่ากิจกรรมไหนดูดพลังของคุณ แม้เราอาจไม่สามารถกำจัดกิจกรรมที่ดูดพลังงานทั้งหมดได้ แต่การบริหารเวลาไม่ใช่ทางออกสำหรับตารางชีวิตที่เต็มไปด้วยกิจกรรมที่ดูดพลัง
.
คนส่วนใหญ่จดโฟกัสกับการทำให้รายการสิ่งที่ต้องทำเสร็จสิ้น แต่ความพึงพอใจที่แท้จริงไม่ได้มาจากการขีดฆ่ารายการเหล่านั้นออก แต่มาจากความตั้งใจในสิ่งที่เราเลือกใส่ลงไปในรายการ ถ้าทุกสิ่งในรายการคือสิ่งที่ดูดพลังงาน คุณจะรู้สึกอย่างไรเมื่อทำสิ่งเหล่านั้นเสร็จ?
.
3. เลือกและยอมเสียสละบางสิ่ง
ไม่มีใครทำได้ทุกอย่าง รู้จักปฏิเสธสิ่งที่ดูดพลัง
.
การเลือกเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เราทำทุกอย่างไม่ได้ แต่ถ้าเรารู้ตัวและพิจารณาดีว่าจะตอบรับหรือปฏิเสธอะไร โดยคำนึงถึงผลลัพธ์ในแง่การสร้างหรือดูดพลังงาน เราก็มีโอกาสสร้างพลังงานและความพึงพอใจได้มากขึ้น
.
การตอบปฏิเสธอาจยากในตอนแรก แต่ผลลัพธ์ระยะยาวคือชีวิตที่มีพลังงานมากขึ้น เลือกทำสิ่งที่เติมพลังให้คุณ และกล้าที่จะปฏิเสธสิ่งที่ดูดพลังออกไป
.
4. จัดการกับอารมณ์ทางลบด้วยการรับรู้
หยุดอารมณ์ที่ดูดพลังงานก่อนจะสายเกินไป
.
เมื่อเราตกอยู่ในอารมณ์ทางลบที่ดูดพลังงาน Hudson แนะนำให้ "สร้างการรับรู้" (presencing) หมายถึงการสังเกตเห็นอารมณ์ที่มาครอบงำ หายใจเข้าไปในอารมณ์นั้น เห็นมัน ยอมรับมัน และหายใจเข้าไปอย่างต่อเนื่อง
.
เมื่อรู้สึกหงุดหงิด เป้าหมายคือการสังเกตเห็น เรียกชื่อมัน และหายใจเข้าไป หากไม่ทำเช่นนี้ เราก็กำลังอยู่บนเส้นทางสู่การสูญเสียพลังงาน Hudson เปรียบการรับรู้เหมือนเชื้อเพลิงจรวดที่เติมเต็มร่างกายด้วยพลังงานและความสว่าง ช่วยให้เราออกจากเรื่องราวของสิ่งที่เกิดขึ้นและเข้าสู่พลังงานของมัน การควบคุมพลังงานนี้จะนำมาซึ่งความคิดสร้างสรรค์ในการทำสิ่งถูกต้องต่อไป
.
.
เขียนและเรียบเรียงโดย 100WEALTH
———
100WEALTH l ไปให้ถึง100ล้าน
.
#Input #SelfDevelopment
#100WEALTH
#ไปให้ถึง100ล้าน
อ้างอิง
https://bit .ly/4iNjIeH

วันอังคารที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2568

🎯18 เหตุผลที่ไม่ควรเล่าเป้าหมายให้ใครฟัง.


.
1. สมองเราหลงดีใจว่าสำเร็จแล้วทั้งที่ยังไม่ได้เริ่ม
พูดเป้าหมายออกไปแล้วได้คำชม สมองหลั่งโดพามีน เรารู้สึกว่าไปถึงเป้าแล้ว ตัวอย่าง: ฉันจะลดน้ำหนักให้ได้ 10 กิโล
ทุกคนปรบมือ แสดงความชื่นชม แต่สัปดาห์ถัดมาคุณยังอยู่กับชานมไข่มุกเหมือนเดิม

2. ความกดดันจากภายนอกทำให้เรารู้สึกต้องโชว์มากกว่า 
ทำจริงพูดมาก กลัวโดนถามบ่อยจากอยากทำ กลายเป็นต้องสร้างภาพ

3. คำแนะนำที่ไม่ได้ขออาจทำให้เราหวั่นไหว
บางคนจะเริ่มพูดว่ามันยากไปไหมไม่คุ้มหรอก
แม้เขาหวังดี แต่ก็อาจทำให้คุณลังเลโดยไม่จำเป็น

4. เราเสียเวลาชี้แจงมากกว่าลงมือ
เมื่อคุณพูดออกไป ต้องตอบคำถามอีกร้อยแปด
ทำถึงไหนแล้วแล้วถ้าทำไม่สำเร็จล่ะ

5. บางคนฟังแค่เพื่อจะเปรียบเทียบไม่ใช่เพื่อเข้าใจ
พอเล่าฝันให้ผิดคนฟัง เขาอาจใช้มันเป็นไม้บรรทัดตัดสินคุณ

