วันพุธที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2568

อยู่กับใคร​ ได้สิ่งนั้น

"จำไว้นะลูกชีวิตอยู่ที่เราเลือกเอง"
ไปกับ"ผึ้ง"ลูกจะเจอ...ดอกไม้หอม
ไปกับ"แมลงวัน"ลูกจะเจอ...ห้องน้ำ
ไปกับ"คนรวย"ลูกจะได้...เรียนรู้วิธีหาเงิน
ไปกับ"ขอทาน"ลูกจะได้..เรียนรู้วิธีขออาหาร
มันไม่สำคัญว่า"ลูกเป็นใคร"
มันสำคัญที่'ลูกอยู่กับใคร"
ถ้าลูกอยู่กับ...คนใจกว้าง
ลูกจะมี...สังคมที่กว้างมากยิ่งขึ้น
ถ้าลูกอยู่กับ...คนใจบุญ
ลูกจะเกิด...จิตเมตตามากยิ่งขึ้น
ถ้าลูกอยู่กับ...คนกล้าหาญ
ลูกจะ...แข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น
ถ้าลูกอยู่กับ...คนมองโลกในแง่ดี
ลูกจะมี...ความสุขมากยิ่งขึ้น
ทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกใบนี้มันอยู่ที่เราเลือก
เลือกสิ่งที่ดีมันก็ดีกับตัวเอง!!!

หลักคิดที่คนญี่ปุ่นพกไปทำงานทุกวัน

หลักคิดที่ได้จากหนังสือ
1. คนที่ทำเรื่องเล็กน้อย 
แต่ทำไม่ได้อย่างเต็มที่
ย่อมไม่มีทางทำเรื่องใหญ่ได้

2. ใช้คาถา A.B.C. 
แล้วจะมีเรื่องดีๆเกิดขึ้น 
A : Atarimae หมายถึงเรื่องธรรมดา
 B : Baka ni naru หมายถึงทุ่มสุดตัว
C: Chanto suru หมายถึงทำให้ดีที่สุด 
เมื่อนำมารวมกัน A.B.C หมายถึง 
ทุ่มสุดตัวทำเรื่องธรรมดาให้ดีที่สุด 
แล้วจะมีเรื่องดีๆ เกิดขึ้น

3. ปัจจัยพื้นฐานของการมีชีวิตที่ก้าวหน้า 
-การมองไปข้างหน้า
อยู่เสมอไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม
- การมีวิธีคิดที่ถูกต้อง
 - การหมั่นศึกษาหา
ความรู้เพื่อเพิ่มทักษะ
ในสิ่งที่ทำอยู่

4. ชีวิตเปรียบเหมือน "ท่อ"
ที่พระเจ้ามอบให้ เราออกไป
จากท่อนี้ไม่ได้แต่เลือกได้ว่าจะ
เดินอยู่ตรงจุดไหนของท่อ

5. คนที่มีวิธีคิดแบบ"ก้าวหน้า"หรือ
คิดบวกจะเดินบนพื้นที่ของความสุขซึ่งอยู่ตรงด้านบนสุดของท่อ และมีแนวโน้มจะได้ไปถึงจุดสูงสุด
ของชีวิต คือ"ความสำเร็จ" ขณะที่
คนที่มีวิธีคิดแบบ "ถอยหลัง" หรือ
คิดลบจะเดินบนพื้นที่แห่งความทุกข์ซึ่ง
อยู่ด้านล่างสุดของท่อ มีแนวโน้ม
ไปในทิศทางของ "ความล้มเหลว"

6. "การคิดแบบก้าวหน้า" ถ้าจะให้ไปถึงจุดสูงสุดของชีวิตแล้ว ต้องทำให้คนรอบข้างมีความสุข 
จึงต้องมีจิตสำนึกต่อประโยชน์ส่วนรวม 
เพื่อให้ผู้อื่นมีความสุข ตัวเองจะ
ได้มีความสุขไปด้วย

7. การใช้ชีวิตโดยมีทัศนคติที่ดี ก็จะมีคุณค่าในตัวของมันเอง เมื่อลงมือทำอย่างเต็มที่จนประสบความสำเร็จ ซึ่งแม้จะไม่ประสบความสำเร็จ
ในด้านการเงิน แต่ก็ถือว่าประสบความสำเร็จ
ในด้านความเป็นมนุษย์

8. "เล่นกับของ เสียความมุ่งมั่น เล่นกับคนเสียคุณธรรม "หมายความว่าหากยึดติดกับ
วัตถุมากเกินไป เราจะลืมความมุ่งมั่นที่มีต่อ
สิ่งอื่นในชีวิตที่สำคัญกว่า และถ้า
ดูหมิ่นไม่ให้ความเคารพต่อเพื่อนมนุษย์เรา
ก็จะกลายเป็นคนที่ไม่มีคุณธรรมไปโดยไม่รู้ตัว

9. ความปรารถนาเปรียบเหมือนเครื่องยนต์ 
หากไม่มีความปรารถนาเลยเราคงไปไหนไม่ได้ 
ขณะเดียวกันก็ต้องมีพวงมาลัยและเบรคที่
เหมาะสมกับเครื่องยนต์ นั่นคือ ความมีเหตุผลด้วย เราต้องใช้ความมีเหตุผลมาควบคุม
ความปรารถนา จึงจะประสบความสำเร็จ

10. ชีวิตมนุษย์ก็เหมือนกับลูกตุ้มบางครั้งก็หลงทางหรือมีเรื่องให้กลัดกลุ้มจนกวัดแกว่งไปมา แต่เมื่อแกว่งแล้วสุดท้ายจะต้องกลับมายังจุดที่อยู่ตรงกลางซึ่งเป็น"ทางสายกลาง" นั่นหมายถึง จุดที่มนุษย์
มีคุณธรรมหรือมีทัศนคติที่ดี

11. การมีทัศนคติที่ถูกต้อง และมุมมอง
ที่กว้างไกล รวมถึง การมีจิตใจที่ซื่อตรง เป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยมนุษย์ประสบความสำเร็จได้

12. หากไม่ยอมลงมือทำ เราจะเอาแต่คิดแล้วก็กลัวจนเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้เลย ผิดกับการลองลงมือทำที่ย่อมก่อให้เกิดผลลัพธ์บางอย่างขึ้น

13. "ตามองดาว เท้าติดดิน"
ดาวคือ " สิ่งที่เราอยากเป็น" นั่นคือ
เป้าหมายหรือความฝัน
เท้าติดดิน คือการเดินไปตามทิศทาง
 ที่มุ่งสู่ดาวหรือเป้าหมายอย่างไม่ย่อท้อ

14. การเรียนรู้จากผู้คนหรืออ่านหนังสือ
เพื่อหาความรู้เพิ่มเติม ถ้าไม่นำความรู้
ที่ได้มาใช้ในชีวิตประจำวันหรือนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ความรู้นั้นก็จะไม่มีคุณค่าอะไรเลย

15. แม้จะเป็นเรื่องเล็กๆ ก็ควรคิดให้รอบคอบก่อนตัดสินใจ แล้วจะตัดสินใจได้ถูกต้อง เมื่อทำบ่อยๆ ก็จะตัดสินใจได้แม่นยำมากขึ้น 
จนในที่สุดจะมีศักยภาพเพียงพอ 
ที่จะตัดสินใจเรื่องสำคัญ

กับดักของคนเก่ง


.
1. คิดมากเพราะรู้มาก รู้นั่น รู้นี่ รู้ทุกมุม เลยตัดสินใจช้าหรือไม่ตัดสินใจเลยเพราะข้อมูลมันเต็มหัวไปหมด จึงหมดเวลาไปกับการอยู่กับข้อมูล ศึกษาทางเลือก วางแผน หมดเวลาไปกับกระดาษและหน้าจอจนผลลัพธ์ไม่ค่อยเกิด 

