วันพฤหัสบดีที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2568

ยุคที่ 3 ของ E-Commerce กำลังมา เลิกหาปลา แล้วเลี้ยงปลาเองด่วน



1. สถานการณ์ปัจจุบันของ Flash Express ไม่ได้แย่หรือดีจนเกินไป ยังคงมีความหวังในการดำเนินธุรกิจอยู่นะคะ แต่สิ่งที่บริษัทกำลังเผชิญอยู่คือความกดดันอย่างหนักจากผู้ส่งสินค้า เดิมทีลูกค้าส่วนใหญ่เป็นผู้ค้ารายย่อยที่ทำธุรกิจแบบ Social Commerce แต่ตอนนี้ Social Commerce ในไทยเหลือเพียง 15% เท่านั้นค่ะ ผู้ประกอบการส่วนใหญ่หันไปพึ่งพาแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ ทำให้แพลตฟอร์มเข้ามากินส่วนแบ่งตลาดถึง 85% ของอีคอมเมิร์ซในประเทศไทย ด้วยเหตุนี้ ผู้ส่งที่ใหญ่ที่สุดสำหรับ Flash ในวันนี้จึงกลายเป็นแพลตฟอร์มเหล่านั้นโดยตรงเลยค่ะ

2. การทำความเข้าใจตลาดอีคอมเมิร์ซในประเทศไทยให้ชัดเจนนั้น เราจำเป็นต้องไปดูภาพรวมที่ประเทศจีนก่อนนะคะ เพราะจีนถือเป็นต้นตำรับที่สร้างปรากฏการณ์ใหม่ๆ ทั้งในด้านอีคอมเมิร์ซ, ไลฟ์คอมเมิร์ซ, และคอมมูนิตี้ต่างๆ ย้อนไปเมื่อปี 2021 มีการคาดการณ์ว่า Live Commerce จะมาแน่ ซึ่งในยุคนั้นคือยุคที่ 1 ของอีคอมเมิร์ซ หรือยุคที่เน้นสินค้าที่ถูกที่สุด ส่งตรงจากโรงงาน ผู้ประกอบการในยุคนั้นเน้นการซื้อมาขายไป โดยมุ่งทำราคาให้ต่ำที่สุด และให้ความสำคัญกับการยิงโฆษณาเพื่อผลตอบแทนการลงทุน (ROI) สูงสุดเป็นหลักค่ะ

3. ยุคที่ 2 ของอีคอมเมิร์ซ คือยุคของ Influencer หรือ KOLs ที่กำลังเกิดขึ้นในประเทศไทย แต่ได้ผ่านพ้นไปแล้วในประเทศจีนนะคะ ในยุคนี้ผู้บริโภคจะตัดสินใจซื้อสินค้าตามคนที่พวกเขาติดตามหรือเป็นแฟนคลับ ซึ่งเป็นยุคที่เรียกว่า ปลาเร็ว กิน ปลาช้า ใครที่ปรับตัวได้เร็วย่อมชนะ แต่สิ่งที่น่าตกใจกว่านั้นคือ ยุคที่ 3 ที่กำลังจะมาถึงหรือมาถึงแล้วในจีน คือยุคที่ Influencer จะหายไป

4. คุณคมสันต์ได้เตือนล่วงหน้า 3 ปีที่แล้วว่า Live Commerce จะมาจริง ซึ่งวันนี้เราก็เห็นแล้วว่ามันเกิดขึ้นจริงนะคะ และตอนนี้ท่านได้บอกอีกว่ายุคถัดไป ผู้ขายที่เป็น KOL หรือ Influencer จะถูกแทนที่ด้วย AI ทั้งหมดเลยค่ะ คอนเทนต์ แฟนคลับ หรือแม้แต่ค่าคอมมิชชั่นที่เคยได้มาง่ายๆ ในวันนี้จะค่อยๆ หายไปเรื่อยๆ ทำให้คุณค่าของคนกลางเหล่านี้จะลดลงไปในที่สุดนะคะ

5. ถ้าเรายังไม่ยอมเปลี่ยนตัวเองในตอนนี้ ภายใน 2-3 ปีข้างหน้า คุณค่าของเราจะลดลงไปมาก มีการเปรียบเทียบที่รุนแรงว่า เราอาจจะกลายเป็นเหมือนลิงที่แสดงอยู่บนเวที และได้รับค่าแรงหรือค่าตอบแทนที่ลดลงเรื่อยๆ จนวันหนึ่งไม่เหลือคุณค่าอะไรเลย เหตุผลที่น่าเศร้าคือ เวทีนั้นไม่ใช่ของเรา และผู้ชมก็ไม่ได้ติดตามตัวเราที่เป็น ลิง แต่เขาติดที่ เวที หรือแพลตฟอร์มต่างหากค่ะ

6. หัวใจสำคัญของการอยู่รอดในยุคที่ 3 คือการสร้างแบรนด์ของตัวเองเท่านั้นค่ะ ยุคที่ 1 เราแค่ไป จับปลา ในที่ที่มีคนหนาแน่นหรือมีโซเชียล ยุคที่ 2 เราเริ่ม สร้างกลุ่มปลา หรือความถนัดของตัวเอง แต่ในยุคที่ 3 บ่อปลาเหล่านั้นจะแห้งหมด เราจะไม่สามารถไปหาปลาได้อีกแล้ว ดังนั้น เราต้องเปลี่ยนมาเป็นผู้ที่ เลี้ยงปลาเอง ถึงจะอยู่รอดและไม่ถูกแทนที่นะคะ

7. การที่เจ้าของแบรนด์สามารถทำธุรกิจด้วยตัวเองได้ โดยที่แพลตฟอร์มมีเครื่องมือหรือ Algorithm ที่ทำให้เจ้าของแบรนด์เข้าถึงผู้บริโภคโดยตรง จะทำให้คนกลางอย่าง Influencer หรือตัวแทนขายมีประโยชน์น้อยลง ในประเทศจีนตอนนี้ Influencer ที่เคยทำรายได้มหาศาลจากการไลฟ์สดก็แทบจะเหลืออยู่ไม่กี่รายแล้ว เพราะสุดท้ายแล้วแพลตฟอร์มต้องการให้ Influencer หาผู้บริโภคมาให้ เพื่อที่แพลตฟอร์มจะได้รับ GP จากการซื้อขายตามปกติค่ะ

8. ภูมิทัศน์ของแพลตฟอร์มออนไลน์ในจีนได้เปลี่ยนไปมากนะคะ เดิมทีเป็นยุคของ BAT (Baidu, Alibaba, Tencent) ต่อมาก็มี T2 เกิดขึ้น (Meituan, TikTok/Douyin) และล่าสุดก็มีผู้เล่นใหม่เข้ามาเพิ่มอีกสองราย คือ Pinduoduo หรือ Temu กับอีกเจ้าคือ SHEIN แม้ว่า T2 ยังคงเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญ แต่พวกเขาก็กำลังเจอความท้าทายหนัก

9. สาเหตุที่ทำให้ Tier 2 แซงหน้าผู้เล่นเก่าๆ อย่าง Baidu (ที่เปรียบเสมือน Google ของจีน) ไปแล้ว คือความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป จากเดิมที่ผู้คนใช้แพลตฟอร์มจนเป็นนิสัย ตอนนี้ผู้บริโภคมีความต้องการที่หลากหลายมากขึ้น การเปลี่ยนแปลงนี้ส่งผลให้แพลตฟอร์มเก่าๆ ต้องเร่งปรับตัวตามค่ะ

10. วิธีการซื้อสินค้าของผู้บริโภคก็มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องนะคะ ในอดีตเราใช้วิธี Searching คือการพิมพ์คำที่เราต้องการ ยุคต่อมาคือการดูไลฟ์สดไปด้วยแล้วก็ซื้อไปด้วย และตอนนี้เทคโนโลยีพัฒนาไปถึงขั้นที่สินค้าจะถูกส่งมาหาเราโดยตรง โดยที่เรายังไม่ทันได้สั่งเลยค่ะ

11. ตัวอย่างของโมเดลการส่งของโดยตรงคือ เหอหม่า (Hema) เป้าหมายดั้งเดิมของการตั้งบริษัทคือต้องการ ฆ่าตู้เย็น ที่บ้าน หมายความว่า ทุกบ้านจะต้องไม่มีตู้เย็นอีกต่อไป เพราะพวกเขาจะส่งของให้เราตามความต้องการอัตโนมัติ เหอหม่ามีข้อมูลสมาชิกว่าในหนึ่งสัปดาห์คุณต้องการหมูกี่กิโล ไก่ นม หรือไข่เท่าไหร่

12. ระบบของเหอหม่าจะส่งสินค้าที่สดใหม่ที่สุดและราคาถูกที่สุดไปยังหน้าบ้านของเราโดยอัตโนมัติ โดยที่เราไม่ได้สั่ง โอกาสที่เราจะซื้อมันมีสูงถึง 99% เลยทีเดียวค่ะ เพราะเป็นสินค้าที่เราต้องการพอดีในราคาที่ถูกมาก นี่แสดงให้เห็นว่าเทคโนโลยีและข้อมูลกำลังขับเคลื่อนการบริโภคไปสู่รูปแบบที่ผู้บริโภคแทบจะไม่ต้องออกแรงซื้อเลยนะคะ

13. คุณคมสันต์ได้ตั้งบริษัทใหม่ชื่อ MICorn ขึ้นมา โดยมีธุรกิจหลัก 3 ด้าน คือ นำเข้าแบรนด์, ส่งออกแบรนด์, และพัฒนาแบรนด์ แต่สิ่งที่ทำเป็นอันดับแรกคือการนำเข้าแบรนด์จากต่างประเทศค่ะ ท่านเชื่อว่าคนไทยส่วนใหญ่อาจจะตำหนิที่นำแบรนด์ต่างชาติเข้ามาแข่งขันในขณะที่คนไทยก็แข่งขันกันรุนแรงอยู่แล้ว

14. การนำเข้าแบรนด์ต่างชาติถือเป็นการนำเข้าเทคโนโลยีอย่างหนึ่ง ซึ่งจำเป็นต่อการสร้างการเปลี่ยนแปลงในประเทศ ยกตัวอย่างประเทศจีนที่เคยไม่มีอุตสาหกรรมมือถือหรือรถยนต์เป็นของตัวเอง แต่พวกเขายอมให้ iPhone, Samsung, Toyota, และ Tesla เข้ามาผลิต จนในที่สุดจีนก็สามารถสร้างแบรนด์ของตนเองขึ้นมาได้สำเร็จ เช่น Xiaomi, OPPO, และรถยนต์อีกหลายยี่ห้อที่ไปทั่วโลก

15. ประเทศไทยเรามีความอุดมสมบูรณ์และมีทรัพยากรพร้อมทุกอย่าง แต่เราขาดเทคโนโลยีที่เพียงพอ เราเป็นเพียงผู้ใช้เทคโนโลยีมากกว่าผู้สร้างเทคโนโลยี ดังนั้น การนำเข้าเทคโนโลยีจึงเป็นทางเดียวที่จะสร้างการเปลี่ยนแปลงได้ แน่นอนว่าไม่มีประเทศไหนอยากส่งเทคโนโลยีมาให้เราเป็นคู่แข่ง วิธีเดียวที่จะได้มาคือการที่พวกเขาได้รับประโยชน์จากประเทศเราด้วยค่ะ

16. แบรนด์แรกที่คุณคมสันต์นำเข้าคือ ชาจี (Cha Ji) ซึ่งเป็นแบรนด์ชาที่อยู่ในตลาด NASDAQ มีมูลค่าเกือบ 200,000 ล้านบาท การนำเข้าชาจีมาทำ R&D Center ร่วมกันที่เชียงใหม่ มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาชาไทย เพราะชาที่เชียงใหม่และเชียงรายเป็นชาพันธุ์เดียวกับที่ปลูกในยูนนาน

17. การร่วมมือกับชาจีจะช่วยให้ชาวสวนชาไทยได้ราคาชาที่ดีขึ้น เพราะนอกจากจะบริโภคภายในประเทศแล้ว ยังสามารถส่งออกไปทั่วโลกได้ โดยแทบไม่ต้องเสียภาษีในฐานะประเทศกำลังพัฒนา นอกจากนี้ ทีมงานคนไทยจะได้เรียนรู้ Knowledge ทั้งหมดเกี่ยวกับการพัฒนาและ R&D ของแบรนด์ชาอันดับหนึ่งของจีนด้วย

18. คุณคมสันต์เชื่อว่า จีนมาแน่ๆ แล้วค่ะ และมาหมดแล้วด้วย เพราะประเทศจีนทุกช่องทางและทุกภาคส่วนเต็มหมดแล้ว ขณะที่สหรัฐฯ และยุโรปก็มีปัญหาทางการเมืองและการค้าอยู่ ดังนั้น บ้านเราจึงเป็นเป้าหมายเดียวที่เปิดรับทุกอย่าง แทนที่จะปล่อยให้เขาเข้ามาแล้วได้ไปทั้งหมด เราจึงควรขอมีส่วนร่วมในการพัฒนาและเรียนรู้ เพื่อสร้างแบรนด์ของตัวเองในอนาคต