6. เป้าหมายของคุณอาจใหญ่เกินกรอบของคนอื่น
คนรอบข้างบางคนอาจ ไม่เห็นภาพแบบที่คุณเห็น
และนั่นไม่ผิดแต่ถ้าฟังมากไป คุณอาจเริ่มไม่เห็นภาพของตัวเองด้วย

7. ความสำเร็จที่เงียบงันมักทรงพลังที่สุด
ดูนักกีฬาระดับโลกสิพวกเขาฝึกตอนที่ไม่มีใครดู
แล้วค่อยโชว์ตอนที่พร้อมจะปัง

8. เราปรับเปลี่ยนเป้าหมายได้ง่ายขึ้นถ้าไม่มีใครจับตามอง
อยากเปลี่ยนแผนกลางทางก็ทำได้เลย
ไม่ต้องกลัวคำพูดอย่างอ้าว ไม่ทำแล้วเหรอ

9. การลงมือทำจริงต่างหากที่พูดแทนเราได้ดีที่สุด
ลองเงียบ แล้วปล่อยผลงานเป็นคนพูด
บ่อยครั้งคำพูดมันสวยเกินจริง

10. บางคนจะลอกเป้าหมายคุณโดยไม่บอก
ไม่ใช่เรื่องร้ายแรงเสมอไป แต่ก็ใช่ว่าคุณจะโอเคเสมอ

11. คุณจะอยู่กับเป้าหมายในรูปแบบของจริงไม่ใช่แค่เรื่องคุยคำพูดทำให้เป้าหมายเป็นเรื่องภาพลักษณ์
แต่การลงมือทำ ทำให้มันกลายเป็นชีวิตจริง

12. เสียงหัวเราะเยาะอาจมาก่อนคำปรบมือ
พูดไปก่อนเวลา เจอคำสบประมาทเข้าให้
มันทำร้ายใจโดยไม่จำเป็น

13. คุณเก็บพลังไว้ใช้กับการลงมือทำได้เต็มๆ
ทุกคำพูดคือพลังเก็บไว้ ใช้กับแผน ใช้กับการเริ่มจริง ดีกว่า

14. เป้าหมายของคุณอาจยังบอบบางเกินกว่าจะปะทะโลกภายนอกในระยะแรกๆฝันยังไม่แข็งแรงพอจะรับแรงกระแทกจากความเห็นของคนอื่น

15. ทุกคนมีมุมมองต่างกันไม่จำเป็นต้องเอาเป้าหมายเราไปผ่านการตัดสินของใครบางคนจะบอกว่า ไม่คุ้มเพราะเขาไม่เข้าใจคุณพอไม่เป็นไรเลยเพราะมันเป็นเป้าหมายของคุณ

16. ความเงียบสร้างความลึกลับและความลึกลับมักจะดึงดูดพลังดีๆเมื่อคุณไม่พูดมาก คนจะสนใจว่ากำลังทำอะไรอยู่
แล้วความเคารพจะค่อยๆ เติบโตขึ้นเอง

17. การได้พิสูจน์ให้ตัวเองเห็นสำคัญกว่าการได้การยอมรับ
บางครั้งคำชมที่ดีที่สุด คือเงียบๆ แล้วสำเร็จให้ดู

18. เพราะความฝันที่สำเร็จคือฝันที่คุณเฝ้าทำไม่ใช่แค่เฝ้าพูดไม่มีใครจะเปลี่ยนชีวิตคุณได้นอกจากคุณเอง
และคุณไม่จำเป็นต้องประกาศให้โลกรู้ก่อนลงมือทำ

หนังสือแนะนำ
https://s.shopee.co.th/3AvsDfowBI
https://s.lazada.co.th/s.CqnNp?cc

#เป้าหมายมีไว้พุ่งชน

วันอาทิตย์ที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2568

จิตวิทยาการตลาด “Social Proof”

จิตวิทยาการตลาด “Social Proof” ทำไมหลายคนยอมรอ ร้านที่มีคนเยอะ ดีกว่า เข้าร้านที่มีคนน้อย - MarketThink
-เชื่อไหมว่า ถ้ามีตัวเลือกเป็นร้านอาหาร 2 แห่งที่มีคุณภาพ รสชาติ และราคาพอ ๆ กัน
แต่ถ้าร้านใดร้านหนึ่งมีคนนั่งในร้านเยอะกว่า หรือมีคนต่อแถวที่หน้าร้านเยอะกว่า เราจะมีแนวโน้มในการเดินเข้าร้านนั้นมากกว่า

แล้วทำไมถึงเป็นแบบนั้น ?
เรื่องนี้สามารถอธิบายได้ด้วยทฤษฎีจิตวิทยาการตลาดที่มีชื่อว่า “Social Proof”

ตามตำราคลาสสิกของนักการตลาด มีจิตวิทยาข้อหนึ่งที่บอกว่า “คนเรามักจะมีพฤติกรรมทำตามคนหมู่มากอยู่เสมอ” ซึ่งหลาย ๆ คนจะเรียกหลักการตรงนี้ว่า “Social Proof” 

สำหรับจุดเริ่มต้นของคำว่า Social Proof ว่ากันว่ามีส่วนมาจากการทดลองของ คุณโซโลมอน แอช (Solomon Asch) นักจิตวิทยาชาวโปแลนด์-อเมริกัน  

โดยคุณโซโลมอน แอช เคยทำการทดลองเอาไว้หลายวิธีมาก ๆ เพื่อหาคำตอบว่าคนเราจะมีพฤติกรรมตามคนส่วนมากจริงไหม ? 