ทางแก้คือ ยอมปล่อยงานที่พร้อมแค่ 80% ให้ผลลัพธ์มันเกิดก่อนแล้วค่อยปรับแก้ไปตามสถานการณ์
.
.
2. เก่งจนเคยตัว หลงใน comfort zone ว่าเรายืนหนึ่ง แต่หารู้ไม่ว่าโลกภายนอกยังมีคนอีกมากมายที่เก่งกว่าเรา ทางแก้คือออกไปเจอโลกภายนอกที่มีแต่คนเก่งรวมกัน ไปแบบปิดปาก เปิดใจดูว่าข้างนอกแข่งขันกันแค่ไหนและตัวเราเองอยู่ระดับประมาณไหนในกลุ่มนั้น
.
.
3. เรียนมากไปก็เป็นอีกปัญหาใหญ่ของคนเก่ง คือเรียนเยอะแต่ไม่เอาความรู้นั้นมาทำจริง ทางแก้คือจัดเวลาลองทำให้พอๆ กับเวลาที่ลงเรียน ตั้งกฏ เรียน 1 ชั่วโมง ทำจริง 1 ชั่วโมงกับตัวเอง
.
.
4. เก่งคนเดียว ทำงานกับใครไม่ได้ อาจเป็นเพราะอคติคิดว่าคนอื่นโง่หมดหรือตัวเองรู้สึกว่าไม่ต้องการความช่วยเหลือจากใคร (กลัวอาย เสียหน้า ไม่อยากรอ ฯลฯ) ทางแก้คือ ให้หาคนเก่งจริงที่เรายอมรับแล้วอย่างหมดใจมาให้คำแนะนำกับเรา เราจะยอมรับคำแนะนำมากกว่าคนทั่วไป เป็นการสลายอีโก้ที่ได้ผลมาก
.
.
5. เก่งมากก็มีโอกาสมาก มากจนเลือกไม่ถูก ไม่โฟกัส สุดท้ายจบลงมือเปล่า ไม่ได้อะไรสักอย่าง คนเก่งแบบนี้น่าเสียดายที่สุด ทางแก้คือ ให้เลือกโฟกัสทำทีละอย่างเป็นเวลา 3-4 เดือน แล้วดูผล ถ้าไม่มีพัฒนาการที่น่าพอใจค่อยตัดสินใจว่าจะไปต่อหรือพอแค่นี้ บางที ที่คิดว่าตัวเองเก่งแล้ว ความจริงคืออาจจะเก่งแค่ระดับปลายแถวก็ได้
.
.
6. รอให้ทุกอย่างพร้อม สมบูรณ์แบบจึงจะลงมือหรือปล่อยงาน ใครเป็นแบบนี้ แย่แน่นอน เพราะจะคาดหวังหาความสมบูรณ์แบบอะไรจากโลกใบนี้

ทางแก้คือ มี design thinking mindset คือ คิด-ทดสอบไอเดีย-ทำและวัดผล-ปรับใหม่ให้ดีขึ้น
ทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ งานก็จะดีขึ้น พัฒนาขึ้น
.
.
7. หูหนวก ตาบอดจากคำเตือนของคนรอบข้าง เป็นอาการที่น่าสงสารเพราะหลงตัวเองจนหูตามืดบอด และจะน่ากลัวที่สุดคือ คนเก่งที่รายล้อมด้วยคนสอพลอ 

ขอบคุณบทความจาก CR Trick of the Trade

เราไม่มีทางมองเห็นอะไรได้ชัดเจน ถ้ายังยืนอยู่ที่เดิม



บางครั้ง เราต้องลองก้าวออกไป
เพื่อมองเห็นจุดยืนของตัวเอง
ว่าอยู่ตรงนี้ ดีที่สุดหรือยัง

บางครั้ง เราต้องลองอยู่ห่าง
จากบางสิ่งที่เลือกเข้ามาในชีวิต
ถึงจะรู้ว่า มันใช่ที่สุดหรือยัง

บางครั้ง เราจะไม่อยากเชื่อว่า
แค่ก้าวออกมา ก็ทำให้เรา
ไม่อยากอยู่ที่เดิมอีกต่อไป

บางครั้ง แค่เราเปิดโอกาสให้ตัวเอง
ได้สัมผัสสิ่งใหม่ๆ ก็ทำให้รู้ว่า
เราไม่ได้ขาดบางสิ่งไม่ได้อย่างที่คิด
และมันก็ไม่ได้ดีที่สุดด้วย

เราไม่มีทาง มองเห็นอะไร
ได้อย่างชัดเจน ถ้ายังยืนอยู่ที่เดิม
ถ้าไม่ก้าวออกมา จะไม่มีวันรู้เลย !!
.
𝐶𝑟𝑒𝑑𝑖𝑡 : 𝑈𝑛𝑘𝑛𝑜𝑤𝑛
𝑳𝒊𝒇𝒆’𝒔 𝑱𝒐𝒖𝒓𝒏𝒆𝒚 𝑷𝒂𝒈𝒆
       🩵

22 วิธี ฝึกตนให้เป็น “คนใจกว้าง”

🌿 🌿
1️⃣ อย่ายึดติดเรื่องเล็กน้อย 🚫🧐 จบได้ก็จบไป อย่าเสียเวลาหมกมุ่น
2️⃣ ลดอัตตาในตัวเอง ✨ ไม่เอาตัวเองเป็นศูนย์กลางของ “ความถูกต้อง”
3️⃣ อดทน ไม่ใช่อ่อนแอ 💪 ความอดกลั้นคือพลังที่ยิ่งใหญ่
4️⃣ ลดการตำหนิผู้อื่น 🗣️ ให้โอกาสมากกว่าการตัดสิน
5️⃣ อย่าคาดหวังให้ทุกคนเป็นไปตามใจเรา 🤷‍♂️ ทุกคนมีเส้นทางของตัวเอง
6️⃣ อ่อนน้อมถ่อมตน 🙇‍♀️ คุณสมบัติของ “คนใจกว้าง”
7️⃣ อย่าใช้อารมณ์ชั่ววูบตัดสินเรื่องต่าง ๆ 🌊 สงบก่อนแล้วค่อยคิด
8️⃣ ไม่ต้องการความสมบูรณ์แบบจากทุกสิ่ง ❌🌟 เพราะมันไม่มีอยู่จริง
9️⃣ ฝึกการลืมให้เป็น 🧠 การปล่อยวางคืออิสระ
🔟 การลืมเรื่องเล็กน้อย คือ “การให้อภัย” 🤝
1️⃣1️⃣ ให้อภัยคนอื่น ก็เท่ากับให้อภัยตัวเอง 💖 ไม่ต้องแบกความโกรธไว้
1️⃣2️⃣ มองผู้อื่นด้วยความเข้าใจ 🧐 ลองแทนตัวเองเป็นเขา
1️⃣3️⃣ คิดว่า…ถ้าเราเป็นเขา เราต้องการอะไร? 🤔 แล้วจะเข้าใจมากขึ้น
1️⃣4️⃣ ให้โอกาสคนพลาด ได้ปรับปรุงตัว 🔄 ทุกคนมีสิทธิ์แก้ไข
1️⃣5️⃣ อย่าผูกใจเจ็บเป็นเรื่องใหญ่โต 🛑 ปล่อยวางได้ ใจเราก็เบาสบาย
1️⃣6️⃣ มองหาข้อดีของผู้อื่นให้มากขึ้น 👀 อย่ามองแต่จุดด้อย
1️⃣7️⃣ หยุดพูดซ้ำเติมข้อผิดพลาดของคนอื่น ❌🔁 ไม่มีใครอยากถูกขุดอดีต
1️⃣8️⃣ ลดความอยาก ลดความอิจฉา 🍃 ความมักมากนำพาความทุกข์
1️⃣9️⃣ ส่งเสริมเมื่อผู้อื่นทำดี 👍 ชื่นชมอย่างจริงใจ
2️⃣0️⃣ มีความสุขกับความสำเร็จของผู้อื่น 🎉 เพราะความสุขไม่ใช่ของใครคนเดียว
2️⃣1️⃣ ให้อภัย = ลดความระแวง = ชีวิตสงบ 🕊️
2️⃣2️⃣ ไม่เห็นด้วยก็แค่สงบนิ่ง 🤫 บางเรื่องเงียบไว้ดีกว่าพูด

🌟 ใจกว้างขึ้น… ชีวิตก็เบาขึ้น 🌟
ฝึกทุกวัน… ใจเราจะเป็นสุข 💖✨
เรียบเรียง โดย #ฟังนะ

ความลับของคนประสบความสำเร็จ VS คนล้มเหลว

 ความลับของคนประสบความสำเร็จ VS คนล้มเหลว

ลองมาดูกัน...



คนล้มเหลว มักคิดว่า เดี๋ยวค่อยทำ

คนสำเร็จ ลงมือทำทันที วันนี้ต้องเสร็จ


คนล้มเหลว มองแต่ ปัญหา

คนสำเร็จ มองหา ทางเเก้ไข


#ตัวอย่างให้เห็นภาพชัด


ร้านอาหารเปิดใหม่ มีคนแห่มากิน

คนคิดล้มเหลว คิดแบบนี้


โชคดีจังที่ลูกค้าเยอะ

คงอยู่ไปได้เรื่อยๆแหละ

ขอแค่อาหารอร่อยก็พอ


คนคิดสำเร็จ คิดต่างออกไป


ทำยังไงให้คนที่มาวันนี้ กลับมาอีก

เก็บเบอร์โทร ไลน์ ทุกคนที่มาไว้รึยัง

ระบบจะรองรับได้ไหม ถ้าคนมาเยอะกว่านี้อีก 2 เท่า


คนสำเร็จ มีของที่คนทั่วไปไม่มี


ลงมือทำทันที ไม่ผัดวันประกันพรุ่ง

ขณะที่คนอื่นกำลัง คิดดูก่อน


คนสำเร็จ ทำไปแล้ว 3 อย่าง

มองระยะยาว ไม่สนใจแค่วันนี้


คนทั่วไปคิดแค่ วันนี้กำไรเท่าไหร่

คนสำเร็จคิดว่า 5 ปีข้างหน้าจะโตยังไง


ขวนขวายหาความรู้ตลอดเวลา


ในรถ = ฟังหนังสือเสียง

รอคิว = อ่านบทความธุรกิจ

ก่อนนอน = อ่านหนังสือพัฒนาตัวเอง


ขณะที่คนทั่วไป...