19. การตัดสินใจร่วมงานกับชาจีเกิดจากมุมมองที่ว่า ในประเทศที่กำลังพัฒนา มาม่ามียอดขายอันดับ 1 ในประเทศที่พัฒนาแล้ว ขนมปังคือ 10 เท่าของมาม่า แต่ไม่ว่าประเทศจะพัฒนาแล้วหรือไม่ เครื่องดื่มคือตลาดที่ใหญ่ที่สุด ในเมื่อเราเป็นที่หนึ่งของมาม่าและมีฟาร์มเฮ้าส์ที่เป็นที่หนึ่งของขนมปังแล้ว การทำเครื่องดื่มกับชาจีซึ่งเป็นที่หนึ่งของจีนจึงเป็นสิ่งที่สมเหตุสมผลค่ะ

20. CEO ของชาจีต้องการมาแทนที่ น้ำ 8 แก้ว และทำให้การดื่มน้ำ 8 แก้วของมนุษย์มีคุณภาพมากขึ้น ชาจีมีจุดเด่นคือรสชาติอร่อยจริงๆ และสิ่งที่น่าสนใจคือวัฒนธรรมของบริษัท MICorn คือ ถ้าทีมงานไม่ชอบ ไม่กิน หรือไม่บริโภคสินค้าตัวนั้น จะไม่ทำธุรกิจนั้นเลยค่ะ

21. ธุรกิจที่สองที่ MICorn กำลังจะนำเข้ามาคือธุรกิจทรัพย์สินทางปัญญา (IP) โดยจะเปิดร้านขายการ์ด Pokémon และการ์ด Ultraman ภายใต้บริษัท Kayo Kayo เป็นบริษัทที่ทำรายได้ 60,000 ล้านบาท และกำไร 26,000 ล้านบาท จากการขายการ์ดอย่างเดียวเมื่อปีที่แล้ว ธุรกิจ IP เป็นสิ่งที่คนไทยถนัด แต่ยังไม่มีโอกาสไปสู่ระดับโลกนะคะ

22. สิ่งที่ต้องการทำคือ การใช้ช่องทางของ Kayo ซึ่งใหญ่กว่าตลาดไทยถึง 20 เท่า เพื่อนำ IP ของไทยไปขายทั่วโลก ยกตัวอย่างเช่น การทำ การ์ดลิมิเต็ด หรือ การ์ดสะสม รูปพระราชวังของเราให้นักท่องเที่ยวซื้อไปฝากเพื่อนๆ ได้ นี่เป็นแนวคิดที่ต่างจากแค่การนำเข้าของเขามาขายอย่างเดียวค่ะ

23. เกณฑ์ในการเลือกแบรนด์ที่จะนำเข้ามามี 3 ข้อหลักๆ นะคะ ข้อแรก คือ แบรนด์นั้นต้องเคยผ่านวิกฤตมาแล้ว 2 ครั้ง ได้แก่ วิกฤตการแข่งขันที่ทำให้เติบโตจนเป็นอันดับต้นๆ ของประเทศ และวิกฤตโควิด ข้อสอง คือ แบรนด์นั้นต้องเป็นอันดับหนึ่ง หรือมีส่วนแบ่งการตลาดที่มากกว่าอันดับ 2 และ 3 รวมกัน

24. ข้อที่สามในการเลือกแบรนด์คือ ต้องเลือกแค่ 2 ด้าน คือ เป็นแบรนด์ที่มีมูลค่าระยะยาว (Value) มากที่สุด หรือไม่ก็เป็นแบรนด์ที่เป็น Masso คือเข้าถึงกลุ่มคนได้กว้างที่สุด สำหรับชาจีถือเป็นแบรนด์ที่มีคุณค่ามากที่สุด นอกจากนี้ ท่านยังสนใจธุรกิจร้านสะดวกซื้อด้วย ซึ่งเป็นการท้าทายตลาดที่มีการผูกขาดในปัจจุบัน

25. การที่จีนกำลังจะบุกตลาดไทยเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เราต้องเรียนรู้จากพวกเขาให้ได้มากที่สุด คุณคมสันต์ต้องการเป็น สะพาน เชื่อมให้จีนเข้ามาเพื่อให้เราได้เรียนรู้ และท่านยืนยันว่าทุกบริษัทที่เข้ามาในไทยภายใต้ MICorn นั้น ต้องมีเงื่อนไขให้คนไทยถือหุ้นเกิน 51% เพื่อรักษาส่วนร่วมในการพัฒนาและเอกราชของเราไว้ค่ะ

26. ผู้ประกอบการไทยต้องตื่นตัวและกล้าที่จะเปลี่ยนแปลง ควรเปลี่ยนมุมมองจากที่มองว่าคู่แข่งคือศัตรู มามองว่าเป็นพาร์ทเนอร์แทน เพื่อที่เราจะได้เรียนรู้ คุณคมสันต์เชื่อว่าเราอาจจะแพ้ในระยะสั้น แต่ในระยะยาวเราจะชนะแน่ๆ เพราะนี่คือประเทศไทย ที่สำคัญ เราต้อง แปลงร่างเป็นปีศาจ คือไม่ยอมแพ้ และต้องดึง DNA ของผู้ประกอบการออกมา เพราะในโลกวันนี้มีเพียง ความแตกต่าง เท่านั้นค่ะ ที่จะเอาชนะใจผู้บริโภคได้

ตอนทำงานใหม่ๆ ไม่เคยรู้4 เทคนิคที่ช่วยให้ทุกงาน เสร็จเร็วขึ้น


.
แผนภาพ 4 วิธีการที่ช่วยให้งานเสร็จเร็วขึ้น มีประสิทธิภาพมากขึ้น และจัดระบบการทำงานได้เป็นระเบียบ และใช้เวลาอย่างมีคุณค่ามากขึ้น อย่าปล่อยให้เวลาที่มีเสียไปกับการนั่งคิดว่าต้อง “ต้องเริ่มที่ตรงไหนดี”
.
1.เทคนิค Pomodoro
ทำงาน 25 นาที พัก 5 นาที ทำอยู่อย่างนี้จนครบ 4 รอบแล้วพัก 15-30 นาที
.
วิธีจัดเวลางานและเวลาพักที่ลงตัว โดย ฟรานเซสโก ซีริลโล (Francesco Cirillo) ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1980 โดยใช้ชื่อมาจากนาฬิกาจับเวลาทรงมะเขือเทศที่เขาใช้ตั้งเวลา ข้อดีของการใช้ เทคนิค Pomodoro คือ ช่วยให้มีสมาธิมากขึ้น มีแรงจูงใจในการทำงานเพราะมีเวลาที่ชัดเจนเป็นตัวกำหนด ลดความปัญหาความเครียดจากการอัดงานเยอะ ๆ
.
2.Eisenhower matrix
แบ่งประเภทงาน , จัดหมวดหมู่ , เรียงลำดับความสำคัญ แล้วค่อยทำอย่างตามความ “ด่วน” เปรียบเสมือนวิธี “กันลืม” ที่ใช้ลดความผิดพลาดในงานได้อย่างดี
.
"กล่องไอเซนฮาวร์" หรือ "ตารางเร่งด่วน,สำคัญ" จัดลำดับความสำคัญตามความเหมาะสม ของงานที่คิดค้นโดย ดไวต์ ดี. ไอเซนฮาวร์ อดีตประธานาธิบดีคนที่ 34 ของสหรัฐอเมริกา
.
3.วิธี 3-3-3
ทำงานด้วยแนวคิด 3 งานสำคัญ 3 งานเล็ก ๆ และ 3 นาทีสำหรับเรื่องอื่น ๆ
.
เป็นเทคนิคจัดการเวลาและเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน โดย Oliver Burkeman นักเขียนและนักคิดชาวอังกฤษ โดยมุ่งเน้นไปที่การโฟกัสกับงานที่สำคัญที่สุด และลดการรบกวนจากงานอื่น ๆ
.
4.กฎ 2 นาที
หากมีงานอะไรก็ตามที่สามารถทำเสร็จได้ภายใน 2 นาที ให้ลงมือทำทันที โดยไม่ต้องผัดวันประกันพรุ่ง หรือหาข้ออ้าง เช่น การตอบ Email , โทรหาลูกค้า , จัดการไฟล์งาน หรือแม้กระทั่งเก็บกวาดโต๊ะทำงาน
.
แนวคิดการจัดการเวลาและฝึกวินัยที่คิดค้นโดย เดวิด อัลเลน (David Allen) ผู้เขียนหนังสือ Getting Things Done เป็นแนวคิดที่เรียบง่ายแต่ใช้ได้จริง การทำสิ่งที่ค้างอยู่เล็ก ๆ น้อย ๆ ให้เสร็จช่วยให้เริ่มต้นทำงานได้ดีขึ้น
.
.
เขียนและเรียบเรียงโดย 100WEALTH
———
100WEALTH l ไปให้ถึง100ล้าน
.
#Productivity
#100WEALTH
#ไปให้ถึง100ล้าน
.
Cr. Justin Mecham

บิดาแห่งการศึกษา

รู้จัก “บิดาแห่งการศึกษา” ที่ครูทั่วโลกยึดเป็นต้นแบบ
แต่ละคนเปลี่ยนโลกการเรียนรู้ไปตลอดกาล ✨
คุณรู้จักกี่คนจากในภาพนี้?
#Eduzones #นักคิดทางการศึกษา #ศึกษาศาสตร์ #ครูไทย #บิดาทางการศึกษา

วันพุธที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2568

🌙 Order of Love กฎลับที่ทำให้ความรักในครอบครัว… ไหลได้จริง ๆ

🌙 Order of Love  
กฎลับที่ทำให้ความรักในครอบครัว… ไหลได้จริง ๆ
ลึก ๆ แล้ว  
ครอบครัวเราไม่ใช่แค่คนที่อยู่ด้วยกัน  
แต่เป็นแม่น้ำสายใหญ่  
ที่ความรักต้องไหลจากรุ่นสู่รุ่น  
ถ้ามีหินก้อนไหนขวาง  
น้ำก็จะท่วม  
หรือแห้ง  
หรือไหลอ้อมไป

Bert Hellinger บอกว่า  
ถ้าเราจัด “ระเบียบของความรัก” ให้ถูกต้อง  
น้ำนั้นจะไหลลื่น  
ไหลไปถึงลูกถึงหลาน  
ไหลไปถึงความฝันที่เราเคยคิดว่าเป็นไปไม่ได้

---

1. ทุกคนต้องมีที่ของตัวเอง  
ไม่ว่าจะเป็นลูกที่ไม่เคยได้เกิด  
คู่เก่าที่ถูกทิ้ง  
พ่อที่จากไปเร็ว  
หรือญาติที่ไม่มีใครพูดถึง  

ถ้าเราลืมเขา  
เด็กคนใดคนหนึ่งในบ้าน  
จะเติบโตมาโดยรู้สึกว่า  
“ฉันไม่มีที่ของตัวเอง”  
แล้วใช้ชีวิตทั้งชีวิตเพื่อหาที่ที่ขาดหายไป

แค่หันไปพูดเบา ๆ กับอากาศว่า 
 
“คุณอยู่ในใจฉันนะ  
คุณมีที่ของคุณเสมอ”  

น้ำตาที่ไหลตอนนั้น  
คือน้ำที่เคยอุดตัน  
กำลังไหลกลับสู่แม่น้ำอีกครั้ง

---

2. พ่อแม่ใหญ่ ลูกเล็ก  
ประโยคสั้น ๆ ที่เปลี่ยนชีวิตได้ทั้งตระกูล

ลูกที่แบกพ่อแม่  
จะเดินโค้งงอไปทั้งชีวิต  
เพราะแบกสิ่งที่ไม่ใช่ของตัวเอง

ลองหลับตา  
นึกภาพพ่อแม่ยืนอยู่ข้างหน้า  
แล้วก้มหัวลงเล็ก ๆ  
พูดในใจว่า

“พ่อแม่ใหญ่ ลูกเล็ก  
ลูกยอมรับชีวิตที่พ่อแม่ให้มา  
และลูกจะใช้มันให้ดีที่สุด  
แทนที่พ่อแม่จะต้องมาแบกแทนลูก”

แค่ประโยคนี้  
ไหล่ที่เคยหนัก  
จะเบาลงทันที

---

3. ให้และรับต้องสมดุล  
พ่อแม่ให้ชีวิต  
ลูกไม่ต้องตอบแทนด้วยความยิ่งใหญ่  
แค่รับมันมาอย่างเต็มใจ  
แล้วส่งต่อด้วยความรัก

ถ้าเราปฏิเสธพ่อแม่  
เราจะปฏิเสธความรักทุกชนิดในชีวิตโดยไม่รู้ตัว

ลองพูดเบา ๆ ว่า  

“ขอบคุณที่ให้ชีวิตฉันมา  
ฉันรับมันอย่างเต็มใจ  
และฉันจะทำให้มันงอกงาม”

แล้วคุณจะรู้สึกว่า  
ความว่างเปล่าที่เคยอยู่ลึก ๆ  
ค่อย ๆ เต็มขึ้น

---

4. ยอมรับชะตากรรมของแต่ละคน  
บางคนต้องจากไปเร็ว  
บางคนต้องเจ็บป่วย  
บางคนต้องล้มเหลว