และหนึ่งในการทดลองที่น่าสนใจเกิดขึ้นเมื่อปี 1951
คุณโซโลมอน แอช กำหนดให้ผู้เข้าร่วมทดลอง 1 คน เข้าไปตอบคำถามที่ง่ายมาก ๆ หลายชุด ร่วมกับหน้าม้าที่ปลอมตัวเป็นผู้ร่วมทดลองอีก 7 คน 

แต่ก่อนจะตอบคำถาม ผู้ร่วมทดลองทุกคนจะต้องฟัง “คำตอบที่ผิด” จากหน้าม้าทั้ง 7 คนก่อนเสมอ  

ซึ่งผลของการทดลองก็คือ 75% ของผู้เข้าร่วมทดลอง มีการตอบคำถามผิด ตามหน้าม้าอย่างน้อย 1 ครั้ง ทั้ง ๆ ที่ไม่น่าจะตอบผิดได้

แสดงให้เห็นว่าพฤติกรรมของคนหมู่มาก สามารถส่งผลต่อพฤติกรรมของคนเราได้จริง ๆ  

โดยเราสามารถเอาเรื่องนี้มาอธิบายได้ว่า ทำไมคนเราถึงมีแนวโน้มจะตัดสินใจเรื่องต่าง ๆ ตามคนหมู่มากได้ง่าย ๆ

เหมือนกับตัวอย่างข้างต้นที่ว่า ถ้าเรามีตัวเลือกเป็นร้านอาหาร 2 แห่งที่มีคุณภาพ รสชาติ และราคาพอ ๆ กัน 

แต่ถ้าร้านใดร้านหนึ่งมีคนนั่งในร้านเยอะกว่า หรือมีคนต่อแถวที่หน้าร้านเยอะกว่า เราจะมีโอกาสเลือกร้านนั้นมากกว่า เพราะเป็นตัวเลือกของคนหมู่มากนั่นเอง

- ที่ผ่านมา Social Proof มักถูกเอามาประยุกต์ใช้กับกลยุทธ์การตลาดให้เห็นกันบ่อย ๆ โดยเฉพาะในมุมของ “การกระตุ้นการขาย” และ “สร้างความน่าเชื่อถือ” ด้วยการทำอย่างไรก็ได้ให้ลูกค้ารู้สึกว่าคนส่วนมากเลือกซื้อสินค้าของแบรนด์

ตัวอย่างชัด ๆ ของเรื่องนี้ก็เช่น “กลยุทธ์ Seeding” การตลาดผ่านหน้าม้า

โดยการตลาดนี้ มีหลักการคือ ใช้ “หน้าม้า” หรือ “คนมีชื่อเสียง” มาสร้างคอนเทนต์ เกี่ยวกับสินค้าของแบรนด์ในเชิง Positive เป็นการกระตุ้นให้คนพูดถึงสินค้าของเราเยอะ ๆ เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือให้กับแบรนด์ 

อย่างเช่น ถ้าเราทำธุรกิจโรงแรม
เราอาจให้ทีมงานของแบรนด์ไปตั้งกระทู้บนโซเชียลมีเดีย ในเชิงคำถาม ประมาณว่า ประสบการณ์ในการเข้าพักโรงแรมของเราเป็นอย่างไร ?

ก่อนจะให้ทีมงานอีกหลาย ๆ คนรับหน้าที่เป็นหน้าม้าไปคอมเมนต์ในเชิงบวกว่า ห้องพักสะอาดมาก, อาหารเช้าอร่อยมาก หรือบริการที่โรงแรมของเราดีมาก 

เพื่อให้ลูกค้าคนอื่น ๆ เห็นว่า คนส่วนใหญ่ที่เข้าพักที่โรงแรมของเราได้ประสบการณ์ดี ๆ กลับไป ทำให้มีโอกาสจะจองห้องพักกับเราง่ายขึ้นนั่นเอง

มาถึงตรงนี้ หลาย ๆ คนน่าจะเข้าใจหลักการของ Social Proof กันมากขึ้นแล้วว่าทำงานอย่างไร และสามารถเอาไปประยุกต์ใช้กับงานด้านการตลาดมุมไหนได้บ้าง ? 

ที่น่าสนใจคือ นอกจากการ Seeding แล้ว ยังมีอีกหลายวิธีที่สามารถทำให้ลูกค้าเชื่อว่าสินค้าของเราได้รับความนิยม และเป็นตัวเลือกของคนส่วนมากได้อีกหลายแบบ

หนึ่งในท่าง่าย ๆ ก็คือ การทำป้าย “สินค้าขายดี” เอามาแปะไว้ตามเชลฟ์ ซึ่งเหมือนเป็นการสื่อสารให้ลูกค้ารู้ว่า “สินค้าของเราเป็นตัวเลือกของคนส่วนมาก”

หรืออีกวิธีง่าย ๆ ที่หลายแบรนด์ชอบใช้ก็คือ การโปรโมตด้วย “ยอดขาย” หรือ “ความสำเร็จ” ที่ผ่านมาของแบรนด์ 