ในรถ = ฟังเพลงซ้ำๆ

รอคิว = เล่น TikTok

ก่อนนอน = ดูซีรีส์จนหลับ


สิ่งที่คนประสบความสำเร็จทำ แต่ไม่เคยบอกใคร:


เขา เรียนรู้จากความล้มเหลว ไม่ใช่ กลัวความล้มเหลว

เขา รู้จักปฏิเสธโอกาสดีๆที่ไม่ใช่เป้าหมาย

เขา #ลงทุนกับตัวเอง ไม่ลังเลที่จะจ่าย

เขา หาที่ปรึกษา ไม่พยายามทำทุกอย่างคนเดียว


จำไว้ว่า

ความสำเร็จไม่ได้มาจากโชคเเละดวง

แต่มาจากนิสัย

รายได้หลักล้านมาจากการตัดสินใจทุกวัน


ลองถามตัวเองตอนนี้

วันนี้เราคิดแบบคนประสบความสำเร็จ 

แค่คนที่ฝันอยากสำเร็จ?


เพราะคนที่แค่ฝัน...ก็แค่ฝันไปจนแก่

แต่คนที่ลงมือทำ...จะเป็นคนที่คนอื่นฝันอยากเป็นเหมือน


หวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์นะครับ

วันอังคารที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2568

18 เทคนิคคิดดีๆทำไมต้องคิดเป็นภาพ

1. ตั้งเป้าหมายให้ชัดเจน 
จินตนาการถึงตัวเองที่ไปถึงเป้าหมายจะช่วย
ให้คุณเห็นชัดว่าอะไรคือสิ่งสำคัญที่ต้องทำในวันนี้

2. สร้างภาพการเปลี่ยนแปลง 
การเห็นภาพตัวเองพัฒนาทักษะใหม่ ๆ 
จะทำให้คุณรู้สึกว่าเป้าหมายอยู่แค่เอื้อม

3. มองภาพความสำเร็จ 
เมื่อเห็นภาพความสำเร็จในใจ 
คุณจะมีแรงบันดาลใจและไม่ท้อแท้

4. เริ่มวันใหม่ด้วยภาพที่ดี 
จินตนาการถึงวันที่เต็มไปด้วยความสำเร็จ
จะช่วยให้คุณเริ่มต้นวันใหม่ด้วยความมั่นใจ

5. คิดบวกด้วยภาพ 
เมื่อคุณมองโลกในแง่ดีผ่านภาพที่สร้างขึ้น
ในใจคุณจะรับมือกับความยากลำบากได้ดีขึ้น

6. ใช้ภาพในการแก้ปัญหาซับซ้อน 
การสร้างภาพในใจช่วยให้คุณเห็นวิธีแก้ปัญหาชัดเจน 
เช่น การใช้ mind map หรือแผนผังในการวางแผน

7. วางแผนด้วยภาพ 
เมื่อคุณคิดถึงแผนการในหัวมันจะช่วยให้
คุณมีทิศทางและเข้าใจขั้นตอนที่ต้องทำ

8. มองภาพการเป็นผู้นำ 
จินตนาการถึงตัวเองในบทบาทผู้นำช่วยเสริม
ทักษะในการตัดสินใจและการสื่อสารที่ชัดเจน

9. สร้างแรงบันดาลใจด้วยภาพ 
คิดถึงภาพของความสำเร็จที่
คุณต้องการจะทำให้คุณไม่ยอมแพ้

10. เรียนรู้จากความล้มเหลว 
มองความล้มเหลวเป็นโอกาส
ในการเรียนรู้และพัฒนาตัวเอง

11. สร้างความมั่นใจ 
จินตนาการถึงตัวเองที่มั่นใจในสถานการณ์
ต่างๆจะทำให้คุณรู้สึกมั่นใจมากขึ้น

12. คิดถึงผลลัพธ์ 
เมื่อคุณเห็นภาพผลลัพธ์ที่ดีจากการทำงาน 
มันจะช่วยให้คุณมีแรงจูงใจในการทำงาน

13. ใช้ภาพช่วยเตือนความจำ 
การใช้ภาพหรือแผนผังช่วยให้
คุณจำสิ่งที่ต้องทำได้ง่ายขึ้น

14. เปลี่ยนภาพจากแง่ลบเป็นบวก 
มองทุกปัญหาในแง่บวกจะช่วยให้
คุณมองเห็นโอกาสที่ซ่อนอยู่ในปัญหานั้น

15. สร้างภาพจากความสำเร็จเล็กๆ 
การเห็นความสำเร็จเล็กๆจะช่วยให้
คุณเสริมความมั่นใจในการทำสิ่งใหม่ๆ

16. สร้างภาพความสัมพันธ์ที่ดี 
จินตนาการถึงความสัมพันธ์ที่ดีจะช่วยให้
คุณสามารถเชื่อมต่อกับผู้อื่นได้ดีขึ้น

17. เรียนรู้จากข้อผิดพลาด 
การเห็นตัวเองเรียนรู้จากข้อผิดพลาดจะช่วย
ให้คุณเติบโตและพัฒนาจากประสบการณ์

18. ใช้ภาพในการบรรลุเป้าหมาย 
เมื่อคุณเห็นตัวเองที่บรรลุเป้าหมายมันจะช่วยให้
คุณมีแรงผลักดันในการทำตามขั้นตอนต่างๆ

ที่มา
หนังสือแนะนำ ทำไมต้องคิดเป็นภาพ 

#ทำไมต้องคิดเป็นภาพ

วันอาทิตย์ที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2568

มารู้จักถังดักไขมันกันเถอะ​

เชื่อว่าหลายคน ยังไม่รู้จักถังดักไขมัน 
ถังดักไขมัน คืออุปกรณ์ที่ใช้ในการดักจับไขมัน น้ำมัน และเศษอาหารออกจากน้ำเสียก่อนที่จะปล่อยน้ำลงสู่ท่อระบายน้ำหรือระบบบำบัดน้ำเสีย 

เพื่อป้องกันไม่ให้ไขมันอุดตันท่อหรือก่อให้เกิดปัญหาในระบบบำบัดน้ำเสีย

เพราะฉะนั้น ร้านอาหาร คาเฟ่ หรือ ในครัวเรือน ควรมีถังดักไขมัน
ก่อนปล่อยน้ำไปออกไปที่ ถังบำัด หรือ รางน้ำสาธารณะนะครับ