เราช่วยเขาไม่ได้ด้วยการเจ็บแทนเขา  
แต่ช่วยเขาได้ด้วยการปล่อยเขา

ลองพูดว่า  
“ชะตาของคุณเป็นของคุณ  
ฉันคืนมันให้คุณอย่างเคารพ  
และฉันจะเดินต่อด้วยชะตาของฉันเอง”

แล้วคุณจะพบว่า  
โรคที่เคยเป็นมานาน  
เริ่มทุเลาเบาบาง หรือหายดีโดยไม่มีเหตุผล

---

คืนนี้  
ลองนั่งเงียบ ๆ สัก 5 นาที  
นึกถึงคนในครอบครัวที่คุณไม่เคยพูดถึง  
หรือคนที่คุณเคยโกรธ  
แล้วพูดเบา ๆ ว่า

“คุณมีที่ของคุณ  
ฉันเห็นคุณ  
ฉันรักคุณ  
และฉันปล่อยคุณให้เป็นไปตามชะตาของคุณ”

น้ำตาที่ไหลตอนนั้น  
คือความรักที่เคยอุดตัน  
กำลังไหลกลับสู่แม่น้ำของครอบครัวอีกครั้ง

💛  
กอดคุณไว้แน่น ๆ นะ  
จากคนที่เคยแบกชะตาของทั้งตระกูล  
จนวันที่ยอมก้มหัวแล้วพูดว่า  
“พ่อแม่ใหญ่ ลูกเล็ก”

แล้วทุกอย่าง… ค่อย ๆ ไหลลื่น  
เหมือนแม่น้ำที่ในที่สุด  
ได้กลับไปสู่ทะเล

กอดไว้  
แล้วให้ความรักไหลต่อไป  
จากรุ่นสู่รุ่น  
โดยไม่มีอะไรขวางอีกแล้ว 💛

#OrderOfLove #ระเบียบแห่งความรัก
#FamilyHealing #การเยียวยาครอบครัว
#GenerationalFlow #ความรักที่ไหลข้ามรุ่น
#ParentsBigChildrenSmall #พ่อแม่ใหญ่ลูกเล็ก
#LoveWithoutBlock #ความรักที่ไม่มีสิ่งกีดขวาง

วันอังคารที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2568

5 เทคนิคลับ ใช้ “Perplexity” แบบนักวิจัยมืออาชีพ ค้นลึก ตอบแม่น ประหยัดเวลาค้นข้อมูล 10 เท่า 🔍

🚀

หลายคนยังใช้ Perplexity แค่ถามตอบทั่วไป ทั้งที่จริงแล้ว…  
มันคือ “AI Research Assistant” ที่วิเคราะห์ได้ละเอียดไม่แพ้นักวิเคราะห์มืออาชีพ!  
วันนี้เรารวม 5 เทคนิคระดับโปร ที่คุณทำตามได้ทันที 💡  

━━━━━━━━━━━━━━━  
1️⃣ ใช้ “Focus Mode” ให้ตรงหมวดข้อมูล  
อยากได้คำตอบเฉพาะสายไหน ให้เลือกโหมดก่อนค้น เช่น  
- **Academic** → ใช้ค้นงานวิจัย, บทความวิชาการ, เอกสารเชิงลึก  
- **Writing** → ใช้ร่างบทความ สรุปแนวคิด พร้อมโครงร่าง  
- **Wolfram | Code Interpreter** → ใช้คำนวณ วิเคราะห์ตัวเลข หรือเขียนโค้ด  
ฟีเจอร์นี้ช่วยลด noise จากแหล่งข้อมูลทั่วไป เหลือเฉพาะข้อมูล “ที่เชื่อถือได้จริง” 🎓  

━━━━━━━━━━━━━━━  
2️⃣ ใช้ “Follow-up Prompt” เจาะลึกเฉพาะจุด  
อย่าหยุดแค่คำถามแรก!  
หลังได้คำตอบ ให้พิมพ์ต่อด้วยคำสั่งเสริม เช่น  
> “อ้างอิงจากข้อ 2 ช่วยหางานวิจัยที่เกี่ยวข้องในช่วงปี 2023–2025 เพิ่มให้หน่อย”  
> “ช่วยสรุปเป็นตารางเปรียบเทียบแนวคิดจาก 3 แหล่งที่อ้างถึง”  
Perplexity จะเข้าใจบริบทการสนทนา และต่อยอดคำตอบให้ “ต่อเนื่องเหมือนนักวิเคราะห์จริง” 📊  

━━━━━━━━━━━━━━━  
3️⃣ ใช้ “Copilot Mode” ให้ AI คิดแทนก่อนถาม  
Copilot คือฟีเจอร์ใหม่ที่ช่วยให้ Perplexity ถาม “กลับ” เพื่อตีโจทย์คุณให้ชัดก่อนค้นจริง  
เช่น ถ้าพิมพ์ว่า  
> “ช่วยวิเคราะห์แนวโน้มเทคโนโลยี AI ในปีหน้า”  
Copilot จะถามกลับว่า  
> “ต้องการแนวโน้มเชิงเทคนิค, การตลาด, หรือการลงทุน?”  
มันจะช่วย refine คำถามให้แม่นยำสุด ๆ ก่อนเริ่มหาข้อมูล 🔧  

━━━━━━━━━━━━━━━  
4️⃣ ใช้ “Collections” เก็บข้อมูลเป็นหมวด  
เวลาเจองานวิจัยหรือข้อมูลสำคัญ ให้กด Save → เพิ่มเข้า “Collections”  
สามารถจัดหมวด เช่น  
📂 “AI Trends”  
📂 “Consumer Behavior”  
📂 “Marketing 2025”  
จากนั้นให้ Perplexity สรุปทั้งโฟลเดอร์เป็นรายงานสั้นได้ในคลิกเดียว  
สุดยอดมากสำหรับนักเรียน นักวิเคราะห์ และที่ปรึกษาธุรกิจ 💼  

━━━━━━━━━━━━━━━  
5️⃣ ใช้ “Ask from File” ให้มันอ่านเอกสารแทนคุณ  
อยากให้มันสรุปไฟล์ PDF, รายงาน หรือ Paper?  
แค่อัปโหลดไฟล์ แล้วพิมพ์คำสั่งว่า  
> “ช่วยสรุปประเด็นหลัก, สมมติฐาน, และผลการทดลองในไฟล์นี้”  
AI จะวิเคราะห์แบบละเอียด พร้อมบอก Reference ชัดเจน  
และสามารถ Cross-check กับข้อมูลจากเว็บได้ในคำตอบเดียว 📑  

━━━━━━━━━━━━━━━  
📍สรุป  
Perplexity ไม่ได้เป็นแค่ AI ตอบคำถาม แต่คือ “AI นักวิจัย” ที่ทำได้ครบทั้ง  
✅ ค้นคว้า 🔍  
✅ วิเคราะห์ 🔬  
✅ สังเคราะห์ข้อมูล 📊  
✅ สรุป Insight เชิงลึก 🎯  

ถ้าใช้ครบทั้ง 5 เทคนิคนี้ รับรองว่า…  
คุณจะใช้ Perplexity ได้เหมือนมี “ทีมรีเสิร์ชส่วนตัว” อยู่ข้างตัวทุกวัน 💪

วงจรการต่อใช้งาน สวิตช์ลูกลอยแบบทุ่นถ่วง

วงจรการต่อใช้งาน สวิตช์ลูกลอยแบบทุ่นถ่วง
🌕 เมนวล สั้งงานด้วยสวิตช์ สตาร์ท-สต็อป
🌑 ออฟ หยุด การทำงาน
🌕 ออโต สั่งงานอัตโนมัติด้วย ลูกลอยไฟฟ้า 

#สวิตช์ลูกลอย #ปั๊มน้ำ #ควบคุมปั๊มน้ำอัตโนมัติ

🌙“การเลือกทางที่เหนื่อย... คือการ เลือกตัวเองที่แข็งแกร่งกว่าเดิม”

🌙“การเลือกทางที่เหนื่อย... คือการ เลือกตัวเองที่แข็งแกร่งกว่าเดิม”
ศัตรูที่ร้ายที่สุด ไม่เคยถือดาบ  
แต่กระซิบข้างหูเรา ด้วยน้ำเสียงหวานจนใจสั่น

เสียงกระซิบว่า 'พรุ่งนี้ค่อยเริ่ม...' คือหลุมที่เราขุดเองทุกวัน

“ไม่ต้องลำบากหรอก  
พักก่อนก็ได้  
พรุ่งนี้ค่อยทำ  
ไม่มีใครเห็นหรอก  
แค่ครั้งนี้ครั้งเดียว…”

มันไม่เคยตะโกน  
มันแค่ค่อย ๆ นั่งลงข้างเรา  
วางมือเบา ๆ บนไหล่  
แล้วทำให้เรารู้สึกว่า  
“การยอมแพ้… ก็อบอุ่นดีเหมือนกัน”

---

ฉันเคยยืนอยู่ตรงสี่แยกนั้นมาแล้ว  
เหมือนตัวละครในหนังของ อัล ปาชิโน่

รู้ชัดเจนว่าเส้นทางไหนคือทางที่ถูก  
เห็นแสงสว่างอยู่ปลายทางนั้น  
แต่ขากลับตัดสินใจเดินเข้าถนนมืด  
เพราะมันลาดลง  
เพราะมันสบาย  
เพราะมันไม่ต้องฝืน

แล้วทุกก้าวที่เดินลงไป  
ก็เหมือนขุดหลุมให้ตัวเองลึกขึ้นทีละนิด  
จนวันหนึ่งเงยหน้าขึ้นมา  
ก็พบว่าแสงอยู่สูงเกินเอื้อม

---

ศัตรูในใจ  
ไม่ได้ชื่อว่า “ความชั่วร้าย”  
มันชื่อว่า “ความเคยชิน”  
ชื่อว่า “ความกลัวลำบาก”  
ชื่อว่า “พรุ่งนี้ค่อยเริ่มใหม่”

มันไม่ฆ่าเราด้วยครั้งเดียว  
มันแค่ทำให้เราตายทีละวัน  
ด้วยการให้เรานอนต่ออีกนิด  
เลื่อนอีกหน่อย  
ยอมแพ้อีกครั้ง

---

แต่รู้ไหม  
วันที่เราตัดสินใจหันหน้าเข้าหามัน  
วันที่เราบอกมันเบา ๆ ว่า

“ฉันรู้ว่าเธออยากให้ฉันนอนต่อ  
ฉันรู้ว่าเธออยากให้ฉันยอมแพ้  
แต่วันนี้… ฉันจะลุกแล้ว”

นั่นคือวันที่สงครามเริ่มต้น  
และเป็นวันที่เราชนะครั้งแรกด้วย

ทุกครั้งที่เราลุกขึ้นตอนตี 5  
ทุกครั้งที่เราวางโทรศัพท์ลงแล้วหยิบหนังสือขึ้น  
ทุกครั้งที่เราเดินออกจาก comfort zone  
แม้ขาจะสั่น

เรากำลังแทงดาบเข้าไปในอกศัตรูในใจ  
ทีละเล็กละน้อย  
แต่แน่นอน

---

วันนี้  
ถ้าเสียงกระซิบนั้นกำลังดังขึ้นในหัวคุณ  

ลองหยุดหายใจลึก ๆ  
วางมือลงบนอก  
แล้วบอกมันเบา ๆ ว่า

“ขอบคุณที่เคยปกป้องฉัน  
ด้วยการให้ฉันเลือกทางง่าย  
แต่ตอนนี้ฉันโตแล้ว  
ฉันพร้อมเจ็บเพื่อเติบโตแล้ว  
ฉันจะเลือกทางที่เหนื่อย  
เพราะฉันอยากเจอตัวเองที่แข็งแกร่งกว่านี้”

แล้วลุกขึ้นมา  
ก้าวแรกอาจสั่น  
แต่ก้าวที่สองจะมั่นคงขึ้น  
และก้าวที่ร้อย  
จะพาคุณไปถึงที่ที่คุณเคยกลัวว่าจะไม่มีวันถึง

---

💛  
กอดคุณไว้แน่น ๆ นะ  
จากคนที่เคยยอมให้ศัตรูในใจชนะมานับไม่ถ้วนครั้ง  
จนวันที่ตัดสินใจลุกขึ้นสู้  
แล้วพบว่า

ศัตรูที่ร้ายที่สุด  
แพ้ให้กับความกล้าของเรา  
แค่ครั้งเดียวที่เราพูดว่า

“วันนี้… ไม่ยอมแล้ว”

กอดไว้  
แล้วลุกขึ้นมาด้วยกันเลยนะ  
ฉันจะยืนอยู่ตรงนี้  
เชียร์คุณทุกก้าว  
จนกว่าคุณจะเจอตัวเอง  
ที่สง่างามกว่าที่เคยฝันไว้  
ตลอดกาล 💛

รวม Prompt ทำ SEO ขั้นเทพ! วิเคราะห์คีย์เวิร์ด/ทำคอนเทนต์/ปรับแต่งเว็บ/สร้างแบ็คลิงก์/ติดตามอันดับ/วัดผลการทำ SEO/ปรับปรุงต่อเนื่อง พร้อมเทคนิคที่ใช้ได้จริง