อย่างเช่น การเลือกใช้ Key Message ว่า “ครีมกันแดดอันดับ 1 จากญี่ปุ่น”, “แบรนด์อาหารญี่ปุ่นอันดับ 1 ของไทย” หรือ “ภาพยนตร์ที่ทำรายได้เยอะที่สุดในจีน” 

ซึ่งท่าพวกนี้เป็นท่าเบสิกที่หลาย ๆ แบรนด์ใช้เพื่อสร้างภาพจำให้ลูกค้าเชื่อว่า สินค้าของตัวเองเป็นตัวเลือกอันดับต้น ๆ ของคนส่วนมาก 

เพื่อทำให้ลูกค้าใหม่ที่ยังลังเลว่าจะซื้อสินค้าของเราดีไหม ตัดสินใจซื้อได้ง่ายขึ้นตามหลัก Social Proof นั่นเอง

#จิตวิทยาการตลาด
#SocialProof
____________________________

อ้างอิง :
- https://www.investopedia.com/terms/h/herdinstinct.asp
- https://thedecisionlab.com/reference-guide/psychology/social-proof

หลักการเจรจาแบบ “ผู้นำ” ที่ดี



ในสมัยจีนโบราณ ไม่ได้เป็นแค่เรื่องของวาทศิลป์หรือท่าทีที่น่าเชื่อถือเท่านั้น แต่ยังผสานภูมิปัญญา ความเข้าใจธรรมชาติของมนุษย์ การมองการณ์ไกล และศิลปะการสงบศึกโดยไม่ต้องรบอีกด้วย นี่คือหลักการสำคัญที่ปรากฏในประวัติศาสตร์และตำราจีนโบราณ เช่น ตำราอี้จิง (易经), ซุนวู (孙子兵法), ตำราหลี่จื้อ (礼记) และประวัติศาสตร์ของรัฐต่าง ๆ:

🏛️ 1. รู้เขา รู้เรา (知彼知己,百战不殆)

จาก “ซุนวูปิงฝ่า” (ศิลปะแห่งสงคราม)

 • เข้าใจทั้งจุดแข็ง-จุดอ่อนของตนเองและคู่เจรจา
 • ก่อนเจรจาต้องศึกษาเบื้องหลังคู่สนทนาให้ชัด เช่น ความต้องการ จุดยืน ความกดดัน และสิ่งที่เขาไม่อาจยอมเสีย
 • หลักการนี้ใช้ได้ทั้งในสนามรบและการทูต

🧠 2. พูดให้น้อย ฟังให้มาก (言多必失)

“ผู้ฉลาดมักพูดน้อย ผู้โง่มักพูดมากจนเผยไพ่ในใจ”

 • ผู้นำที่แท้จริงจะไม่เร่งพูด แต่ให้โอกาสอีกฝ่ายเปิดเผยสิ่งที่ต้องการก่อน
 • ใช้การฟังเพื่อประเมินสถานการณ์ และนำมาใช้ต่อรองอย่างมีชั้นเชิง

⚖️ 3. ตั้งอยู่บน “หลี่” (理) และ “ชิง” (情)

“理” คือ เหตุผล / “情” คือ ความรู้สึก

 • การเจรจาที่ดีต้องมีทั้งเหตุผลที่ยุติธรรม และการเข้าถึงใจคู่สนทนา
 • ใช้เหตุผลเมื่ออีกฝ่ายดื้อ ใช้ความเห็นอกเห็นใจเมื่ออีกฝ่ายแข็งกร้าว

🧩 4. ประนีประนอมเพื่อผลรวม ไม่ใช่ชัยชนะเด็ดขาด

จากแนวคิด “เถาเฉียงปู้ถัวโป๋โหย่ว (讨强不图破友)”

 • การเจรจาที่ดีในวัฒนธรรมจีนโบราณ ไม่ใช่เพื่อ “ชนะ” แต่อยู่ร่วมกันได้ในระยะยาว
 • ผู้นำที่แท้ต้องยอมถอยได้หากทำให้สันติภาพยืนยาว

🧙‍♂️ 5. อ่อนสยบแข็ง (以柔克刚)

จาก “เต๋าเต๋อจิง” ของเล่าจื๊อ

 • ใช้น้ำเย็นดับไฟ ใช้ความนอบน้อมและถ่อมตนดึงอารมณ์อีกฝ่าย
 • แสดงอ่อนน้อมอย่างมีศิลป์ เพื่อควบคุมเกมโดยไม่ให้เขารู้ตัว

🔄 6. เปิดทางเลือกให้คู่เจรจา (留有余地)

“การต้อนจนมุม อาจทำให้เขาหันมาโจมตี”

 • ไม่กดดันจนอีกฝ่ายรู้สึกแพ้ ต้องเปิดทางให้เขา “ถอยอย่างสง่างาม”
 • เจรจาแบบนี้จะทำให้เขาอยากร่วมมือมากกว่าโต้แย้ง

📜 7. อ้างธรรมะ จริยธรรม หรือ “天命”

“สิ่งใดถูกต้องตามฟ้า ย่อมยั่งยืน”