ที่มา
#ทีมงาน A day team

10 สาเหตุยอดนิยมที่ทำให้ไฟเตือน Check Engine สว่าง



เข้าใจไฟเตือน Check Engine สาเหตุ การแก้ไขปัญหา และรหัส DTC ที่พบบ่อย 💡🚗
รถของคุณทำงานหลายร้อยอย่างเพื่อให้คุณเดินทางจากจุด A ไปจุด B อย่างปลอดภัย มีประสิทธิภาพ และสบาย ระบบรถยนต์ต้องพึ่งพาคอมพิวเตอร์ เซ็นเซอร์ และชิ้นส่วนต่างๆ มากมายที่สื่อสารกันตลอดเวลาเพื่อควบคุมและตรวจสอบการทำงานของรถ ความซับซ้อนทั้งหมดนี้ทำให้ยากที่จะวินิจฉัยเมื่อมีปัญหาเกิดขึ้น
โชคดีที่รถยนต์สมัยใหม่มีระบบวินิจฉัยตัวเอง 🔍 เมื่อมีปัญหาเกิดขึ้น รถของคุณรู้ - และจะแจ้งให้คุณทราบ หนึ่งในวิธีที่ทำคือการเปิดไฟเตือน Check Engine
โมดูลควบคุมเครื่องยนต์ (Engine Control Module) ⚙️
ตั้งแต่คุณบิดกุญแจหรือกดปุ่มเพื่อสตาร์ทเครื่องยนต์ รถของคุณเริ่มทำการทดสอบวินิจฉัยตัวเองเพื่อให้แน่ใจว่าทุกอย่างทำงานตามแผน ในขณะที่เครื่องยนต์ทำงาน คอมพิวเตอร์ในรถจะตรวจสอบการทำงานของรถอย่างต่อเนื่อง รถยนต์สมัยใหม่อาจมีคอมพิวเตอร์ขนาดเล็กเกือบร้อยตัวที่ทำงานร่วมกับเซ็นเซอร์และชิ้นส่วนต่างๆ
คอมพิวเตอร์ควบคุมเหล่านี้ประเมินและปรับปริมาณอากาศและเชื้อเพลิงที่เข้าสู่กระบอกสูบหรือห้องเผาไหม้ วัดปริมาณมลพิษที่ออกจากระบบไอเสียและปรับตามความเหมาะสม รับรู้เมื่อน้ำมันเครื่องน้อย เมื่อผ้าเบรกต้องเปลี่ยน และต้องนำไอน้ำมันเชื้อเพลิงที่ระเหยจากถังกลับไปยังเครื่องยนต์เท่าไร แทบทุกการทำงานในรถรุ่นใหม่ของคุณได้รับการตรวจสอบและควบคุมโดยโมดูลควบคุมคอมพิวเตอร์!
ในบรรดาโมดูลควบคุมคอมพิวเตอร์มากมาย (บางครั้งเรียกว่า “หน่วยควบคุม”) ที่สำคัญที่สุดคือโมดูลควบคุมเครื่องยนต์ หรือ ECM 🧠 ECM เป็นคอมพิวเตอร์หลักที่รับผิดชอบการทำงานของเครื่องยนต์และปัญหาที่เกี่ยวข้อง ขึ้นอยู่กับผู้ผลิตรถยนต์ของคุณ อุปกรณ์นี้อาจเรียกว่าหน่วยควบคุมเครื่องยนต์ (ECU) หรือโมดูลควบคุมระบบส่งกำลัง (PCM) ไม่ว่าจะเป็นชื่อไหน นี่คือคอมพิวเตอร์หลักที่ควบคุมการทำงานของเครื่องยนต์และปัญหาที่เกี่ยวข้อง มันทำการทดสอบวินิจฉัยระบบรถยนต์อย่างต่อเนื่อง และเมื่อมีปัญหาเกิดขึ้นกับการทำงานของรถ มันจะรับรู้และจัดเก็บข้อมูลเกี่ยวกับข้อผิดพลาด จากนั้นจะส่งสัญญาณเตือนไปยังคนขับว่ามีปัญหา
ไฟเตือน Check Engine 🚨
เมื่อมีปัญหากับรถยนต์ มีสัญญาณเตือนมากมายที่อาจส่งถึงคนขับ นี่รวมถึงข้อความบนจอแสดงผลอิเล็กทรอนิกส์เกี่ยวกับแรงดันลมยางต่ำ หรือไฟเตือนบนแผงหน้าปัดที่เกี่ยวข้องกับอุณหภูมิเครื่องยนต์สูงหรือแรงดันน้ำมันเครื่องต่ำ แต่สัญญาณที่ทำให้หลายคนกังวลมากที่สุดมักจะเป็นไฟเตือน Check Engine (ไฟเตือนเครื่องยนต์) หรือที่เรียกสั้นๆ ว่า CEL
เมื่อ ECM ตรวจพบปัญหากับระบบรถยนต์ - เช่น เซ็นเซอร์ที่ส่งข้อมูลผิดหรือไม่ส่งข้อมูลเลย - มันจะเก็บข้อมูลที่ช่างซ่อมสามารถเข้าถึงได้ในภายหลัง และจะเปิดไฟเตือน Check Engine เพื่อให้คุณทราบว่ามีบางอย่างผิดปกติ ปัญหาอาจเป็นเรื่องง่ายๆ เช่น ฝาถังน้ำมันหลวม หรืออาจเป็นเรื่องร้ายแรงเช่นการจุดระเบิดของเครื่องยนต์ผิดปกติ เมื่อคุณเห็นไฟเตือน Check Engine สว่างขึ้น คุณควรรู้ว่าถึงเวลาที่ต้องนำรถไปให้ช่างวินิจฉัยอย่างถูกต้อง
ไฟเตือน Check Engine มีความร้ายแรงหรือไม่? 🤔
ความหมายของไฟเตือน Check Engine มักถูกเข้าใจผิดเพราะมีความหมายหลายอย่าง เมื่อมันสว่างขึ้น ไม่มีทางรู้ว่าสาเหตุเป็นการซ่อมง่ายๆ (เช่น ขันฝาถังน้ำมันให้แน่น) หรือปัญหาร้ายแรงที่อาจทำให้เครื่องยนต์เสียหาย
ที่จริงแล้ว มีบางครั้งที่ไฟเตือน Check Engine อาจสว่างขึ้นทั้งๆ ที่ไม่มีอะไรผิดปกติกับรถของคุณเลย ในกรณีที่มีสภาวะชั่วคราวเกิดจากปัจจัยสภาพแวดล้อมหรือปัจจัยอื่นๆ (เช่น การเปลี่ยนแปลงความชื้น) ไฟควรดับไปเองหลังจากเวลาสั้นๆ
แต่ถ้ายังติดอยู่ ไฟเตือน Check Engine ไม่ควรถูกละเลย 😯 และถ้ามันกะพริบเปิดปิด - ซึ่งเป็นสัญญาณของสภาวะร้ายแรงที่ต้องได้รับความสนใจทันที - อย่าขับรถของคุณต่อไป
คุณสามารถขับรถกับไฟเตือน Check Engine ที่สว่างได้นานแค่ไหน? ⏱️
แม้ว่าผู้ขับขี่หลายคนจะไม่สนใจไฟเตือนบนแผงหน้าปัด แต่หลายคนพบว่าใจหายเล็กน้อยเมื่อไฟเตือน Check Engine สว่างขึ้น ถ้าเกิดขึ้น ไม่จำเป็นต้องตื่นตระหนก แต่ให้ความสนใจกับสิ่งที่คุณเห็น รู้สึก และได้ยินจากรถของคุณ หากคุณไม่พบการเปลี่ยนแปลงในประสิทธิภาพ - ไม่มีเสียงแปลกๆ การสูญเสียกำลัง การสั่นสะเทือน หรือความรู้สึกอื่นๆ - คุณสามารถนำไปให้ช่างที่มีคุณภาพในโอกาสแรกที่สะดวก
ในทางกลับกัน ถ้าไฟเตือน Check Engine กะพริบเปิดปิด นั่นเป็นเรื่องอีกอย่างหนึ่งทีเดียว 🔴 หยุดขับรถทันที! จอดในตำแหน่งที่ปลอดภัยที่ใกล้ที่สุดและโทรเรียกบริการลากรถเพื่อนำรถของคุณไปยังศูนย์ซ่อม
10 สาเหตุยอดนิยมที่ทำให้ไฟเตือน Check Engine สว่าง 📋
1. ฝาถังน้ำมันหลวม 🧢
อาจดูเหมือนเหตุผลง่ายๆ และแทบจะตลก แต่ฝาถังน้ำมันหลวมเป็นสาเหตุที่พบบ่อยที่สุดประการหนึ่งของไฟเตือน Check Engine! เมื่อฝาถังน้ำมันไม่ปิดสนิท อากาศสามารถเข้าสู่ระบบเชื้อเพลิงและทำให้การเผาไหม้ไม่สมบูรณ์ นอกจากนี้ ไอระเหยจากน้ำมันเชื้อเพลิงสามารถออกสู่บรรยากาศ ซึ่งเป็นการฝ่าฝืนระเบียบการควบคุมมลพิษ การแก้ไข: ขันฝาถังน้ำมันให้แน่นจนได้ยินเสียงคลิก 2-3 ครั้ง คุณอาจต้องขับรถสักพักก่อนที่ระบบวินิจฉัยจะรีเซ็ตไฟเตือน แต่บางครั้งการปลดขั้วแบตเตอรี่สักครู่ก็อาจช่วยได้