1. “วิเคราะห์และแนะนำ keyword หลักและ long-tail keyword ที่เหมาะสมสำหรับเว็บไซต์ [ชื่อเว็บไซต์] ในอุตสาหกรรม [ชื่ออุตสาหกรรม] พร้อมบอกปริมาณการค้นหาและความยากในการแข่งขัน”
2. “สร้างแผนการทำ content marketing ระยะเวลา 3 เดือน เพื่อเพิ่ม organic traffic ให้กับเว็บไซต์ [ชื่อเว็บไซต์] โดยเน้นการใช้ keyword ที่มีโอกาสติดอันดับสูง”
3. “วิเคราะห์โครงสร้าง URL ของเว็บไซต์ [ชื่อเว็บไซต์] และเสนอแนะการปรับปรุงเพื่อให้เป็นมิตรกับ SEO มากขึ้น พร้อมตัวอย่างการแก้ไข”
4. “ตรวจสอบและแนะนำวิธีการปรับปรุง meta title และ meta description ของหน้าหลักและหน้าสำคัญของเว็บไซต์ [ชื่อเว็บไซต์] ให้ดึงดูดคลิกและเป็นประโยชน์ต่อ SEO”
5. “วิเคราะห์คู่แข่งหลัก 3 รายของเว็บไซต์ [ชื่อเว็บไซต์] ในด้าน SEO และเสนอกลยุทธ์การแซงหน้าพวกเขาในการจัดอันดับ Google”

ดูเพิ่มเติม
https://www.thailand-ai.com/freecontent/seo-expert/
6. “สร้างแผนการสร้าง backlink คุณภาพสูงสำหรับเว็บไซต์ [ชื่อเว็บไซต์] โดยระบุเว็บไซต์เป้าหมาย วิธีการติดต่อ และเนื้อหาที่ควรนำเสนอเพื่อขอลิงก์”
7. “ตรวจสอบและแนะนำวิธีการปรับปรุงความเร็วในการโหลดหน้าเว็บของ [ชื่อเว็บไซต์] ทั้งบน desktop และ mobile เพื่อเพิ่มคะแนน Core Web Vitals”
8. “วิเคราะห์และเสนอแนะการปรับปรุงโครงสร้างเนื้อหาภายในเว็บไซต์ [ชื่อเว็บไซต์] เพื่อให้ internal linking มีประสิทธิภาพมากขึ้นสำหรับ SEO”
9. “สร้างแผนการทำ local SEO สำหรับธุรกิจ [ชื่อธุรกิจ] ในพื้นที่ [ชื่อเมือง/จังหวัด] เพื่อเพิ่มการค้นพบในผลการค้นหาท้องถิ่น”
10. “วิเคราะห์และแนะนำวิธีการปรับปรุง schema markup บนเว็บไซต์ [ชื่อเว็บไซต์] เพื่อเพิ่มโอกาสการแสดงผล rich snippets ใน SERP”

ดูเพิ่มเติม
https://www.thailand-ai.com/freecontent/seo-expert/

11. “สร้างแผนการทำ content audit สำหรับเว็บไซต์ [ชื่อเว็บไซต์] เพื่อระบุเนื้อหาที่ควรปรับปรุง อัพเดต หรือลบออก เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ SEO โดยรวม”
12. “วิเคราะห์และเสนอแนะการปรับปรุง mobile-friendliness ของเว็บไซต์ [ชื่อเว็บไซต์] เพื่อรองรับ mobile-first indexing ของ Google”
13. “สร้างแผนการทำ voice search optimization สำหรับเว็บไซต์ [ชื่อเว็บไซต์] โดยเน้นการใช้ long-tail keyword และการตอบคำถามที่ผู้ใช้มักถามด้วยเสียง”
14. “วิเคราะห์และแนะนำวิธีการปรับปรุง E-A-T (Expertise, Authoritativeness, Trustworthiness) ของเว็บไซต์ [ชื่อเว็บไซต์] เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือในสายตา Google”
15. “สร้างแผนการทำ video SEO สำหรับช่อง YouTube ของ [ชื่อแบรนด์] เพื่อเพิ่มการค้นพบวิดีโอในผลการค้นหาของ Google และ YouTube”

ดูเพิ่มเติม
https://www.thailand-ai.com/freecontent/seo-expert/

อย่าเก่งแบบผิวเผิน


1. เก่งให้ลึก
เขาเคยทำงานกับพี่คนหนึ่งที่ไม่พูดเยอะ แต่รู้ลึกจนแก้ปัญหายากๆ ได้เสมอ ทำให้เขารู้ว่าคนที่แน่นจริงไม่ต้องโชว์ก็เห็น
เองจากผลงาน

2. เก่งให้อยู่รอด
เขาเคยอ่านผ่านๆ แล้วคิดว่ารู้หมด แต่พอถูกถามลึกกลับ
ตอบไม่ได้ เลยเข้าใจว่าความรู้ผิวเผินทำให้รอดแค่ตอนเริ่ม แต่ความรู้ลึกทำให้ยืนระยะจริงๆ

3. ศึกษาให้จริง
เขาเคยดูคลิปพัฒนาเยอะมากแต่ชีวิตไม่ดีขึ้น จนเริ่มลงมือทำเองถึงรู้ว่า เสพให้เพลินมันง่าย แต่เรียนให้ใช้เป็นนั้นยากกว่าเยอะ

4. ทำให้เป็น
เขาเคยเข้าใจทฤษฎีทุกอย่าง แต่ชีวิตยังเดิมเพราะไม่
ลงมือ ทำให้รู้ว่าเก่งจริงคือคนที่ทำมากกว่าคนที่พูดเก่ง

5. ล้มให้ลึก
เขาเคยพังจากโปรเจกต์ใหญ่จนท้อแทบเลิก แต่เวลาผ่านไปบทเรียนจากวันพังนั้นกลับกลายเป็นทุนชิ้นใหญ่ที่สุดในชีวิต

6. เก่งจากข้างใน
เขาเคยให้คำปรึกษาคนอื่นเก่ง แต่ชีวิตตัวเองยังไม่เป็นรูปเป็นร่าง จนเพื่อนพูดว่า “จัดการตัวเองให้ดีนี่แหละยากสุด” และนั่นทำให้เขาเริ่มจริงจังกับตัวเอง

7. ต่อเนื่องสำคัญกว่าแรง
เขาเคยพีคไม่นานแล้วดรอปยาว จนรู้ว่าคนที่เดินช้า
แต่เดินทุกวัน มักชนะคนที่วิ่งเร็วแค่ไม่กี่รอบเสมอ

8. แตะสิ่งที่กลัว
เขาเคยกลัวการพรีเซนต์จนหลบทุกครั้ง แต่วันที่ต้องขึ้นพูดแบบหลีกไม่ได้ เขากลับโตขึ้นแบบก้าวกระโดดจนตัวเองยังทึ่ง

9. ถามให้ลึก
เขาเคยจดไอเดียสั้นๆ พอทบทวนก็ไม่มีเนื้อ จนเริ่มถามตัวเองว่า “ลึกกว่านี้ได้อีกไหม” และนั่นทำให้ทุกไอเดียใช้จริงได้มากขึ้น

10. เก่งให้ตัวเองมั่นใจ
เขาเคยรีบโชว์ผลงานเพื่อให้คนชม แต่ยิ่งรีบยิ่งล้า สุดท้ายรู้ว่าความมั่นใจที่แท้คือความแน่นในใจ ไม่ใช่เสียงปรบมือจากคนอื่น

11. ฟังให้เป็น
เขาเคยได้คุยกับหัวหน้าที่ฟังลึกมาก ทุกคำแนะนำชัดและแม่น ทำให้เขารู้ว่าคนที่ฟังเก่ง คือคนที่พูดทีเดียวก็ตรงจุดที่สุด

12. เข้าใจให้จำยาว
เขาเคยท่องจนผ่านแต่ไม่กี่วันก็ลืมหมด จนเปลี่ยนมาทำซ้ำจนเข้าใจ เขาถึงรู้ว่าความเข้าใจคือสิ่งที่อยู่กับเราได้นานที่สุด

13. คำถามที่ดีพาไปไกล
เขาเคยถามแต่ “ทำไมไม่ดีขึ้น” จนเครียดเอง พอเปลี่ยน
เป็น “ทำยังไงให้ดีขึ้นได้อีก” โลกทั้งใบกลับเปลี่ยนทันที

14. ไม่ต้องพิสูจน์ใคร
เขาเคยใช้แรงเยอะกับการทำให้คนอื่นยอมรับ แต่ยิ่งทำยิ่งหมดไฟ จนรู้ว่าคนเก่งจริงไม่ต้องพิสูจน์ เพราะผลงานคือคำตอบที่ชัดที่สุด

15. เก่งแม้อยู่ลำพัง
เขาเคยทำดีเฉพาะเวลามีคนเห็น แต่ตอนอยู่คนเดียวกลับไม่ค่อยได้เรื่อง จนรู้ว่าความจริงแท้ของความเก่ง วัดกันตอนลับตาคน

16. เก่งแม้วันแย่ๆ
เขาเคยทำงานดีเฉพาะวันที่อารมณ์ดี แต่พอวันหนักๆ เขากลับทำอะไรไม่ค่อยได้ จนรู้ว่ามาตรฐานที่สม่ำเสมอ คือสิ่งที่แยก “คนเก่งจริง” ออกจาก “คนเก่งเป็นบางวัน”

17. ฝึกให้ลึก
เขาเคยอิจฉาคนที่เก่งกว่าเพราะคิดว่าเขามีพรสวรรค์ แต่พอรู้ว่าคนนั้นซ้อมทุกวันหลายปี เขาก็หยุดอิจฉาแล้วเริ่มซ้อมของตัวเองจริงๆ

18. ลึกแล้วแทนที่ยาก
เขาเคยได้ยินว่า “ตำแหน่งทุกอย่างหาใหม่ได้ ยกเว้นคน
ที่ทำงานลึกจริงๆ” มันทำให้เขารู้ว่าถ้าเราแน่นพอ เราจะ
กลายเป็นคนที่ใครก็อยากร่วมงานด้วยเสมอ

#อย่าเก่งแบบผิวเผิน
#พัฒนาตัวเองทุกวัน
#เติบโตจากข้างใน
#อ่านแล้วโตขึ้น
#ReadJourney

แนะนำให้อ่านเล่มนี้
https://s.shopee.co.th/9Uu6QhBkn8
https://s.lazada.co.th/s.Z0idQI?cc

อดีตนักสอบสวน เล่าวิธีสร้างความไว้ใจกับใครก็ได้ใน 5 นาที



1. สิ่งแรกที่คุณควรหยุดทำ เมื่อต้องเผชิญหน้ากับความยากลำบากในการสื่อสาร นั่นก็คือการแปะป้าย (label) บุคคลอื่นอย่างโจ่งแจ้ง เช่น การเรียกว่า narcissist (หลงตัวเอง) เพราะการทำเช่นนั้นเป็นการทำให้ตัวเองง่ายขึ้นและอนุญาตให้คุณตำหนิพวกเขาได้ การระบุว่าใครเป็นคนหลงตัวเอง หรือเป็นคนที่มีความเห็นอกเห็นใจต่ำ หรือก้าวร้าว จะทำให้คุณไม่สามารถเข้าใจตัวตนที่แท้จริงของบุคคลนั้น และเหตุผลที่พวกเขาเป็นแบบนั้น การถอดป้ายเหล่านี้ออกไปจะช่วยให้คุณสามารถเข้าสู่การสนทนาด้วยความเข้าใจที่เปิดกว้างและมุ่งเน้นไปที่เป้าหมายมากกว่าการตัดสิน

2. เพื่อให้สามารถจัดการกับการสนทนาที่ตึงเครียดได้ ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้คุณมี แผน (PLAN) ซึ่งเป็นตัวย่อขององค์ประกอบสำคัญสี่ประการ ตัว P ย่อมาจาก Purpose (วัตถุประสงค์), L ย่อมาจาก Listen (การฟัง), A ย่อมาจาก Ask (การถาม), และ N ย่อมาจาก Next steps (ขั้นตอนต่อไป) การมีแผนนี้จะช่วยให้คุณสามารถคงความมีส่วนร่วมและมุ่งมั่นในสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น การสนทนาที่มีประสิทธิภาพและความสำเร็จนั้นซ่อนอยู่ในสิ่งเล็กน้อยที่คุณเลือกที่จะทำ และการวางแผนที่ชัดเจนคือก้าวแรกที่สำคัญที่สุด

3. P คือ Purpose (วัตถุประสงค์) ซึ่งเป็นเหตุผลที่คุณอยู่ในการสนทนานั้น และเป็นภารกิจที่คุณต้องการบรรลุ คุณต้องเข้าใจภารกิจของคุณ เพราะมันจะขับเคลื่อนกลยุทธ์ของคุณและเป็นตัวกำหนดว่าคุณจะยังอยู่ในเส้นทางหรือไม่ หากอีกฝ่ายเริ่มก้าวร้าวหรือดูถูก การสนทนาที่เต็มไปด้วยอารมณ์มักจะทำให้เราหลงทางจากเป้าหมายหลักได้ง่ายมาก การยึดมั่นในวัตถุประสงค์จะช่วยให้คุณมีสมาธิ และทำให้คุณไม่วอกแวกไปกับการตอบโต้ที่ไม่สร้างสรรค์