 • ในวัฒนธรรมจีน การอ้างธรรมะหรือความชอบธรรมทางศีลธรรม เป็นเครื่องมือสำคัญ
 • ใช้หลักเมตตาและประโยชน์ส่วนรวมเพื่อชักจูงอีกฝ่าย โดยไม่ใช่แค่ผลประโยชน์ส่วนตน

🧠 18 พฤติกรรมทำให้สมองไวขึ้น



1. นอนให้พอ(อย่าคิดว่าแค่คืนเดียวไม่เป็นไร)
สมองรีเซ็ตตอนเราหลับลึก ถ้านอนไม่พอคือเปิดเครื่องไม่สุดอะลองนอนตรงเวลา 3 คืนติด แล้วสังเกตดูสมองจะเบาขึ้นจริงๆ

2. ดื่มน้ำให้พอ
แค่ขาดน้ำ สมองก็เฉา คิดไม่ออกเพราะเลือดหนืดขึ้นนั่นแหละ
แนะนำให้จิบน้ำตอนตื่นนอน แล้วอีกทุกๆ 1-2 ชั่วโมง

3. เริ่มวันด้วยการเขียนหรือ คิดเงียบๆสัก 5 นาที
การจัดระเบียบความคิด = ปลดล็อกสมองตั้งแต่เช้า
บางคนแค่เขียนสิ่งที่ต้องทำลงกระดาษ ก็ตัดความวุ่นวายในหัวได้แล้ว

4. ออกกำลังกายเบาๆ
เดิน 15 นาที วิ่งเบาๆ หรือแค่ยืดเส้นตอนเช้า = สมองปลุกพลัง
สมองชอบเลือดไหลเวียนดี

5. เล่นเกมฝึกสมอง
Sudoku, เกมจับคู่, เกมคำศัพท์ หรือแอปที่เน้น logic
วันละ 5-10 นาทีก็เวิร์กแล้ว

6. ตั้งคำถามกับตัวเองบ่อยๆ
ถ้าเป็นเรา เราจะแก้ปัญหานี้ยังไง
การคิดแบบนี้ช่วยให้สมองพัฒนาแนวคิดเชิงวิเคราะห์

7. อ่านหนังสือให้หลากหลายแนว
อย่าอ่านแค่สิ่งที่ชอบ ลองเปิดใจให้สิ่งใหม่ๆ บ้าง
ชอบนิยายลองอ่านบทความวิทยาศาสตร์เบาๆ ดูสิ

8. ฟังพอดแคสต์หรือดูวิดีโอความรู้ระหว่างเดินทาง
เปลี่ยนเวลาเบื่อบนรถให้เป็นช่วงเติมสมองแบบไม่ฝืน

9. คุยกับคนที่มุมมองต่างจากเรา
การแลกเปลี่ยนความคิดแบบไม่ถกเถียง คือยิมสมองขั้นเทพ

10. เปลี่ยนบรรยากาศบ้าง
อยู่ที่เดิม คิดแบบเดิม ลองเปลี่ยนมุม โต๊ะทำงาน หรือเดินไปคาเฟ่ใกล้ๆ

11. ฝึกจำแบบมีเทคนิค(เช่น Mind map หรือ Story linking)
เพราะสมองไม่ชอบ ท่องจำแต่มันชอบเชื่อมโยง

12. ลองทำสิ่งใหม่ๆเป็นประจำ
เช่น เรียนภาษาใหม่ทำอาหารเมนูที่ไม่เคยลองหัดดีดอูคูเลเล่
สมองเหมือนกล้ามเนื้อ ยิ่งใช้หลายแบบ ยิ่งแข็งแรง

13. ลด multitasking
อย่าทำหลายอย่างพร้อมกัน สมองจะล้าเร็ว
ทำทีละอย่าง โฟกัส แล้วพัก = เวิร์กกว่า

14. ฝึกสังเกตรายละเอียดรอบตัว
เวลาเดินไปไหน ลองสังเกตเสียง กลิ่น หรือสีรอบข้าง
ช่วยฝึกความไวในการ รับรู้ของสมอง

15. เขียนมือแทนพิมพ์บ้าง
เวลาเขียน สมองต้องคิดก่อนขยับมือ
เป็นการฝึกประสานมือ-ตา-สมองที่ดีมากๆ

16. พูดในสิ่งที่เรียนรู้ออกมาดังๆ
การอธิบายให้คนอื่นฟัง คือการสรุปและฝึกเชื่อมโยงในหัวเราเอง

17. ตั้งเป้าเล็กๆให้ตัวเองในแต่ละวัน
เช่น วันนี้จะไม่เลื่อนมือถือตอนกินข้าว หรือจะอ่านหนังสือ 5 หน้าสมองจะตื่นเมื่อมันมี ภารกิจเล็กๆให้ทำ

18. ฝึกใจให้สงบทุกวัน
สมองจะไวถ้าใจไม่วุ่น
แค่หลับตา นั่งนิ่งๆ หายใจเข้าออกช้าๆ สัก 3 นาที ก็ช่วยได้เยอะแล้ว

แนะนำให้อ่าน
สร้างสมองให้อัจฉริยะ 
https://s.lazada.co.th/s.CjEQ7?cc
https://s.shopee.co.th/7V4iRC5Gu8
#สร้างสมองให้อัจฉริยะ 
#สมองไว
#สมองดี