2. หัวเทียนเสื่อมสภาพ 🔌
หัวเทียนเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้เกิดการจุดระเบิดภายในห้องเผาไหม้ เมื่อหัวเทียนเสื่อมสภาพ ประสิทธิภาพและกำลังของเครื่องยนต์จะลดลง อัตราการสิ้นเปลืองน้ำมันจะเพิ่มขึ้น และอาจทำให้เครื่องยนต์สะดุด หัวเทียนควรได้รับการเปลี่ยนตามกำหนดการบำรุงรักษาที่แนะนำ หากคุณสังเกตเห็นไฟเตือน Check Engine พร้อมกับการสตาร์ทเครื่องที่ยาก กำลังเครื่องลดลง หรืออัตราการสิ้นเปลืองน้ำมันเพิ่มขึ้น อาจถึงเวลาตรวจสอบหัวเทียนของคุณ การแก้ไขนี้ง่ายและไม่แพงสำหรับรถหลายรุ่น แต่บางรุ่นอาจต้องถอดชิ้นส่วนอื่นก่อนเข้าถึงหัวเทียน
3. เซ็นเซอร์ออกซิเจนทำงานผิดปกติ 🔄
เซ็นเซอร์ออกซิเจน (O2 Sensor) วัดปริมาณออกซิเจนที่ไม่ถูกเผาไหม้ในไอเสีย ข้อมูลนี้ช่วยให้ ECM ปรับสัดส่วนอากาศและเชื้อเพลิงเพื่อให้เกิดการเผาไหม้ที่สมบูรณ์ เมื่อเซ็นเซอร์นี้ทำงานผิดปกติ รถจะสิ้นเปลืองน้ำมันมากขึ้นและปล่อยมลพิษมากขึ้น อาการทั่วไปรวมถึงกำลังเครื่องลดลง อัตราการสิ้นเปลืองน้ำมันแย่ลง และการเร่งเครื่องที่ไม่ราบรื่น เซ็นเซอร์ O2 มักตรวจจับและส่งสัญญาณเกี่ยวกับปัญหาอื่นๆ ในระบบเชื้อเพลิงและระบบไอเสีย
4. ตัวเร่งปฏิกิริยาไอเสียทำงานผิดปกติ 🌿
ตัวเร่งปฏิกิริยาไอเสีย (Catalytic Converter) เป็นส่วนประกอบสำคัญของระบบควบคุมมลพิษที่ลดก๊าซพิษจากไอเสีย เมื่อมันเสื่อมสภาพหรืออุดตัน ประสิทธิภาพเครื่องยนต์จะลดลงอย่างมากและการสิ้นเปลืองน้ำมันจะเพิ่มขึ้น ปัญหาตัวเร่งปฏิกิริยาไอเสียมักเกิดจากปัญหาอื่นๆ ที่ไม่ได้รับการแก้ไข เช่น หัวเทียนเสื่อมสภาพหรือการรั่วของระบบเชื้อเพลิง การซ่อมนี้มักมีราคาแพงเนื่องจากชิ้นส่วนมีราคาสูงและมักต้องการความชำนาญในการเปลี่ยน
5. ระบบไอดีรั่ว 💨
ระบบไอดีนำอากาศเข้าสู่เครื่องยนต์เพื่อผสมกับเชื้อเพลิง การรั่วในท่อหรือหม้อกรองอากาศอาจทำให้อากาศที่ไม่ผ่านการกรองหรือไม่ได้วัดปริมาณเข้าสู่เครื่องยนต์ ทำให้สัดส่วนอากาศและเชื้อเพลิงผิดปกติ อาการรวมถึงเครื่องยนต์เดินไม่เรียบ กำลังลดลง และอาจมีเสียงดูดเมื่อเร่งเครื่อง ในบางกรณี การรั่วอาจสังเกตเห็นได้ด้วยตาหรือได้ยินเสียง แต่บางครั้งต้องใช้เครื่องมือพิเศษในการตรวจจับ
6. ระบบ EGR ทำงานผิดปกติ ♻️
ระบบไอเสียหมุนเวียน (Exhaust Gas Recirculation - EGR) ลดการปล่อยออกไซด์ของไนโตรเจนโดยนำไอเสียบางส่วนกลับเข้าสู่ห้องเผาไหม้ เมื่อวาล์ว EGR อุดตันหรือติดค้าง ไฟ Check Engine จะสว่าง ปัญหา EGR ทำให้เกิดการน็อกของเครื่องยนต์ รอบเดินเบาไม่เรียบ และอาจมีเสียงดังเคาะ วาล์ว EGR ต้องการการทำความสะอาดเป็นประจำในรถที่มีอายุการใช้งานมาก หรืออาจต้องเปลี่ยนหากเสียหาย
7. โมดูลควบคุมเครื่องยนต์ทำงานผิดปกติ 🧠
แม้ว่าจะพบไม่บ่อยนัก แต่โมดูลควบคุมเครื่องยนต์ (ECM) เองอาจทำงานผิดปกติได้ สาเหตุอาจมาจากความชื้น ความร้อนสูงเกินไป หรือการเสื่อมสภาพตามกาลเวลา อาการที่พบได้แก่ไฟเตือน Check Engine สว่างโดยไม่พบสาเหตุอื่น การทำงานของเครื่องยนต์ไม่สม่ำเสมอ หรือรถอาจไม่สตาร์ทเลย การซ่อมนี้มักต้องการผู้เชี่ยวชาญและอาจมีราคาแพงเนื่องจากเป็นชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ที่ซับซ้อน
8. ปั๊มน้ำมันเชื้อเพลิงเสื่อมสภาพ ⛽
ปั๊มน้ำมันเชื้อเพลิงดันน้ำมันจากถังไปยังเครื่องยนต์ด้วยแรงดันที่เหมาะสม เมื่อประสิทธิภาพลดลง การจ่ายเชื้อเพลิงจะไม่สม่ำเสมอ ทำให้ไฟ Check Engine สว่าง คุณอาจสังเกตเห็นการเร่งไม่สม่ำเสมอ การสตาร์ทยาก หรือเครื่องดับกะทันหัน กรองน้ำมันเชื้อเพลิงอุดตันมักเป็นสาเหตุก่อนที่ปั๊มจะเสียหาย หากเปลี่ยนกรองแล้วไม่ดีขึ้น อาจจำเป็นต้องเปลี่ยนปั๊มทั้งชุด
9. การรั่วของระบบสุญญากาศ 🕳️
เครื่องยนต์มีสายและข้อต่อสุญญากาศมากมายที่ควบคุมระบบต่างๆ การรั่วทำให้อากาศเข้ามาในระบบมากเกินไป ส่งผลต่อประสิทธิภาพเครื่องยนต์ อาการที่พบบ่อยคือรอบเดินเบาไม่เรียบ เร่งไม่ขึ้น และสิ้นเปลืองน้ำมันมากขึ้น สายสุญญากาศมักแตกหรือเปราะเมื่อมีอายุมากขึ้น ตรวจสอบได้ด้วยการมองหารอยแตกหรือการเสื่อมสภาพ
10. การจุดระเบิดผิดปกติ (Misfire) 🔥
การจุดระเบิดผิดปกติเกิดขึ้นเมื่อการเผาไหม้ในกระบอกสูบไม่สมบูรณ์ สาเหตุอาจมาจากหัวเทียนเสื่อม คอยล์จุดระเบิดมีปัญหา กำลังอัดต่ำ หรือปัญหาวาล์ว คุณจะรู้สึกถึงการสั่นสะเทือน การสะดุด และกำลังเครื่องที่ลดลงอย่างเห็นได้ชัด ถ้าไฟ Check Engine กะพริบ นั่นอาจเป็นสัญญาณของการจุดระเบิดผิดปกติที่ร้ายแรง ซึ่งสามารถทำลายตัวเร่งปฏิกิริยาและชิ้นส่วนภายในของเครื่องยนต์ได้อย่างรวดเร็ว ในกรณีนี้ ให้หยุดขับรถทันที! 🛑
รหัส DTC ยอดนิยมและความหมาย 📋
รหัส DTC (Diagnostic Trouble Codes) ช่วยให้ช่างระบุปัญหาได้อย่างแม่นยำ นี่คือรหัสที่พบบ่อย:
 • P0300-P0308: การจุดระเบิดผิดปกติ (Misfire) ในกระบอกสูบหนึ่งหรือหลายกระบอก
 • P0171-P0175: ส่วนผสมอากาศ/เชื้อเพลิงผิดปกติ
 • P0401-P0408: ปัญหาระบบ EGR
 • P0420-P0439: ปัญหาตัวเร่งปฏิกิริยาไอเสียหรือระบบควบคุมมลพิษ
 • P0440-P0457: ปัญหาระบบควบคุมไอน้ำมันเชื้อเพลิง
 • P0500-P0503: ปัญหาเซ็นเซอร์ความเร็วรถ