4. ทฤษฎี Multiple Goals Theory อธิบายว่าในเวลาใดก็ตาม เราจะพยายามทำตามเป้าหมายหลายอย่างพร้อมกัน ซึ่งรวมถึงเป้าหมายเชิงภารกิจ (เช่น การปิดดีล) เป้าหมายเชิงอัตลักษณ์ (เช่น ฉันรู้สึกอย่างไรเกี่ยวกับตัวเอง) และเป้าหมายเชิงความสัมพันธ์ (เช่น ความสัมพันธ์กับบุคคลนี้) ปัญหาจะเกิดขึ้นเมื่อเป้าหมายเหล่านี้ไม่สอดคล้องกัน ตัวอย่างเช่น คุณอาจต้องเลือกระหว่างการแก้ไขความผิดพลาดของหัวหน้าต่อหน้าทุกคน (ภารกิจ/อัตลักษณ์) หรือการรักษาศักดิ์ศรีของเขาไว้แล้วค่อยคุยกันภายหลัง (ความสัมพันธ์) การเข้าใจวัตถุประสงค์โดยรวมของคุณจะช่วยให้คุณตัดสินใจได้ว่าเป้าหมายใดสำคัญที่สุดในขณะนั้น

5. กรณีศึกษาของ Philip Gerrio ผู้ซึ่งลักพาตัว JC Duggard ไป 18 ปี แสดงให้เห็นถึงพลังของการยึดมั่นในวัตถุประสงค์ ผู้เชี่ยวชาญได้ใช้เวลา 4 วัน รวมกว่า 36 ชั่วโมง ในการสัมภาษณ์ Gerrio เพื่อค้นหาความจริงเกี่ยวกับคดีเด็กหายอีกราย แม้ว่า Gerrio จะก้าวร้าวอย่างมาก ดูถูก และกล่าวหาผู้เชี่ยวชาญว่าเป็นคนโกหก แต่ผู้เชี่ยวชาญก็ยังคงยึดมั่นในภารกิจของตนเองโดยไม่ตอบโต้หรือโต้เถียงเพื่อพิสูจน์ความซื่อสัตย์ของตน การคงไว้ซึ่งความมุ่งมั่นนี้ทำให้เขาได้รับข้อมูลที่เป็นประโยชน์และสามารถปิดคดีได้

6. การสังเกตตัวบ่งชี้ของความจริง (indicators of truth) เป็นสิ่งสำคัญในการสนทนาที่ยากลำบาก การสนทนาที่เกิดขึ้นในวันอังคารถึงวันศุกร์ (ในกรณีของ Gerrio) มีความสอดคล้องกันอย่างมาก หากมีการขอให้ชี้แจงเพิ่มเติม Gerrio ก็สามารถให้รายละเอียดเพิ่มได้ นอกจากนี้ ผู้ที่พูดความจริงมักจะมีการ แก้ไขเรื่องราวที่เกิดขึ้นเอง (spontaneous correction) และพูดถึง ความซับซ้อน ในชีวิตหรือเหตุการณ์ที่ไม่ได้ราบรื่น ผู้ที่โกหกจะไม่สามารถจัดการกับความซับซ้อนที่ถูกนำเข้ามาในเรื่องราวได้อย่างสม่ำเสมอ

7. L คือ Listen (การฟัง) ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้คนทำได้แย่ที่สุด ในขณะที่คุณฟังคู่สนทนาที่พูดประมาณ 120 ถึง 150 คำต่อนาที สมองของคุณสามารถประมวลผลข้อมูลได้ที่ 400 ถึง 600 คำต่อนาที ช่องว่างทางปัญญานี้ (cognitive bandwidth) ทำให้เราไขว้เขวได้ง่าย หรือเริ่มคิดถึงสิ่งอื่น ๆ ที่อยู่ในกระดาษโน้ตของคุณ สิ่งนี้ทำให้เรา เชื่อมั่น (convinced) แทนที่จะ อยากรู้อยากเห็น (curious) เพราะคุณคิดว่าคุณรู้ว่าเรื่องราวจะเป็นอย่างไรต่อไป และทำให้คุณ เช็คเอาท์ จากการสนทนา

8. คุณต้องใช้สิ่งที่เรียกว่า การยับยั้งทางปัญญา (cognitive inhibition) เพื่อจำกัดช่องว่างทางปัญญาและมีส่วนร่วมอย่างเต็มที่กับคู่สนทนา การฟังอย่างกระตือรือร้นนั้นเป็นเรื่องยาก Stephen Covey กล่าวว่าคนส่วนใหญ่ไม่ได้ฟังด้วยความตั้งใจที่จะเข้าใจ แต่ฟังด้วยความตั้งใจที่จะตอบกลับ หากคุณเพียงแค่รอคิวที่จะพูด แสดงว่าคุณไม่ได้เชื่อมโยงกับพวกเขาอย่างแท้จริง การควบคุมการสนทนามาจากการฟังอย่างลึกซึ้ง ไม่ใช่จากการพูดมาก

9. A คือ Ask (การถาม) ซึ่งเป็นกุญแจสำคัญในการทำให้ความสัมพันธ์ลึกซึ้งขึ้นและแสดงให้เห็นว่าคุณเป็นผู้ฟังที่กระตือรือร้น เปิดใจ และอยากรู้อยากเห็น เรามักจะคิดว่าเราสามารถเข้าใจคู่รักหรือคนสนิทได้ดีกว่าที่เป็นจริง สำหรับคนแปลกหน้า ความถูกต้องในการเห็นอกเห็นใจ (empathy accuracy) อยู่ที่ 20% สำหรับคู่รักนั้น ไม่สูงกว่า 40% นั่นหมายความว่าคุณมีโอกาสเพียง 4 ใน 10 เท่านั้นที่จะเข้าใจความคิดของคู่ของคุณได้อย่างถูกต้อง

10. หากการสนทนากลายเป็นเรื่องของอารมณ์ ความถูกต้องในการเห็นอกเห็นใจนั้นจะลดลงเหลือ เพียง 15% นี่เป็นเพราะเมื่ออัตตาของคุณเข้ามาเกี่ยวข้อง คุณจะเริ่มปกป้องตัวเอง และ เมื่ออัตตาของคุณออนไลน์ หูของคุณจะออฟไลน์ (When your ego is on the line, your ears go offline) การป้องกันตนเองทำให้ความสามารถในการเห็นอกเห็นใจเมื่อสถานการณ์ยากลำบากลดลง

11. แทนที่จะตั้งสมมติฐาน คุณควรใช้คำถามเพื่อจัดการกับความกำกวม หากคู่สมรสของคุณบอกว่าการออกกำลังกายของเขา tough (ยาก) การตอบว่า นั่นแหละที่ทำให้คุณดูดี คือการตั้งสมมติฐาน แต่การถามว่า คุณหมายถึงยากว่าอะไร เป็นการแสดงให้เห็นว่าคุณกำลังใส่ใจและจูนเข้าหาเขาอย่างแท้จริง พลังของการถามคำถามดังกล่าวจะช่วยกระชับความสัมพันธ์และเพิ่มความเชื่อมโยง

12. พฤติกรรมที่ไม่ใช่คำพูด (non-verbal behavior) มีสัดส่วนถึง 66% ของสิ่งที่เราสื่อสาร หากคุณสังเกตเห็นภาษากายที่ไม่สอดคล้องกับการสนทนา เช่น การไขว้แขนหรือการกลอกตา คุณต้องจัดการกับมัน ควรใช้คำว่า ดูเหมือนว่า (It seems like) แทนคำว่า ฉันคิดว่า (I think) เมื่อพูดถึงพฤติกรรมของพวกเขา การถามอย่างอ่อนโยนว่า ดูเหมือนว่าคุณไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่ฉันพูดนะ ฉันเข้าใจถูกไหม เป็นการเปิดโอกาสให้พวกเขาเลือกที่จะอธิบายสิ่งที่พวกเขารู้สึก

13. ภาษากายเป็นภาษาหนึ่งที่สามารถแสดงให้เห็นถึงสิ่งต่าง ๆ แต่ ไม่สามารถใช้เพื่อบอกว่าใครกำลังพูดความจริงหรือไม่ สิ่งที่สำคัญคือการสังเกต การเปลี่ยนแปลงในสภาวะ ของบุคคลนั้นและจังหวะเวลาของการเปลี่ยนแปลงนั้น เช่น การไขว้แขนอาจเป็นสัญลักษณ์ของการป้องกันตนเองเมื่อถูกถามคำถามที่กระตุ้นอารมณ์ หากคุณเห็นการเปลี่ยนแปลงและรู้สึกว่ามีอารมณ์อยู่เบื้องหลัง คุณต้องมีความอยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับมัน และอาจเลือกที่จะถามถึงความรู้สึกที่เกี่ยวข้องกับความทรงจำนั้นแทน

14. N คือ Next Steps (ขั้นตอนต่อไป) คือการทำความเข้าใจว่าคุณจะแก้ไขปัญหานี้อย่างไร และต้องการให้ผลลัพธ์สุดท้ายเป็นอย่างไร หากคุณต้องการหาทางออกที่เป็นมิตรและต้องการรักษาสัมพันธภาพไว้ คุณต้องถามถึงทางออกนั้น ตัวอย่างคำถามคือ คุณคิดว่าเราจะหาทางก้าวไปข้างหน้าอย่างเป็นมิตรได้หรือไม่ เพื่อให้เราสามารถสนุกกับช่วงเวลาของเราด้วยกัน และหากพวกเขาตอบตกลง คุณต้องถามต่อว่า มันจะเป็นอย่างไรสำหรับเรา การสื่อสารว่าความสัมพันธ์มีความสำคัญต่อคุณเป็นสิ่งสำคัญที่สุด

15. คุณต้องยอมรับว่า ไม่มีกระสุนวิเศษ (magic bullet) ที่จะทำให้ทุกการสนทนาสมบูรณ์แบบ ความเป็นธรรม (fairness) เป็นเรื่องส่วนตัว และสิ่งที่คุณคิดว่ายุติธรรมก็เป็นเพียงมุมมองของคุณเอง หากคุณเดินออกมาจากการสนทนาและรู้สึกว่ามันไม่เป็นไปตามที่คุณต้องการ คุณต้องสามารถยอมรับความจริงนั้นได้ พลังที่แท้จริงคือการรู้ว่าคุณจัดการกับมันได้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้แล้ว

16. หากคู่สนทนาเริ่มดูถูกหรือใช้คำพูดที่ก้าวร้าว คุณต้องจัดการกับพฤติกรรมนั้นในทันที และต้อง มีความเฉพาะเจาะจง (very specific) ในการระบุว่าพฤติกรรมใดที่คุณรู้สึกว่าหยาบคาย การบอกว่า คุณหยาบคาย ไม่เพียงพอ แต่คุณต้องให้บริบท เช่น ตอนนี้คุณใช้คำพูดที่ดูถูกและเรียกฉันว่าไอ้สารเลว คุณช่วยอธิบายให้ฉันฟังอย่างเฉพาะเจาะจงได้ไหมว่าทำไมถึงเป็นเช่นนั้น คุณต้องทำให้พวกเขาต้องสนับสนุนอารมณ์และคำพูดของตนเองด้วยเหตุผล

17. ผู้ซักถามจะใช้เทคนิคการ เรียกพฤติกรรมนั้นออกมา (calling it out) อย่างต่อเนื่อง การจัดการกับความก้าวร้าวของอีกฝ่ายด้วยการถามว่า ฉันสังเกตเห็นว่าเมื่อฉันถามเรื่องนี้ ดูเหมือนความสัมพันธ์ของเราจะเปลี่ยนไป คุณเริ่มก้าวร้าว ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น การทำเช่นนี้เป็นการแสดงให้เห็นว่าคุณไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับพฤติกรรมนี้ และยังเป็นการแสดงให้เห็นถึงความสามารถและความมั่นใจ (competent and confident) ของคุณ แทนที่จะเป็นเพียงความแข็งแกร่ง

18. ถ้าคุณสูญเสียความใจเย็น คุณจะสูญเสียการควบคุม (If you lose your cool, you lose control) นี่คือหลักการสำคัญที่ใช้ได้ทั้งในห้องสอบสวนและในการสนทนาทั่วไป หากคุณปล่อยให้อีกฝ่ายดึงคุณเข้าไปอยู่ในกลยุทธ์ของพวกเขา (เช่น การดูถูกคุณ) และคุณตอบโต้ด้วยการดูถูกกลับ คุณจะไม่ได้รับข้อมูลใด ๆ และที่สำคัญคือคุณได้สูญเสียการควบคุมวัตถุประสงค์ของคุณไปแล้ว