18 เหตุผลทำไมคุณควร “ลงมือเงียบๆ 100 วัน”


1. คุณจะได้ยินเสียงข้างในตัวเองชัดขึ้น
เมื่อคุณไม่ต้องอธิบายให้ใครฟัง ความคิดของคุณจะไม่กระเจิง มันจะนิ่ง และเริ่มชัดขึ้นเหมือนตอนอยู่ในห้องเงียบๆ แล้วอยู่ดีๆ ก็ได้ยินเสียงหัวใจตัวเองเต้น นั่นแหละ พลังของความเงียบ

2. ไม่มีเสียงนกเสียงกาให้ไขว้เขว
คนบางคนจะพยายามบอกคุณว่า มันยากไปหรือไม่น่ารอดหรอกแต่ถ้าคุณไม่บอกใคร คุณก็จะไม่ต้องเสียเวลากลับไปพิสูจน์ให้ใครดู

3. คุณจะโฟกัสกับการทำมากกว่าการพูด
พูดไป 10 ยังไม่เท่าลงมือทำ 1
เงียบไว้ แล้วให้ผลงานมันพูดแทนคุณทีหลัง

4. คุณจะเซฟพลังใจจากความคาดหวัง
เวลาเราบอกคนอื่นเยอะๆ แล้วทำไม่ได้ตามนั้น มันจะรู้สึกผิดกับตัวเองโดยไม่รู้ตัวแต่ถ้าเงียบไว้ก่อนคุณจะทำได้ อย่างอิสระ

5. คุณจะเลิกขอคำอนุญาตจากคนอื่น
ไม่ต้องรอให้ใครมาอนุมัติความฝันของคุณ
เริ่มทำเลย ถึงมันจะเล็กแค่ไหนก็ตาม

6. คุณจะเจอตัวจริงของตัวเอง
เงียบ 100 วันจะทำให้คุณรู้ว่า จริงๆ แล้วคุณทำสิ่งนี้เพื่อคนอื่นหรือเพื่อตัวเอง

7. คุณจะไม่ถูกเปรียบเทียบ
ถ้าคุณไม่พูดว่า คุณกำลังทำอะไรคนก็จะไม่เอาคุณไปเปรียบกับใครเงียบไว้ก่อน แล้วปล่อยให้ผลลัพธ์มันแสดงตัว

8. คุณจะประหยัดพลังงานในการอธิบาย
บางทีเราหมดแรงตั้งแต่ยังไม่เริ่ม เพราะมัวแต่อธิบายให้คนอื่นเข้าใจ

9. คุณจะรู้จักคำว่าสม่ำเสมอ
ทำอะไรเงียบๆ ต่อเนื่อง มันสร้างกล้ามเนื้อของความมีวินัย
และวินัยจะพาคุณไปไกลกว่าความฮึกเหิมชั่วคราว

10. คุณจะมีเวลาแก้ไข ล้มแล้วลุกได้โดยไม่มีใครมาตัดสิน
ถ้าล้ม ก็ไม่มีใครรู้และคุณจะลุกขึ้นมาได้โดยไม่รู้สึกว่า ฉันพลาดต่อหน้าคนอื่น

11. คุณจะหลงรักกระบวนการมากกว่าผลลัพธ์
เงียบๆ ทำไป มันจะไม่ใช่แค่เรื่องเป้าหมาย แต่กลายเป็นการพัฒนาตัวเองแบบลึกซึ้ง

12. คุณจะเข้าใจว่าการเริ่มต้นต้องการแค่ 1 ก้าวไม่ใช่ปรบมือคุณไม่ต้องรอแรงเชียร์คุณแค่ต้องเชียร์ตัวเองคนแรกให้ได้ก่อน

13. คุณจะกลายเป็นคนที่น่าเชื่อถือ
คนที่พูดน้อยแต่ทำจริง มักจะเป็นคนที่ใครๆ ก็อยากร่วมงานด้วย

14. คุณจะเริ่มเห็นผลลัพธ์เล็กๆ ที่ไม่มีใครเห็น
เช่น วันนี้คุณเขียนบทความได้อีก 1 หน้า
หรือวันนี้คุณออกกำลังกายครบ 15 นาที
สิ่งเล็กๆ พวกนี้จะเริ่มสะสมจนกลายเป็นความภูมิใจ

15. คุณจะเริ่มมีความสุขกับตัวเองโดยไม่ต้องรอคำชม
มันคือความสุขเงียบๆ ที่อิ่มอยู่ข้างใน
แบบที่ไม่ต้องโพสต์อะไร ก็ยังรู้สึกดีได้

16. คุณจะได้ฝึกวางใจ
คุณจะเริ่มเชื่อว่า
ขอแค่เราทำต่อไป ทุกวัน สิ่งดีๆ 
จะมาแน่ แม้จะยังมองไม่เห็นตอนนี้

17. คุณจะเป็นแรงบันดาลใจแบบไม่รู้ตัว
วันหนึ่งคนจะมาทักว่าเฮ้ยไปทำอะไรมาวะชีวิตเปลี่ยนเลย
แล้วคุณก็จะยิ้มเบาๆเพราะคุณรู้ว่าคุณเงียบแต่ทำ

18. คุณจะกลับมารักตัวเองอีกครั้ง
ความมั่นใจจะกลับมาเพราะคุณไม่ได้หวังคำยืนยันจากใคร คุณเห็นด้วยตาตัวเองแล้วว่าเราก็เก่งเหมือนกันนี่นา

แนะนำให้อ่าน
https://s.lazada.co.th/s.CKWTQ?cc
https://s.shopee.co.th/5AgvcGtReZ
#ลงมือทําคือคําตอบ
#ลงมือก่อนมั่นใจทีหลัง

วันพฤหัสบดีที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2568

รวม 18 ทริคลดงานสำหรับคนยุ่งๆโฟกัสแค่ 20% ก็สำเร็จได้.