ทีมงาน#koso9

อุปกรณ์ควบคุมอุณหภูมิน้ำหล่อเย็นในรถยนต์

1.Thermostat (เทอร์โมสตัท) ควบคุมอุณหภูมิน้ำหล่อเย็น เมื่ออุณหภูมิสูงถึงจุดที่ตั้งไว้ วาล์วหลัก (Main Valve) จะเปิดให้น้ำไหลไปยังหม้อน้ำ เพื่อระบายความร้อน 🥵➡️❄️
2.By‑pass Valve (วาล์วบายพาส) จะเปิดเมื่ออุณหภูมิต่ำ ช่วยให้น้ำหมุนเวียนภายในบล็อกเครื่องยนต์ก่อน ไม่ต้องผ่านหม้อน้ำทันที 🔄

3.Jiggle Valve (ช่องไล่อากาศ) ช่องเล็กบนเทอร์โมสตัท ช่วยปล่อยฟองอากาศออกจากระบบ ต้องวางไว้ด้านบนเสมอ 🕳️💨

4.Water Pump (ปั๊มน้ำ) เหมือนหัวใจของระบบ ส่งน้ำหล่อเย็นไปทั่วเครื่องยนต์อย่างต่อเนื่อง 🚰🌀

💡 รู้ไว้ใช่ว่า! การติดตั้งชิ้นส่วนให้ถูกต้องทั้งตำแหน่งและทิศทาง จะช่วยให้เครื่องยนต์เย็นสบาย ไม่มีอาการร้อนจัดหรืออากาศอุดตันในระบบครับ 😉

วันเสาร์ที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2568

ปั้นนวัตกรรุ่นใหม่ สร้างอนาคตด้วย AI ML และไมโครคอนโทรลเลอร์



ในโลกยุคใหม่ เทคโนโลยีเอไอ และการเรียนรู้ของเครื่อง (ML) กำลังเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิต การทำงาน และเศรษฐกิจ และมีผลต่อชีวิต อาชีพ การเตรียมเยาวชนให้เข้าใจและสามารถคิด ออกแบบ สร้างสรรค์ ผลงานที่ใช้เทคโนโลยีเหล่านี้จึงเป็นสิ่งสำคัญ

ผมได้กล่าวย้ำหลายครั้งว่า การเรียนรู้เกี่ยวกับ เอไอ วันนี้ ไม่ใช่การเรียนวิธีใช้โปรแกรม แอ๊ปพวกเจเนอเรทีฟเอไอ ที่ช่วยงานเรา แต่การศึกษาของเราต้องพัฒนาทักษะให้รู้จักคิด เปลี่ยนจินตนาการ มาเป็นงานสร้างสรรค์ที่เป็นรูปธรรม รู้จักวิเคราะห์ ออกแบบ และสร้างนวัตกรรมของตนเอง โดยเฉพาะหลักการเรียนรู้ของเครื่อง ที่ต้องเข้าใจหลักการ ผสมผสานกับโมเดลทางคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ที่ประยุกต์ร่วมกัน ด้วยการผสานความรู้ด้าน AI, ML เข้ากับอุปกรณ์ควบคุมพวกไมโครคอนโทรลเลอร์ 
สำหรับกิจกรรม ผมเน้นสิ่งที่จับต้องได้ สำหรับเด็ก ให้ออกแบบ และโค้ดดิ้งได้ เข้าใจและเรียนรู้ต่อยอด หามาเล่นได้ ผมเลือกแพลตฟอร์มอะดูอิโน เพราะ หาได้ง่าย ราคาถูก เด็กเข้าถึงได้ และเชื่อมต่อกับพื้นฐานวงจรทางอิเล็กทรอนิกส์ ใช้ชิพอื่นๆร่วมได้ เพื่อให้ได้กิจกรรมเชิงสร้างสรรค์และลงมือทำจริง เพื่อปลูกฝังทักษะการเป็นนวัตกรแห่งอนาคต ทั้งด้านเทคโนโลยี ความคิดสร้างสรรค์ และการแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบ

กิจกรรมค่ายที่ผมจัดใช้เวลา ห้าวันสี่คืน 22-26 เมษา นี้ ผมเป็นที่ปรึกษา ออกแบบหลักสูตร และร่วมสอน กับทีมคิวบิก ใช้ชื่อค่าย Cubic Innovator Camp ซึ่งจัดต่อเนื่องมาหลายครั้งแล้ว คราวนี้ไปจัดพร้อมกับ ค่ายใหญ่ของคิวบิก CCC 27 ที่แสนปาล์มเทรนนิ่งโฮม ม เกษตรศาสตร์ กำแพงแสน

ผมจะเก็บข้อมูล การเรียนรู้ ทำกิจกรรม ของน้องๆ มานำเสนอ อย่างน้อยให้เห็นแนวทางที่ผมดำเนินการกิจกรรมนี้

ผมอยากให้ช่วยกันพัฒนาทักษะทางด้าน AI, ML และ Automation เพราะเด็กวันนี้ คือผู้สร้างโลกวันพรุ่งนี้

ที่มา FB ยืน ภู่วรวรรณ

วันพฤหัสบดีที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2568

รอบรู้เรื่องบ้านเสาเข็ม 3 ประเภท


คู่มือซื้อขายรอบรู้เรื่องบ้านเสาเข็ม 3 ประเภท เรื่องสำคัญที่คนซื้อบ้านควรรู้
เสาเข็ม 3 ประเภท เรื่องสำคัญที่คนซื้อบ้านควรรู้