19. การรักษาความสงบ (composure) และการถามคำถามที่ดีในขณะที่คนอื่นกำลังโกรธเกรี้ยวและดูถูกมีพลังอย่างมาก พลังนี้ไม่ได้เกี่ยวกับการเป็นคนแข็งแกร่ง แต่เกี่ยวกับการควบคุมตนเองและตระหนักถึงสิ่งที่เกิดขึ้น โดยส่วนใหญ่แล้ว เมื่อเราเข้าสู่การสนทนาที่เต็มไปด้วยอารมณ์ เรามักจะควบคุมเป้าหมายไม่ชัดเจน ทำให้เราเข้าไปอยู่ในภาวะที่ควบคุมไม่ได้ หรือที่เรียกว่า เครื่องซักผ้า ของอารมณ์

20. ความเป็นมืออาชีพ (being a professional) แตกต่างจากการมีอาชีพ (having a profession) การมีอาชีพคือสิ่งที่คุณทำ แต่การเป็นมืออาชีพคือผลรวมของทุกสิ่งที่คุณทำในขณะนั้นเพื่อวัตถุประสงค์เฉพาะ การตัดสินใจของผู้เชี่ยวชาญในคดี Gerrio ที่ไม่ได้เกิดจากการทำหน้าที่ตามปกติ แต่เกิดจากการที่เขาต้องการช่วยครอบครัวของเหยื่อ เป็นตัวอย่างของความเป็นมืออาชีพที่มุ่งมั่นด้วยวัตถุประสงค์

21. ปัญหาที่ผู้เชี่ยวชาญเห็นในการสื่อสารคือ Me-Me Syndrome (อาการฉัน-ฉัน) ซึ่งหมายถึงการที่ทุกสิ่งทุกอย่างมุ่งเน้นไปที่ตัวเอง ในวัฒนธรรมตะวันตกที่เน้นศักดิ์ศรีและตนเองเป็นหลัก ผู้คนมักจะมุ่งเน้นที่ความสำเร็จและอารมณ์ภายในของตนเอง สิ่งนี้ทำให้เรามักจะทำ การสะท้อนตนเอง (self-reflection) มากเกินไป แต่ไม่ค่อยทำ การสะท้อนออกไปภายนอก (outward reflection) เกี่ยวกับบุคคลอื่น

22. นักเจรจาที่เก่งที่สุดจะใช้เวลามากกว่าครึ่งหนึ่งในการคิดเกี่ยวกับบุคคลอื่น หากคุณล้มเหลวในการคำนึงถึงว่าผู้อื่นมีประสบการณ์และมุมมองต่อโลกที่แตกต่างจากคุณ และคิดว่าทุกอย่างเป็นเรื่องของคุณคนเดียว คุณจะมีช่วงเวลาที่ยากลำบากในการสร้างความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งและจริงใจกับใครบางคน หากคุณต้องการเป็นคนที่มีความสัมพันธ์ที่ดี คุณต้องไม่ทำทุกอย่างให้เป็นเรื่องของตนเอง

23. ประสบการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาสำคัญเดียวกันอาจถูกเข้ารหัสและถูกจดจำแตกต่างกันโดยสิ้นเชิงในแต่ละคน ผู้เชี่ยวชาญเล่าถึงวันที่พ่อของเขาเสียชีวิต ซึ่งเขากับพี่น้องทุกคนอยู่ในห้องเดียวกัน แต่ต่อมาน้องสาวของเขากลับจำได้ว่าโทรทัศน์กำลังฉายรายการ The Simpsons อยู่ ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้เชี่ยวชาญไม่เคยรู้หรือเข้ารหัสข้อมูลนี้เลย นี่แสดงให้เห็นว่าประสบการณ์ของแต่ละคนต่อช่วงเวลานั้นแตกต่างกันอย่างมาก

24. อาชีพของผู้เชี่ยวชาญเริ่มจากเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ เป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจและเจ้าหน้าที่ SWAT ก่อนที่จะเข้าสู่รัฐบาลกลางกับหน่วย Secret Service หลังจากนั้น เขาเริ่มอาชีพนักจับเท็จ (polygraph career) ซึ่งทำให้เขาต้องจัดการกับผู้คนที่เปิดเผยความลับที่มืดมิดที่สุด ต่อมาเขาทำงานในฝ่ายกิจการภายใน (Internal Affairs) ซึ่งต้องสอบสวนเจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมายที่ได้รับการฝึกฝนการสอบสวนมาแล้ว

25. ในช่วงที่ผู้เชี่ยวชาญทำงานใน Internal Affairs ประมาณปี 2014 เขาเห็นว่าวิธีการสอบสวนที่มีอยู่ล้าสมัย ในอดีต การสอบสวนเคยเป็นเรื่องของการทำร้ายร่างกาย (third degree) และพัฒนามาเป็นการจัดการทางจิตวิทยา เขาจึงค้นหาวิธีการสัมภาษณ์ที่ดีกว่า และได้ศึกษาต่อปริญญาโทที่ Naval Postgraduate School

26. ผู้เชี่ยวชาญค้นพบกลุ่ม High-Value Detainee Interrogation Group (HIG) ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีทั้งฝ่ายวิจัย ฝ่ายปฏิบัติงาน และฝ่ายฝึกอบรม ความเชี่ยวชาญของเขาคือการเชื่อมโยงระหว่าง วิทยาศาสตร์ (science) และ การประยุกต์ใช้ (application) ในห้องสอบสวน เขามองว่าการเข้าใจว่าเหตุใดเทคนิคบางอย่างจึงใช้ได้ผลหรือไม่ใช้ได้ผลนั้น สำคัญกว่าการเป็นผู้ปฏิบัติงานที่ดีเพียงอย่างเดียว

27. การสร้างความเชื่อใจ (trust) ควรเป็นไปตามแนวคิดของวงแหวนศูนย์กลาง วงแหวนที่อยู่ตรงกลางที่สุดคือ ความเชื่อใจในตนเอง (Self-trust) ซึ่งหมายถึงการเชื่อว่าคุณจะทำในสิ่งที่คุณตั้งใจไว้ และการรักษาความรับผิดชอบต่อตนเอง หากคุณไม่เชื่อมั่นในตนเองในการตัดสินใจ คุณจำเป็นต้องทำงานเพื่อสร้างความเชื่อมั่นในการตัดสินใจ

28. ถัดจากความเชื่อใจในตนเอง คือวงแหวนของ ความเชื่อใจอย่างไม่มีเงื่อนไข (Unconditional trust) ซึ่งควรจำกัดไว้เฉพาะคนจำนวนน้อยมาก เช่น ครอบครัวและเพื่อนสนิทที่พร้อมให้การสนับสนุนเสมอ สำหรับคนอื่น ๆ ความเชื่อใจควรเป็นแบบมีเงื่อนไข (Conditional trust) โดยพวกเขาต้องได้รับความเชื่อใจจากคุณ ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่าอย่าให้ความเชื่อใจไปฟรี ๆ

29. ผู้คนมักจะให้ความเชื่อใจมากเกินไปเพราะพวกเขาตกอยู่ภายใต้ Halo Effect ซึ่งหมายถึงการคิดว่าถ้าคนๆ หนึ่งยอดเยี่ยมในด้านใดด้านหนึ่ง พวกเขาจะต้องยอดเยี่ยมในทุก ๆ ด้าน เมื่อความเชื่อใจถูกละเมิดหรือถูกทำลาย มันเป็นเรื่องยากมากที่จะได้ความเชื่อใจนั้นกลับคืนมา มันเป็นความรู้สึกเหมือนการถูกทำลายสิ่งที่มอบให้

30. หากต้องการเรียกคืนความเชื่อใจที่เสียไป คุณต้อง รับผิดชอบ อย่างเฉพาะเจาะจงว่าทำไมคุณถึงสูญเสียมัน และต้องใช้ เวลาและความสม่ำเสมอ อย่างมากในการแสดงให้เห็นอย่างต่อเนื่องว่าคุณเป็นคนที่สามารถไว้วางใจได้ แม้ว่าวิธีนี้อาจไม่ได้ผลเสมอไป แต่มันคือการดำเนินการที่คุณสามารถทำได้

31. นิยามความเป็นผู้นำของผู้เชี่ยวชาญคือ ผู้ที่สงบภายใต้ความโกลาหล (calm under chaos) ความเป็นผู้นำเป็นสิ่งที่สัมผัสได้ (a feeling) ว่าคุณทำให้ผู้คนรู้สึกอย่างไร ผู้เชี่ยวชาญได้เรียนรู้แก่นแท้ของความเป็นผู้นำเมื่ออยู่ในทีม SWAT ซึ่งผู้นำที่แท้จริงคือผู้ที่สามารถรักษาความใจเย็นได้ท่ามกลางความเครียดสูง และเมื่อชีวิตของคุณตกอยู่ในความเสี่ยง

32. ผู้นำที่แท้จริงจะแสดงออกในสถานการณ์ที่ ไม่แน่นอน มีการศึกษาพบว่า ความไม่แน่นอนสามารถลดความสามารถทางปัญญาของเราในการตัดสินใจ นักศึกษาที่ไม่รู้ผลสอบ (มีความไม่แน่นอนสูง) มีแนวโน้มที่จะไม่ตัดสินใจจองวันหยุดพักผ่อน ในขณะที่กลุ่มที่รู้ผลสอบ (ไม่ว่าจะผ่านหรือไม่ผ่าน) กลับมีเปอร์เซ็นต์ที่สูงกว่าในการตัดสินใจซื้อ เมื่อเราไม่รู้ว่าจะไปทางไหน เรามักจะไม่ไปไหนเลย

33. ลักษณะสำคัญของผู้นำที่ยิ่งใหญ่คือ ความสามารถในการตัดสินใจ แม้ในขณะที่มีความแน่นอนต่ำมาก Barack Obama กล่าวว่าในฐานะประธานาธิบดี เขาต้องตัดสินใจเรื่องใหญ่ เช่น การโจมตีที่ซ่อนของบิน ลาเดน ด้วยความมั่นใจเพียง 51% การไม่ตัดสินใจเลยถือเป็นการตัดสินใจที่แย่ที่สุด ดังนั้น ผู้นำต้องมีความสามารถในการจัดการกับข้อมูลที่ไม่สมบูรณ์และตัดสินใจไปข้างหน้า

34. ผู้เชี่ยวชาญเน้นย้ำถึงความสำคัญของการ เป็นเจ้าของ (own) การตัดสินใจ ของคุณ หากคุณตัดสินใจโดยไม่ได้อยู่ภายใต้อารมณ์ที่รุนแรง และใช้ข้อมูลที่ดีที่สุดที่คุณมี ณ ขณะนั้น คุณควรเป็นเจ้าของมัน หากคุณตัดสินใจผิดพลาด ถือเป็นประสบการณ์ หากคุณตัดสินใจถูก ถือเป็นการยืนยัน การพยายามใช้ อคติจากการมองย้อนหลัง (hindsight bias) โดยการมองย้อนกลับไปและเสียใจว่าน่าจะทำอย่างอื่น เป็นสิ่งที่ทำไม่ได้

35. ผู้เชี่ยวชาญเล่าเรื่องราวเมื่อครั้งเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ และต้องตัดสินใจว่าจะจับกุมเด็กชายวัย 16 ปีที่เมาแล้วขับหรือไม่ หรือจะโทรเรียกพ่อของเขา เขามีอำนาจในการใช้ดุลยพินิจ เขาตัดสินใจโทรเรียกพ่อแม่ของเด็ก โดยหวังว่าสิ่งนี้จะเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง แม้ว่าภรรยาของเขาจะบอกว่าเขาจะเลือกจับกุม แต่สิ่งที่สำคัญคือทั้งคู่ ยอมรับการตัดสินใจ ของตนเอง การไม่ตัดสินใจเพราะกลัวผลที่ตามมาเป็นสิ่งที่ผู้คนจำนวนมากประสบปัญหา

36. การสร้างความสัมพันธ์ที่ดี (Rapport) ไม่ได้เกิดจากการเป็นคนใจดี หรือให้คำชมมากเกินไป แต่มาจากการ ทำความเข้าใจคุณค่า ของบุคคลนั้น และสิ่งที่พวกเขาต้องการจากคุณ การทำให้คู่สนทนาของคุณรู้สึก ถูกมองเห็น ถูกได้ยิน และเข้าใจ คือหัวใจของการสร้างความสัมพันธ์ และโดยหลักการของการตอบแทน (reciprocity) เมื่อคุณทำเช่นนั้น พวกเขาก็มีแนวโน้มที่จะทำเช่นเดียวกันกับคุณ

37. หากคุณเห็นว่าคู่สนทนาของคุณกำลังอยู่ในสภาวะอารมณ์ที่รุนแรง คุณต้อง ละทิ้งวาระของคุณไว้ก่อน คุณต้องเริ่มต้นด้วยการสนทนาที่พวกเขาต้องการมี เพื่อทำความเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นในสภาวะจิตใจของพวกเขา ตัวอย่างเช่น หากผู้ต้องสงสัยบอกว่าเขากลัวและกังวลเรื่องแม่ที่ป่วยอยู่ที่บ้าน ผู้เชี่ยวชาญจะไม่กลับไปที่รายการคำถามของเขา แต่จะถามว่า ฉันจะช่วยคุณในเรื่องนั้นได้อย่างไร