1. เริ่มวันด้วยคำถามนี้
วันนี้งานไหนสำคัญสุด
ตื่นเช้ามา ก่อนเช็กมือถือ ให้เขียน 1 อย่างที่ต้องทำให้ได้ ไม่ว่าจะยุ่งแค่ไหนก็ตาม

2. ทำก่อนคิดถึงมันเยอะ
งานบางอย่างไม่ต้องรอ อารมณ์แค่ลุกขึ้นเริ่มเลย เช่น การตอบเมล หรือเคลียร์โต๊ะ

3. ลิสต์งานแบบไม่ทำก็ไม่ตาย
บางงานแค่ รู้สึกต้องทำแต่จริงๆ ไม่มีผลอะไรกับเป้าหมาย ลบมันทิ้งซะ

4. ใช้เทคนิค 2 นาที
งานไหนทำไม่เกิน 2 นาที เช่น ตอบไลน์ ส่งไฟล์ จัดการเลย อย่าเก็บไว้

5. ทำทีละงานให้จบ
เลิกสลับงานไปมา มันแค่ทำให้เหนื่อยใจโดยไม่รู้ตัว

6. ตั้งเวลาให้ตัวเองแบบเกม
ใช้นาฬิกานับถอยหลัง 25 นาที (Pomodoro) แล้วพัก 5 นาที สนุกเหมือนแข่งกับตัวเอง

7. ตัดงานซ้ำซากด้วยเทมเพลต
อีเมลเดิมๆสร้างเทมเพลตไว้เลย เช่น การตอบลูกค้ารายงานผล

8. เรียงงานตามพลัง
งานยาก ทำตอนเช้าพลังเต็ม งานเบาๆ ท้ายวัน เช่น จัดไฟล์ หรือลบรูปในมือถือ

9. ไม่ต้องตอบทุกคนทันที
ปิดแจ้งเตือนบ้างก็ได้ ไม่มีใครตายเพราะเรายังไม่ตอบไลน์ใน 5 นาที

10. ใช้ NO อย่างอ่อนโยน
ตอนนี้ยังไม่สะดวกนะ ขอเป็นอาทิตย์หน้าได้ไหมก็ช่วยให้ชีวิตไม่ล้นเกินแล้ว

11. ประชุมให้ไวเหมือนไลฟ์ TikTok
ตั้งเวลาไว้เลย เช่น ประชุมไม่เกิน 20 นาที โฟกัสหัวข้อ ไม่วกวน

12. อย่าทำทุกอย่างเอง
ลองให้คนอื่นช่วย เช่น แอดมิน แอปช่วยจัดตาราง หรือ AI ก็ใช้ได้เลย

13. ปิดงานด้วย 5 นาทีสรุป
ทุกครั้งที่ทำงานจบ สรุปสั้นๆ ว่าได้อะไร จะได้ไม่ต้องนั่งคิดใหม่รอบหน้า

14. จัดโต๊ะก่อนสมองล้า
โต๊ะรกใจก็รกร่วมด้วย ลองใช้เวลานิดเดียวจัดทุกเช้า ช่วยให้โฟกัสดีขึ้น

15. จับเวลาใช้โซเชียล
โพสต์ ตอบไลน์ เล่น IG ได้ แต่ให้มันเป็น ช่วงเวลาไม่ใช่ ตลอดเวลา

16. ไม่ต้องทำให้เพอร์เฟกต์
80% ที่ใช้งานได้ ดีกว่า 100% ที่ไม่เสร็จสักที

17. ใช้คำถามนี้ปิดวัน
วันนี้ได้ทำ 1 อย่างสำคัญแล้วหรือยัง
ตอบว่าใช่ได้ = ชนะแล้ว

18. ให้รางวัลตัวเองเมื่อทำสำเร็จ
งานเล็กหรือใหญ่ พอทำสำเร็จ ให้รางวัลตัวเองเล็กๆ เช่น กาแฟแก้วโปรด หรือฟังเพลงที่ชอบ
#Read #Journey
#งานยุ่งมาก #จัดการเวลา

แจกฟรี! 20 Prompt สำหรับครูไทย ช่วยจุดประกายไอเดียเขียน "แผนการจัดการเรียนรู้" แบบมือโปร

แจกฟรี! 20 Prompt สำหรับครูไทย ช่วยจุดประกายไอเดียเขียน "แผนการจัดการเรียนรู้" แบบมือโปร
1. ออกแบบแผนการสอนคณิตศาสตร์ ป.4 เรื่อง "เศษส่วน" ให้เป็นเรื่องสนุกและเข้าใจง่าย โดยใช้ของจริงหรือเกมเข้ามาช่วย