เสาเข็ม 3 ประเภท เรื่องสำคัญที่คนซื้อบ้านควรรู้
เสาเข็มเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ใช้พิจารณาในการเลือกซื้อบ้าน ซึ่งหลายคนอาจจะไม่ค่อยได้นึกถึงสักเท่าไรแม้จะส่งผลต่อการอยู่อาศัยในระยะยาว ด้วยเหตุที่เสาเข็มเป็นรากฐานสำคัญและเป็นตัวชี้วัดความแข็งแรงของตัวบ้าน จึงควรนำความรู้เรื่องเสาเข็มมาใช้ในการพิจารณาซื้อบ้านเพื่อให้ทราบถึงความทนทานและความเหมาะสมของราคาบ้าน
เสาเข็มคืออะไร
เสาเข็มสำคัญอย่างไร
ประเภทของเสาเข็มมีอะไรบ้าง และควรเลือกใช้งานอย่างไร
กรณีต่อเติมบ้าน ต้องใช้เสาเข็มอย่างไร
เสาเข็ม คืออะไร
เสาเข็ม (ภาษาอังกฤษ คือ Pile Foundation) คือส่วนประกอบของโครงสร้างที่อยู่ใต้สุดของอาคาร มีลักษณะเป็นท่อนฝังในดินเชื่อมต่อกับฐานราก ซึ่งเป็นโครงสร้างส่วนที่อยู่ใต้ผิวดิน มีหน้าที่แบกรับน้ำหนักจากเสา และถ่ายเทน้ำหนักไปสู่เสาเข็ม
จากนั้นเสาเข็มจะถ่ายน้ำหนักที่ได้รับมากระจายลงสู่ผืนดิน โดยอาศัยแรงเสียดทานระหว่างผิวของเสาเข็มกับดิน และแรงต้านทานจากปลายเข็มของชั้นดินแข็ง
เสาเข็มสำคัญอย่างไร
หากไม่มีเสาเข็มที่เป็นด่านสุดท้ายในการรับน้ำหนักของโครงสร้างบ้านทั้งหมดและการถ่ายเทน้ำน้ำหนักลงสู่ผืนดิน ก็เปรียบเสมือนกับบ้านที่ตั้งอยู่บนดินเฉย ๆ น้ำหนักของตัวบ้านก็จะกดลงไปบนผิวดิน ทำให้พื้นทรุดตัวลงไปเรื่อย ๆ
แต่ถ้าบ้านมีเสาเข็ม ก็จะช่วยให้เกิดแรงต้านน้ำหนักของบ้านซึ่งจะชะลอการทรุดตัวลงได้
ประเภทของเสาเข็มมีอะไรบ้าง และควรเลือกใช้งานอย่างไร
เสาเข็มที่ใช้กับตัวบ้านและอาคารทั่วไป แบ่งเป็น 3 ประเภทใหญ่ ๆ คือ
1. เสาเข็มคอนกรีตอัดแรง
นี่คือเสาเข็มที่ใช้กันแพร่หลายสำหรับอาคารพาณิชย์และบ้านพักอาศัยทั่วไป โดยเป็นคอนกรีตที่ทำจากปูนซีเมนต์ชนิดแข็งตัวเร็วและโครงเหล็กภายในทำจากลวดเหล็กอัดแรงกำลังสูง กรรมวิธีที่ใช้ในการลงเสาเข็มจะเป็นการตอกกระแทกลงไปในดินโดยใช้ปั้นจั่น ซึ่งเป็นกรรมวิธีที่ไม่ยุ่งยาก ซับซ้อน และประหยัดค่าใช้จ่าย
รูปร่างและลักษณะของเสาเข็มเจาะ
รูปร่างและลักษณะของเสาเข็มเจาะ
2. เสาเข็มเจาะ
เป็นเสาเข็มอีกประเภทหนึ่ง ซึ่งแตกต่างจากเสาเข็มคอนกรีตอัดแรงในด้านการใช้งาน มีกรรมวิธีในการทำค่อนข้างยุ่งยากซับซ้อน และจะต้องทำ ณ สถานที่ที่จะใช้งานจริงเลย โดยใช้เครื่องมือเจาะขุดดินลงไปให้ได้ขนาดของเส้นผ่านศูนย์กลางและความลึกตามที่กำหนดก่อน จากนั้นจึงจะใส่เหล็กเสริมและเทคอนกรีตลงไปเพื่อหล่อเป็นเสาเข็มได้
เสาเข็มเจาะเหมาะสำหรับอาคารสูงที่ต้องรับน้ำหนักมากและอาคารที่สร้างใกล้ชิด เพราะช่วยป้องกันมิให้เกิดการสั่นสะเทือน ซึ่งจะเป็นอันตรายต่ออาคารข้างเคียง
อ่านกฎหมายเกี่ยวกับเสาเข็ม เพิ่มเติมได้ที่นี่
3. เสาเข็มกลมแรงเหวี่ยงอัดแรง
หรือที่เรียกกันทั่วไปว่าเสาเข็มสปัน เป็นเสาเข็มที่ใช้กรรมวิธีการปั่นคอนกรีตในแบบหล่อซึ่งหมุนด้วยความเร็วสูง ทำให้เนื้อคอนกรีตมีความหนาแน่นสูงกว่าคอนกรีตที่หล่อด้วยวิธีธรรมดา จึงมีความแข็งแกร่งสูง รับน้ำหนักได้มาก เสาเข็มอัดแรงมีลักษณะเป็นเสากลม ตรงกลางกลวง มีโครงลวดเหล็กอัดแรงฝังอยู่ในเนื้อคอนกรีตโดยรอบ
การตอกเสาชนิดนี้สามารถทำได้หลายแบบ ทั้งวิธีการตอกด้วยปั้นจั่นแบบธรรมดาและวิธีการตอกด้วยระบบเจาะกด เหมาะสำหรับใช้เป็นฐานรากของอาคารสูงที่ต้องการความมั่นคงแข็งแรงสูงเพื่อป้องกันปัญหาเรื่องลมแรงและการเกิดแผ่นดินไหว
สรุปเสาเข็มแต่ละประเภท
ประเภทของเสาเข็ม ลักษณะการใช้งาน
เสาเข็มคอนกรีตอัดแรง เหมาะสำหรับอาคารพาณิชย์และบ้านพักอาศัยทั่วไป
เสาเข็มเจาะ เหมาะสำหรับอาคารสูงที่ต้องรับน้ำหนักมากและอาคารที่สร้างใกล้ชิด
เสาเข็มกลมแรงเหวี่ยงอัดแรง หรือเสาเข็มสปัน เหมาะกับฐานรากของอาคารสูง ที่ต้องการความแข็งแรงสูง
กรณีต่อเติมบ้าน ต้องใช้เสาเข็มอย่างไร
ในการลงเสาเข็มต่อเติมบ้านนั้น ควรใช้เสาเข็มไมโครไพล์ ซึ่งมีจุดเด่นอยู่ที่การรับน้ำหนักได้ 30-35 ตันต่อต้น และสามารถตอกเข็มชิดกับตัวบ้านได้เลย พร้อมลักษณะของเสาเข็ม คือเป็นแบบกลวง จึงช่วยลดแรงสั่นสะเทือนที่จะกระทบต่ออาคารใกล้เคียงได้
ข้อเสียเพียงอย่างเดียวของเสาเข็มไมโครไพล์ คือ มีราคาที่ค่อนข้างสูง ดังนั้นควรวางแผนให้ดี มิฉะนั้นจะเกิดค่าใช้จ่ายที่สูงกว่าที่คาดไว้ได้
ตามหลักทฤษฎี การลงเสาเข็มไมโครไพล์ควรลงให้ถึงชั้นดินแข็ง แต่มักจะมีข้อจำกัดเมื่อปฏิบัติจริง คือ ข้อจำกัดทางด้านพื้นที่ โดยเฉพาะในพื้นที่กรุงเทพ
การต่อเติมบ้านจึงมักใช้เสาเข็มสั้น ซึ่งมีขนาดความยาวไม่เกิน 3 เมตร แต่ชั้นดินแข็งในกรุงเทพฯ อยู่ที่ความลึก 17-23 เมตร จึงทำให้มีแรงต้านน้ำหนักบ้านได้ไม่มาก และเจ้าของบ้านอาจจะต้องเตรียมพร้อมปัญหาบ้านทรุดที่จะเกิดขึ้นตามมา
สำหรับผู้ที่ไม่พบบ้านที่ลงเสาเข็มได้ถูกใจ และต้องการจะซื้อที่ดินเปล่านำมาปลูกบ้านด้วยตนเอง อาจจะต้องศึกษากฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการสร้างบ้านไว้ได้ที่บทความข้อกฎหมายควรรู้ก่อนสร้างบ้านใหม่บนที่ดินของตัวเอง เพื่อให้การสร้างบ้านที่จะเกิดขึ้น ไร้ปัญหาและถูกต้องตามที่กฎหมายบัญญัติไว้
ยังมีสิ่งที่ผู้ซื้อบ้านควรรู้และเข้าใจเกี่ยวกับการซื้อบ้านอีกมากมาย โดยสามารถอ่านความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับการซื้อบ้านหลังแรกได้ที่บทความเรื่องอยากซื้อบ้านหลังแรก เริ่มต้นอย่างไร ต้องรู้อะไรบ้าง? และสามารถใช้ข้อมูลเหล่านี้ประกอบการตัดสินใจเพื่อให้ได้บ้านที่เหมาะสมกับตนเองที่สุด
ข้อจำกัดความรับผิดชอบ: ข้อมูลนี้จัดทำขึ้นเพื่อเป็นข้อมูลทั่วไปเท่านั้น DDproperty by PropertyGuru ซึ่งอยู่ภายใต้การดูแลของบริษัท ออลพร็อพเพอร์ตี้ มีเดีย จำกัด ไม่สามารถรับรองหรือรับประกันเกี่ยวกับข้อมูล รวมทั้งไม่สามารถรับรองหรือรับประกันใด ๆ เกี่ยวกับความเหมาะสม สำหรับวัตถุประสงค์เฉพาะใด ๆ ของข้อมูล ตามขอบเขตสูงสุดที่กฎหมายอนุญาต แม้ว่าเราได้พยายามอย่างเต็มที่ เพื่อให้แน่ใจว่าข้อมูลที่ให้ไว้ในบทความนี้ถูกต้อง เชื่อถือได้ และครบถ้วน ณ เวลาที่เขียน แต่ข้อมูลที่ให้ไว้ในบทความนี้ไม่ควรนำไปใช้ในการตัดสินใจทางการเงิน, การลงทุนอสังหาริมทรัพย์ หรือทางกฎหมายทันที ผู้อ่านไม่ควรใช้ข้อมูลในบทความ แทนคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญที่ผ่านการฝึกอบรมซึ่งสามารถพิจารณาข้อเท็จจริงและสถานการณ์ส่วนตัวของคุณได้ ทั้งนี้ เราไม่สามารถรับผิดชอบใด ๆ หากคุณเลือกที่จะนำข้อมูลไปใช้เพื่อประกอบการตัดสินใจ

ที่มา DDproperty Editorial Team

ทฤษฎีตัวยู (U Theory) การฟัง 4 ระดับ 💚


.
ทฤษฎีตัวยูของ ดร. ออตโต ชาร์เมอร์ อธิบายการฟังไว้ 4 ระดับ
.
1. Downloading : การฟังที่ผู้ฟังมุ่งเพียงแค่ยืนยันสิ่งที่ตัวเองเชื่ออยู่แล้ว โดยจะไม่เปิดใจรับฟังข้อมูลหรือความคิดเห็นใหม่ ๆ ที่ขัดกับความเชื่อเดิม
.
2. Factual Listening : การฟังที่เปิดใจรับฟังข้อมูลและมุมมองที่ต่างไปจากความเชื่อของตนเอง แต่มักจะสนใจเฉพาะข้อเท็จจริงและข้อมูล โดยไม่คำนึงถึงอารมณ์ความรู้สึกของผู้พูด
.
3. Empathic Listening : การฟังเพื่อเข้าใจและสัมผัสถึงอารมณ์ความรู้สึกของผู้พูด ช่วยสร้างความไว้วางใจระหว่างผู้พูดและผู้ฟัง และเสริมสร้างความสัมพันธ์ที่ดีขึ้น
.
4. Generative Listening : การฟังอย่างลึกซึ้งทำให้ผู้ฟังเข้าถึงหัวใจและอารมณ์ความรู้สึกของผู้พูดอย่างแท้จริง การฟังระดับนี้ช่วยให้เกิดการเข้าใจต่อผู้พูด
.
การฟังระดับสูงสุดคือการอยู่กับผู้พูด "ที่นี่" และ "ตอนนี้" ซึ่งเป็นการฟังด้วยหัวใจ การฟังอย่างลึกซึ้งเป็นเรื่องท้าทายในยุคปัจจุบันที่เต็มไปด้วยสิ่งรบกวน การฟังแบบนี้ต้องปรับเปลี่ยนตามสถานการณ์ และเป็นกุญแจสำคัญในการสร้างความเข้าใจและความสัมพันธ์ที่ดี
.
จากหนังสือ : โลกจะยิ้มให้เธอ ในวันที่เธอยิ้มให้ตัวเอง 📖
.
#อ่านเถอะวัยรุ่น #โลกจะยิ้มให้เธอในวันที่เธอยิ้มให้ตัวเอง #แรงบันดาลใจ #ข้อคิด #ทำเรื่องเล่นให้เป็นเรื่องใหญ่