38. การกระทำที่แสดงความเห็นอกเห็นใจและการให้ความช่วยเหลือในสิ่งที่อีกฝ่ายกังวล เช่น การตามเรื่องแม่ที่ป่วยของเขา เป็นการแสดงความเข้าใจอย่างแท้จริง สิ่งนี้จะนำไปสู่หลักการ การตอบแทน (reciprocity) ซึ่งคือการให้อะไรบางอย่างกับผู้อื่นโดยคาดหวังว่าในอนาคตพวกเขาจะให้อะไรบางอย่างตอบกลับ การกระทำเหล่านี้ควรมาจากความเป็นตัวของตัวเอง (self-congruence) และการรักษาคำพูด

39. อิทธิพล (Influence) และการชักจูง (Manipulation) แตกต่างกันอย่างชัดเจน อิทธิพลคือการผลักดันบุคคลไปในทิศทางที่เฉพาะเจาะจงซึ่งเป็นประโยชน์ต่อ ทั้งคุณและพวกเขา แต่การชักจูงคือการผลักดันบุคคลไปในทิศทางเฉพาะเจาะจงเพราะเป็นสิ่งที่ดี สำหรับคุณเท่านั้น และไม่ดีสำหรับพวกเขา การชักจูงมักจะนำมาซึ่งผลลัพธ์เชิงลบในระยะยาว

40. การโกหก เป็นทางลัดที่ทำให้เกิดการชักจูง แม้ว่าในห้องสอบสวนในสหรัฐฯ จะอนุญาตให้เจ้าหน้าที่โกหกผู้ต้องสงสัยได้ แต่ผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่าหากคุณต้องการมีอิทธิพลต่อใครบางคน คุณต้องมีความ ซื่อสัตย์ ชัดเจน และโปร่งใส การแสดงความซื่อสัตย์อย่างสม่ำเสมอจะช่วยลดภาระทางปัญญาของคุณ (cognitive load) เพราะคุณไม่ต้องจำเรื่องโกหก และที่สำคัญที่สุดคือมันเน้นย้ำว่าคุณเป็นคนอย่างไร

41. หากคุณต้องการมีอิทธิพลต่อใครบางคน ความรู้สึกที่พวกเขามีต่อคุณ (trust) สำคัญกว่าสิ่งที่คุณกำลังทำในขณะนั้น หากพวกเขาไม่เชื่อใจคุณตั้งแต่แรก หรือมีรูปแบบการรับรู้ (pattern recognition) ว่ามีบางอย่างผิดปกติ คุณจะไม่สามารถมีอิทธิพลต่อพวกเขาได้ การเป็นคนโปร่งใสและซื่อสัตย์จะทำให้ผู้คนเชื่อมั่นในคำพูดของคุณ

42. การสร้างความเชื่อใจเกี่ยวข้องกับการเป็นคน เปิดเผย และ เปราะบาง (vulnerable) และการแบ่งปันเรื่องราวเล็กน้อยเกี่ยวกับตัวคุณเอง หากคุณกำลังถามคำถามที่ทำให้คู่สนทนารู้สึกไม่สบายใจ คุณอาจต้องหยุดชั่วคราวและ แบ่งปันเรื่องราวในวัยเด็กของคุณเอง เพื่อสร้างสะพานเชื่อม อย่างไรก็ตาม การแบ่งปันนั้นต้องมาจากความซื่อสัตย์และเป็นไปอย่างจริงใจ

43. การหยุดทำสิ่งที่ไม่ดี (Extinction before Acquisition) มีสามข้อที่ควรทำทันที หนึ่งคือ หยุดพยายามเป็นฝ่ายถูก ซึ่งเป็นสิ่งที่เกี่ยวข้องกับวัตถุประสงค์ของคุณ สองคือ หยุดบอกคนอื่นว่าคุณเข้าใจ (you understand) สามคือ หยุดให้ความคิดเห็นที่ไม่ได้รับการร้องขอ การหยุดนิสัยที่ไม่ดีเหล่านี้จะนำไปสู่การสื่อสารที่ดีขึ้น

44. การบอกใครสักคนว่าคุณเข้าใจประสบการณ์ของพวกเขา (เช่น การตายของพ่อ) เป็นการทำให้เรื่องราวของพวกเขาเป็นเรื่องของคุณ คุณจะไม่มีวันเข้าใจสภาวะจิตใจที่เฉพาะเจาะจงของพวกเขาได้ การบอกว่า ฉันเข้าใจ เป็นการมองสั้นเกินไป และทำให้คุณไม่ได้อยากรู้อยากเห็นว่าพวกเขารู้สึกอย่างไรจริง ๆ สิ่งที่คุณสามารถทำได้คือการรับทราบว่า มันฟังดูยาก เพื่อให้พวกเขารู้สึกว่าถูกรับฟัง

45. เมื่อผู้คนกำลังแบ่งปันเรื่องราว พวกเขามักจะไม่ได้ต้องการให้คุณแก้ไขสถานการณ์ให้ ดังที่ Simon Sinek กล่าวว่า ผู้คนส่วนใหญ่มักต้องการให้คุณ นั่งอยู่ในโคลนกับพวกเขา (sit in the mud with them) พวกเขาต้องการเพียงแค่คนที่จะเป็นกระดานเสียงและรับฟัง หากคู่สนทนาไม่ได้ร้องขอความคิดเห็นหรือการแก้ปัญหาจากคุณโดยตรง คุณไม่ควรให้ความคิดเห็นนั้นออกไป เพราะการทำเช่นนั้นเป็นการเสนอ กล่องเครื่องมือ โดยที่พวกเขาเพียงต้องการความเข้าใจและการยอมรับ

ตับมีระบบสลายไขมันที่ดีมากๆ ของมันเองอยู่แล้ว และ “กุญแจเปิดระบบนั้น” คือการออกกำลังกาย และมีช่วงเว้นมื้ออาหารเท่านั้นเอง (Fasting)

รู้ไหมคะ ตับมีระบบสลายไขมันที่ดีมากๆ ของมันเองอยู่แล้ว และ “กุญแจเปิดระบบนั้น” คือการออกกำลังกาย และมีช่วงเว้นมื้ออาหารเท่านั้นเอง (Fasting) เท่านี้ก็สามารถป้องกันและรักษาไขมันพอกตับได้ระดับนึงแล้วค่ะ


🔶 ทำไมเดี๋ยวนี้ภาวะไขมันพอกตับ (MASLD) ถึงระบาดหนัก?

คือมันเป็นแพทเทิร์นของพฤติกรรมยุคนี้เลยค่ะ
▪️ กินตลอดวัน ไม่มีช่วงเว้นเลย → ตับสร้างไขมันรัวๆ เลย
▪️ นั่งๆ นอนๆ เป็นส่วนใหญ่ → ใช้ไขมันต่ำ
▪️ ดื้ออินซูลิน → ระบบขนส่งไขมันของตับพัง ส่งไม่ออก
รวมถึงบางคนมีพันธุกรรมบางแบบ → ทำให้พอกง่ายกว่าคนอื่น

ไขมันพวกนี้จะคอยทำลายเซลล์ตับทีละน้อยแบบเงียบๆ ไม่มีสัญญาณเตือน จนบางคนรู้ตัวอีกทีก็กลายเป็น ตับแข็ง และสุดท้ายส่งต่อไปสู่ มะเร็งตับ ได้ค่ะ

และเมื่อตับเสียไป คุณจะเสียทั้ง
– ศูนย์กลางการเผาผลาญ
– โรงงานสร้างโปรตีนให้เลือด (โปรตีนเกี่ยวกับภูมิคุ้มกันและการแข็งตัวเลือด)
– ระบบกำจัดพิษ โดยเฉพาะแอมโมเนีย
– ระบบขับยา
– ระบบควบคุมไขมัน
คือสำคัญทุกฟังก์ชันจริงๆ ค่ะ


🔶แต่จริงๆ “ตับมีทางออกในตัวมันเองอยู่แล้ว” 
เรียกวิธีนี้ว่า Lipophagy

Lipophagy เป็นออโตฟาจีชนิดหนึ่ง ที่จับไขมันส่วนเกินใส่ถุงแล้วย่อยเอาออกมาเป็นพลังงาน วิธีเปิดโหมดนี้มี 2 อย่าง
1️⃣ เพิ่มช่วง fasting ให้ตับหลุดจากโหมดสร้างไขมัน
2️⃣ ออกกำลังกายระดับปานกลางขึ้นไป (เหนื่อยแต่ยังพูดเป็นประโยคได้)

เมื่อเซลล์ตับพลังงานต่ำลง มันจะ “กดสวิตช์ lipophagy” ทันที แล้วเริ่มสลายก้อนไขมันที่พอกอยู่แบบยกคลัง ย่อยจริง ย่อยเร็ว ย่อยลึก


🔶 ยังไม่จบค่ะ ผลดีของการออกกำลังกายต่อ “ตับ” 
ยังมีอีกมาก

นอกจากสลายไขมันพอกตับแล้ว การออกกำลังกายยังช่วย

▪️ ลดดื้ออินซูลินในเซลล์ตับ
ทำให้ลดการสร้างน้ำตาล ลดการสะสมไขมันที่ตับ 

▪️ เพิ่มความสามารถของไมโตคอนเดรียในตับ
เผาไขมันได้ไวขึ้น ไม่สะสมง่ายเหมือนเดิม

▪️ เพิ่มเอนไซม์ต้านอนุมูลอิสระที่ตับ 
มีการอักเสบในตับ โดยเฉพาะจากไขมันพวกนี้ ก็จะเบาลง

▪️ เมื่อลดการอักเสบลง 
ก็ลดการกระตุ้น ito cell ที่คอยสร้างพังผืด

▪️ ลดการอักเสบเรื้อรังทั้งร่างกาย
ลดสัญญาณที่คอยกระตุ้นให้ตับสะสมไขมันเพิ่มขึ้นอีก

▪️ ช่วยลดไขมันส่วนเกินโดยเฉพาะในช่องท้อง 
ลดแหล่งกรดไขมันที่จะส่งมาให้ตับ

คือดีแบบครบวงจรจริงๆ ค่ะ


🔶 สรุปก็คือ ร่างกายเรามี “ทางลัดแก้ไขมันพอกตับ” วางไว้ให้แล้ว
ชื่อของมันคือ Lipophagy และกุญแจไขมันคือ
✔️ ออกกำลัง
✔️ จัดการมื้ออาหารให้มีช่วงเว้น
✔️ ลดภาวะดื้ออินซูลิน

“เหลืออย่างเดียวคือ เราต้องลุกขึ้นทำ”
ถ้าคุณเริ่มแล้ว รู้ค่ะว่ามันเหนื่อย แต่ขอให้ทำต่อ

⚠️ แต่ช่วงที่ PM2.5 ขึ้นหนัก เน้นออกในบ้านจะดีกว่าค่ะ อาจจะเป็นออกคาร์ดิโอ, วิ่งลู่วิ่ง, ออกแบบมีแรงต้าน, เล่นเวท ฯลฯ รอวันที่ PM2.5 ดีขึ้นค่อยไปออกกลางแจ้งก็ได้ค่ะ

ถ้าตับพูดได้ มันคงยกมือไหว้ย่อแล้วบอกว่า
“ขอบคุณมากกกก ที่ช่วยเอามันออกไปซักที555”

วันจันทร์ที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2568

ใครคือคู่แท้....เพื่อนแท้...มิตรแท้

 