2. เขียนแผนการจัดการเรียนรู้ภาษาไทย ป.6 ที่เน้นพัฒนาทักษะ "การอ่านจับใจความสำคัญ" จากข่าวหรือบทความในปัจจุบัน

3. ช่วยสร้างสรรค์แผนการสอนภาษาอังกฤษ ม.1 เพื่อลดความประหม่าและสร้างความกล้าในการพูดผ่าน "กิจกรรม Role-Play สถานการณ์จำลอง"

4. ร่างแผนการสอนวิทยาศาสตร์ ป.5 เรื่อง "การเปลี่ยนแปลงของสถานะของสาร" โดยใช้การทดลองที่มองเห็นได้ชัดเจนและใช้อุปกรณ์ที่หาได้ง่าย

5. ออกแบบแผนการสอนวิชาประวัติศาสตร์ ที่ทำให้นักเรียนรู้สึกเหมือนเป็น "นักสืบประวัติศาสตร์" เพื่อแก้ปัญหาการเรียนแบบท่องจำ

6. เขียนแผนการสอนแบบ Active Learning 1 คาบเรียนเต็ม สำหรับวิชาสังคมศึกษา เพื่อให้นักเรียนทุกคนได้เคลื่อนไหวและมีส่วนร่วม

7. ช่วยร่างโครงแผนการสอนแบบใช้โครงงานเป็นฐาน (Project-Based Learning) ในหัวข้อ "การจัดการขยะในโรงเรียน" สำหรับนักเรียนชั้น ม.ต้น

8. ออกแบบแผนการสอนคำศัพท์ภาษาอังกฤษ โดยใช้หลัก "Gamification" ให้มีการแข่งขัน เก็บคะแนน และเลื่อนระดับ

9. เขียนแผนการสอนแบบ Flipped Classroom สำหรับวิชาคณิตศาสตร์ ม.ปลาย โดยระบุว่าจะให้นักเรียนไปดูคลิปหรืออ่านอะไรมาก่อนเข้าห้องเรียน

10. ร่างแผนการสอนแบบสะเต็มศึกษา (STEM) สำหรับนักเรียน ป.6 ในโจทย์ "การสร้างเครื่องกรองน้ำอย่างง่ายจากวัสดุธรรมชาติ"

11. ออกแบบแผนการสอนสำหรับ "ชั้นเรียนคละความสามารถ" (เก่ง-กลาง-อ่อน) ในวิชาภาษาไทย โดยมีกิจกรรมที่ท้าทายแตกต่างกัน 3 ระดับ
12. ช่วยสร้างสรรค์กิจกรรมต่อยอดในแผนการสอน สำหรับ "นักเรียนกลุ่มเก่ง" ที่ทำงานเสร็จเร็วกว่าเพื่อน เพื่อไม่ให้พวกเขาเบื่อ

13. เขียนแผนการสอนที่สร้างแรงจูงใจ สำหรับวิชาที่นักเรียนมักไม่ชอบ โดยเชื่อมโยงเนื้อหาเข้ากับสิ่งที่นักเรียนสนใจ เช่น เกม หรือภาพยนตร์

14. ออกแบบกิจกรรมในแผนการสอน ที่สอดแทรกการพัฒนา "Soft Skills" เรื่องการทำงานเป็นทีมและการรับฟังความคิดเห็นผู้อื่น

15. ร่างแผนการสอนสำหรับ "ห้องเรียนรวม" ที่มีนักเรียนที่มีความต้องการพิเศษ โดยระบุวิธีการช่วยเหลือและปรับกิจกรรมให้เหมาะสม

16. ออกแบบแผนการสอนแบบบูรณาการ 3 วิชา (เช่น ศิลปะ, สังคม, ภาษาไทย) ในหัวข้อ "วัฒนธรรมท้องถิ่นของเรา"

17. เขียนแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ 1 วันเต็ม สำหรับ "วันสุนทรภู่" หรือ "วันวิทยาศาสตร์" ให้มีกิจกรรมที่หลากหลายและน่าสนใจ

18. ช่วยสร้างสรรค์แผนการสอนที่ "พานักเรียนออกไปเรียนรู้นอกห้องเรียน" ในหัวข้อ "สำรวจระบบนิเวศรอบโรงเรียน"

19. ร่างแผนการสอนสังคมศึกษา ที่เชื่อมโยงกับบริบทของจังหวัดเชียงราย ในหัวข้อ "ประวัติศาสตร์และสถานที่สำคัญในท้องถิ่นของเรา"

20. ออกแบบวิธีการวัดผลและประเมินผลที่หลากหลาย (ที่ไม่ใช่แค่การสอบ) สำหรับแผนการสอนเรื่อง "การนำเสนอโครงงาน"

ที่มา เพจครูเชียงราย

เลี้ยงลูกให้แกร่ง… อย่างนกอินทรี

🦅 เลี้ยงลูกให้แกร่ง… อย่างนกอินทรี ✨ นกอินทรีเป็นพ่อแม่ที่สอนลูกให้ "แกร่ง" และ "เอาตัวรอด" ได้ตั้งแต่เกิด 🦅 พวกมันไม่...