1. เขาทำให้คุณรู้สึกสงบ ไม่ใช่หลงแบบใจเต้นจนเหนื่อย

คู่แท้ไม่จำเป็นต้องหวือหวา แต่ต้องทำให้ใจนิ่งและมั่นคง คุณรู้สึกปลอดภัย อยู่ด้วยแล้วไม่ต้องแกล้งเข้มแข็ง ความสงบแบบนี้เกิดจากความเข้าใจและความซื่อสัตย์ ไม่ใช่เคมีชั่วคราวแบบความหลง
2. อยู่ด้วยกันแล้ว “เป็นตัวเองได้จริง” โดยไม่ต้องวางหน้า
คู่แท้ทำให้คุณไม่ต้องปรุงแต่ง ไม่ต้องเกร็ง คุณกล้าพูด กล้าคิด กล้าเป็นในทุกมุม ความเป็นธรรมชาติคือสัญญาณที่ดีที่สุดของความเข้ากัน และเป็นพื้นฐานชีวิตคู่ที่ยืนยาวที่สุด
3. เขาให้พื้นที่คุณเติบโต ไม่กีดกัน ไม่ลดคุณค่า
คู่แท้จะภูมิใจที่เห็นคุณเก่งขึ้น ดีขึ้น ไม่หวงพื้นที่ ไม่ขัดขวางความฝัน และไม่เปรียบเทียบ เขาอยากเห็นคุณสำเร็จ ไม่ใช่กลัวว่าคุณจะไปไกลกว่า ความรักที่สนับสนุนกัน = ความรักที่สวยงามที่สุด
4. รับมือความขัดแย้งด้วยเหตุผล ไม่ใช่อารมณ์
คู่แท้ไม่หนี ไม่ใช้ความเงียบ ไม่ลงโทษด้วยอารมณ์ เขาฟัง เข้าใจ และพยายามแก้ปัญหา ไม่ใช่ต่อว่า การทะเลาะกันอย่างมีสติ คือทักษะของคู่ชีวิตจริง เพราะชีวิตคู่ = การแก้ปัญหาร่วมกันตลอดเวลา
5. เขาสม่ำเสมอทั้งการพูด การทำ และการให้ความสำคัญ
ไม่ใช่รักแบบเป็นช่วง ๆ หรือเดี๋ยวดีเดี๋ยวหาย ความสม่ำเสมอคือสัญญาณของความตั้งใจจริง ผู้ชายที่อยากอยู่ในอนาคตของคุณ จะนิ่งและมั่นคงเสมอ ไม่ต้องลุ้น ไม่ต้องเดา ไม่ต้องรออย่างหวังลม ๆ แล้ง ๆ
6. เขาเคารพชีวิตของคุณ ทั้งความคิด เวลา และเป้าหมาย
ไม่ก้าวก่าย ไม่บังคับ ไม่ควบคุม เขารู้ว่าคุณเป็นคนที่มีตัวตนและความฝันของตัวเอง คู่แท้คือคู่ที่ช่วยสนับสนุน ไม่ใช่ลดร่องรอยของคุณ ความเคารพคือรากลึกของความสัมพันธ์ที่ยืนยาว
7. เขาฟังคุณจริง ๆ ไม่ใช่แค่ได้ยิน
คู่แท้จะฟังเพื่อเข้าใจ ไม่ใช่ฟังเพื่อเถียง เขาใส่ใจสิ่งที่คุณพูด แม้เป็นเรื่องเล็ก การฟังอย่างตั้งใจคือการรักในรูปแบบที่ลึกที่สุด คุณจะรู้เลยว่า “เขาโฟกัสฉันจริง ๆ”
8. คุณสองคนมีคุณค่าชีวิตใกล้เคียงกัน
ไม่ต้องเหมือนกันทุกอย่าง แต่ต้องมีแก่นที่เข้ากัน เช่น ความซื่อสัตย์ ความรับผิดชอบ ครอบครัว การเงิน คู่แท้คือคนที่มีทิศทางเดียวกัน แม้จะมีเส้นทางต่างกัน ถ้าคุณเชื่อในสิ่งเดียวกัน ชีวิตคู่จะราบรื่นมาก
9. อยู่ห่างกันก็ยังมั่นใจ ไม่ระแวง ไม่กลัวหาย
เพราะเขาสื่อสารชัดเจน เปิดเผย และไม่มีเกม ความมั่นคงทางใจสำคัญกว่าการอยู่ด้วยกันทุกวัน คู่แท้ทำให้คุณรู้สึกว่า “รักนี้ปลอดภัย” ไม่ว่าไกลแค่ไหน ใจก็ยังมั่นคงเท่าเดิม
10. ตัวตนคุณดีขึ้นเมื่อมีเขา ไม่ใช่แย่ลง
คู่แท้จะทำให้คุณใจดีขึ้น มีแรงบันดาลใจมากขึ้น คุณรู้สึกมีค่า มีพลัง และรักตัวเองมากกว่าเดิม ถ้าเขาทำให้คุณเป็นเวอร์ชันที่ดีขึ้น นั่นคือสัญญาณดี ความรักที่ดี = ทำให้เราเป็นเราในเวอร์ชันที่สวยงามที่สุด
11. เขารับผิดชอบชีวิตตัวเอง ไม่โยนภาระให้คุณ
คู่แท้คือคนที่มีวุฒิภาวะทางใจสูง ไม่ใช่คนที่รอให้คุณแก้ปัญหาทุกเรื่อง เขาดูแลงานของเขาเอง และช่วยดูแลความสัมพันธ์ด้วย ความรับผิดชอบคือพื้นฐานของคู่ชีวิตจริง ๆ
12. เขามองคุณเป็น “อนาคต” ไม่ใช่แค่ปัจจุบัน
เขาวางแผนระยะยาวและมีคุณอยู่ในนั้น ไม่เลี่ยง ไม่เปลี่ยนเรื่อง ไม่เบี่ยงหนีอนาคต ถ้าผู้ชายคุยเรื่องอนาคตแบบจริงใจและลงมือทำ นั่นคือสัญญาณชัดมากว่า “เขาใช่สำหรับคุณ”
📌ถ้าชอบความรู้แบบนี้ พิมพ์บอกครูหน่อยนะคะ

ขอบคุณที่มา..
#ครูเกรซ

ข้อคิดดี ๆ จากหนังสือ ได้เปรียบกว่าคน 99% ด้วย 4 ทักษะชีวิต


 ข้อคิดดี ๆ จากหนังสือ

ได้เปรียบกว่าคน 99%
ด้วย 4 ทักษะชีวิต
1. ไม่ว่าคุณจะทำงานอะไร การทำได้ตามมาตรฐาน
เป็นสิ่งที่ควรทำอยู่แล้ว แต่ถ้าคุณทำได้ต่ำกว่ามาตรฐาน
อาจจะโดนด่า ถ้าคุณอยากได้ค่าตอบแทนสูง ๆ
ท่าไตายคือการทำให้เกินความคาดหวังเล็กน้อย
ขณะเดียวกันก็อย่าลงมือทำเกินมาตรฐานมาก
จนเหนื่อยเกินไป
2. การสร้างแบรนด์
เป็นหนึ่งในเคล็ดวิชาที่จะช่วยให้คุณ
มีจุดยืนที่ชัดเจน กระทั่งสามารถ
เป็นตัวของตัวเองและตั้งค่าตัวได้อย่างอิสระ
3. ถ้ามีโอกาสได้เรียนรู้กับคนเก่ง ๆ
คุณย่อมก้าวหน้าเร็วกว่าคนอื่น
4. อย่าเป็นคนที่นอตหลุดง่าย
เพราะมันจะคอยขัดแข้งขัดขา
ไม่ให้ชีวิตของคุณได้ดี
5. เมื่อมีคนติด้วยคำพูดที่ตรง
เขาไม่ได้ลดทอนคุณค่าของคุณ
แต่กำลังช่วยให้คุณมีคุณค่ามากขึ้นต่างหาก
6. คนที่เป็นนักคิดริเริ่ม
มักเป็นนักสร้างโอกาส
ให้ตัวเองอยู่เสมอ
7. หากคุณอยากประสบความสำเร็จในโลก
ที่มีการแข่งขันมากมาย ทักษะการคิดริเริ่ม
ทักษะมัลติฟัง์ชั่น และทักษะการใช้เทคโนโลยี
จะช่วยให้คุณไปได้ไกลกว่าคนอื่น
8. จักรวาลนี้ไม่มีที่ยืนสำหรับ
คนที่มองเห็นแต่ข้อเสียเปรียบ
มากกว่าข้อได้เปรียบของตนเอง
9. ปัญหาและความทุกข์ที่เข้ามา
มันคือจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลง
ไปสู่สิ่งใหม่ ๆ
10. คนที่ฝึกจิตมาอย่างดี
เขาจะเป็นผู้ควบคุม
ความหมายของชีวิตตัวเอง
11. แม้คุณจะเจอปัญหาชีวิตหนักแค่ไหนก็ตาม
คุณเสียใจอยู่กับมันได้ แต่คุณต้องไม่เสียเวลาอยู่กับมันนาน
12. ถ้าเจอปัญหาที่ทำให้เหมือนจะไปต่อไม่ไหว
แค่พักสักหน่อย แล้วค่อยกลับมาทำใหม่
13. ถึงทำสิ่งหนึ่งไม่สำเร็จ
แต่ไม่ใช่ว่าคุณจะล้มเหลวไปตลอดชีวิต
14. อย่าเปลี่ยนให้คุณค่าที่สร้างมาทั้งชีวิต
ถูกทำลายด้วยคำพูดหยาบคายเพียงไม่กี่วินาที
หนังสือเล่มนี้ยังมีข้อคิดดี ๆ อีกมาก
หากสนใจสั่งซื้อได้ที่

12วิธีรัก​ คนโลกส่วนตัวสูง

1. ให้พื้นที่เขาแบบไม่ทำให้รู้สึกผิด
คนโลกส่วนตัวสูงต้องการเวลาอยู่คนเดียวเพื่อชาร์จแบต การที่คุณเข้าใจแทนที่จะน้อยใจ ทำให้เขารักลึกมาก เพราะเขารู้สึกว่าคุณ “เข้าใจตัวจริงของเขา”
2. พูดตรง ๆ แต่พูดนิ่ม ๆ
เขาไม่ชอบการพูดประชดหรืออ้อมโลก พูดตรง ๆ แต่ใจดี คือภาษาที่เขาฟังแล้วรู้สึกปลอดภัย ยิ่งคุณสื่อสารดี เขายิ่งเปิดใจให้คุณมากขึ้น

3. อย่าบุกพลังเขามากเกินไป
อย่าทักเยอะเกิน อย่าถามจี้เกิน อย่าเร่งให้ตอบเร็ว เขาไม่ใช่คนเย็นชา แต่เป็นคนที่ต้องการเวลาเรียบเรียงความคิด ยิ่งให้เขาตอบในจังหวะที่พร้อม ความรักยิ่งลึกขึ้น

4. เคารพขอบเขตของเขาเสมอ
คนแบบนี้อยากรักแบบไม่ถูกบุกรุก ถ้าคุณให้เกียรติพื้นที่เขา เขาจะให้ใจคุณมากขึ้นสองเท่า เพราะเขารักคนที่ไม่บังคับ ไม่รุกล้ำ

5. ให้ความหมายกับเรื่องเล็ก ๆ ที่เขาทำให้
เขาอาจไม่หวือหวา แต่เขาใส่ใจในรายละเอียดเล็ก ๆ ยิ่งคุณเห็นความตั้งใจเหล่านี้ เขายิ่งรู้สึกว่า “คุณคือคนที่เข้าใจเขาที่สุด” นี่คือภาษารักลึกของคนโลกส่วนตัวสูง

6. ค่อย ๆ เปิดใจ ไม่เร่งรัดความสัมพันธ์
อย่าทำให้เขารู้สึกว่าต้องรีบให้สถานะหรือรีบตัดสินใจ เขาต้องการปลอดภัยก่อน แล้วรักจะเกิดเอง ถ้าคุณค่อย ๆ ไป เขาจะเลือกคุณแบบมั่นคงมาก

7. ใช้คำพูดที่อบอุ่น ไม่ใช่คำพูดเสียงดัง
คนแบบนี้ไวต่อพลังและอารมณ์มาก คำพูดเสียงดังหรือรุนแรงทำให้เขาปิดใจทันที แต่น้ำเสียงนุ่ม ๆ ทำให้เขาเปิดตัวตนที่ลึกที่สุดออกมา

8. ให้พื้นที่เขาชาร์จพลังจากกิจกรรมที่เขารัก
บางครั้งเขาต้องการเวลานั่งอยู่เงียบ ๆ ทำในสิ่งที่ชอบ อย่าแปลว่านั่นคือการหนีความรัก จริง ๆ คือการเตรียมหัวใจเพื่อกลับมารักคุณได้เต็มพลัง

9. อย่านำเขาไปเปรียบเทียบกับคู่คนอื่น
เขาไม่ใช่คนหวือหวา ไม่ใช่คนโพสต์โชว์รัก แต่เขาคือคนรักลึก นิ่ง มั่นคง ยิ่งคุณไม่เปรียบเทียบ ความรักเขายิ่งมั่นคงกับคุณ

10. ถามเขาว่า “ต้องการให้ฉันอยู่ตรงไหน” เวลามีปัญหา
เขาไม่ถนัดพูดอารมณ์ยาว ๆ การถามแบบให้ทางเลือกทำให้เขารู้สึกสบายใจ และทำให้การแก้ปัญหาง่ายขึ้นมาก

11. สร้างพื้นที่ปลอดภัยให้เขาพูดความรู้สึกได้
เขาต้องการเวลานานกว่าจะเปิดใจ ถ้าคุณไม่เร่ง ไม่ดัน เขาจะเล่าเรื่องลึก ๆ ก่อนใคร เพราะเขารู้ว่า “คุณฟังเขาแบบไม่ตัดสิน”

12. รักในรูปแบบที่เขาแสดง แม้มันนิ่ง แต่จริงใจมาก
เขาอาจไม่ได้แสดงความรักผ่านคำพูดใหญ่โต แต่เขาแสดงผ่านการกระทำแบบค่อย ๆ สม่ำเสมอ ถ้าคุณมองเห็น สิ่งนี้จะทำให้รักของคุณสองคนยืนยาวมาก

📌ถ้าชอบความรู้แบบนี้ พิมพ์บอกครูหน่อยนะคะ 
#แบ่งปันความรู้ดีๆแบบนี้ให้เพื่อนๆด้วยนะ 
#ด้วยรักและห่วงใย
#ครูเกรซ

ยุคที่ 3 ของ E-Commerce กำลังมา เลิกหาปลา แล้วเลี้ยงปลาเองด่วน

1. สถานการณ์ปัจจุบันของ Flash Express ไม่ได้แย่หรือดีจนเกินไป ยังคงมีความหวังในการดำเนินธุรกิจอยู่นะคะ แต่สิ่งที่บริษัทกำลังเผชิ...