การประเมิน ITA สำหรับสถานศึกษาอาชีวศึกษา

📣 ว่าด้วยการเปิดเผยข้อมูลต่อสาธารณะ (OIT) -ในการประเมิน ITA สำหรับสถานศึกษาอาชีวศึกษา ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 
...................
การเปิดเผยข้อมูลสาธารณะ (Open Data Integrity and Trans parency Assessment: OIT) มีทั้งหมด 37 ตัวชี้วัด 📜 ที่ต้องเปิดเผยข้อมูลบนเว็บไซต์🌐หลักของสถานศึกษา 🏫 ซึ่งมีค่าคะแนนภาพรวมสัดส่วนร้อยละ 40 มากที่สุดใน 3 เครื่องมือการประเมิน ITA สำหรับสถานศึกษาอาชีวศึกษา 
..................
⬇️ เอกสาร📂 : https://shorturl.asia/hv7dl

ที่มา
https://www.facebook.com/100069360243162/posts/pfbid0ErTbSHPczj7aB4Q2HSg7cp54gsgUobtqDmZX55NsAd3o2ATRATh2uoVtLaoexbXbl/

แนะนำตัว แบบคนจำได้ มีอะไรบ้าง?

แนะนำตัว แบบคนจำได้
3 อย่างพอ คือ บอกชื่อ
เชี่ยวชาญอะไร และทำอะไรอยู่
.
เพราะผลวิจัยด้านการสื่อสารพบว่า 55% ของความประทับใจแรกพบ เกิดจากการแสดงออกทางกายและรูปลักษณ์ภายนอก ไม่ใช่จากสิ่งที่คุณพูด นี่คือเหตุผลที่คนจำนวนมากพบว่าการสร้างความประทับใจในเวลาสั้นๆ เป็นเรื่องท้าทาย 
.
 Paddy Tan นักยุทธศาสตร์ธุรกิจชั้นนำที่เชี่ยวชาญด้านการเชื่อมโยงเทคโนโลยีสตาร์ทอัพกับธุรกิจดั้งเดิมในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้แบ่งปันเทคนิคที่พิสูจน์แล้วว่าได้ผล เพื่อช่วยให้คุณแนะนำตัวเองได้อย่างน่าประทับใจภายในเวลาเพียง 3 นาที
 . 
หลายคนมักคิดมากเกินไปว่าควรพูดอะไรบ้างในการสนทนาสั้นๆ 3 นาที ถ้าให้ข้อมูลมากเกินไปก็จะทำให้อีกฝ่ายรู้สึกเหมือนถูกถล่ม แต่ถ้าน้อยเกินไปก็ไม่เหลืออะไรให้น่าสนใจหรืออยากรู้จักต่อ วิธีการต่อไปนี้จะช่วยให้คุณสร้างความประทับใจได้อย่างมีประสิทธิภาพ
.
1. เตรียมคำแนะนำตัวที่กระชับและทรงพลัง
เน้นคุณภาพมากกว่าปริมาณ ไม่ต้องพูดทุกอย่างที่คุณเป็น 
ใช้ประโยคสั้นๆ ที่ครอบคลุมชื่อ บริษัทหรืออุตสาหกรรม และรายละเอียดสำคัญเกี่ยวกับตัวคุณ โดยควรสั้นกว่าการนำเสนอขายแบบมาตรฐาน
 . 
ตัวอย่าง: "สวัสดีครับ/ค่ะ ผม/ดิฉัน [ชื่อคุณ] จาก [บริษัท] ผม/ดิฉันเชี่ยวชาญด้าน [ความเชี่ยวชาญของคุณ] และกำลังตั้งตารอที่จะเชื่อมต่อกับผู้อื่นใน [อุตสาหกรรม] วันนี้" . ที่สำคัญ ยังไม่จำเป็นต้องแลกนามบัตรในช่วงแรก รอจนกว่าคุณจะสร้างความคุ้นเคยกันก่อน
.
2. สื่อสารด้วยภาษากาย
ร่างกายบอกเล่าเรื่องราวมากกว่าคำพูด 
ยืนตัวตรง สบตา ยิ้ม และจับมืออย่างมั่นใจ การแสดงออกเหล่านี้สื่อถึงความมั่นใจและการเปิดรับ ก้าวเข้าไปและจับมือกับคนที่คุณตั้งใจจะพูดคุยด้วย อย่าลืมเรื่องความละเอียดอ่อนทางวัฒนธรรมด้วย 
จำไว้ว่า 55% ของความประทับใจแรกขึ้นอยู่กับรูปลักษณ์และภาษากาย นี่คือเหตุผลที่การแสดงออกทางกายมีความสำคัญเทียบเท่าหรือมากกว่าสิ่งที่คุณพูด
.
3. สร้างการเชื่อมต่อที่จริงใจ
ผู้ฟังจะจดจำว่าคุณทำให้พวกเขารู้สึกอย่างไรมากกว่าคำพูดของคุณ 
ใช้งานหรือความสนใจร่วมกันเป็นจุดเริ่มต้นบทสนทนา ถามคำถามเพื่อเริ่มบทสนทนา 
ตัวอย่าง: "ผม/ดิฉันชอบการนำเสนอเกี่ยวกับ [หัวข้อ] คุณคิดยังไงเกี่ยวกับเรื่องนี้บ้าง?" 
ถามคำถามเพื่อให้อีกฝ่ายแบ่งปันความคิดและประสบการณ์มากขึ้น คนจดจำว่าคนอื่นทำให้พวกเขารู้สึกอย่างไรเมื่อพบกันครั้งแรก ยิ่งคุณทำให้พวกเขารู้สึกดีและมีคุณค่า พวกเขาจะยิ่งจดจำคุณได้
.
4. ทำให้ตัวคุณน่าจดจำ
ความแตกต่างคือสิ่งที่ทำให้คุณโดดเด่น 
ใช้หลักการ SEE: ยิ้ม (Smile) รักษาการสบตา (Eye Contact) และแสดงความกระตือรือร้น (Enthusiasm)
.
ใช้นามบัตรที่น่าจดจำซึ่งสามารถเริ่มต้นบทสนทนาได้ ยกตัวอย่างเช่น การใช้การ์ด QR และ NFC ขนาดบัตรเครดิตให้พวกเขาสแกนเข้าสมุดที่อยู่ 
เทคนิคพิเศษที่ Paddy Tan แนะนำ เมื่อทราบวัตถุประสงค์ของการเข้าร่วมงานของพวกเขา ให้จดจำไว้ และหากพบโอกาสจากการพบผู้เข้าร่วมคนอื่นที่อาจช่วยตอบสนองความต้องการของพวกเขา ให้จับคู่พวกเขาเข้าด้วยกันทันที นี่จะสร้างคุณค่าและสร้างความประทับใจที่ดี
.
5. ติดตามผลอย่างมืออาชีพ
การติดตามผลที่ดีคือกุญแจสู่ความสัมพันธ์ทางธุรกิจที่ยั่งยืน
 . 
แลกเปลี่ยนข้อมูลติดต่อ ตรวจสอบให้แน่ใจว่าคุณมีวิธีติดต่อกันหลังจากงานเสร็จสิ้น 
ส่งข้อความติดตามผล: ส่งข้อความสั้นๆ เพื่อขอบคุณพวกเขาสำหรับการสนทนาและเน้นย้ำความสนใจของคุณในการเชื่อมต่อต่อไป ตรวจสอบว่าแอปพลิเคชันใดที่พวกเขาใช้งานสะดวกที่สุด ไม่ว่าจะเป็น Whatsapp, อีเมล, Telegram, Line, WeChat ฯลฯ
.
ตัวอย่างการแนะนำตัวใน 3 นาที
1. การแนะนำ (30 วินาที): "สวัสดีครับ/ค่ะ ผม/ดิฉัน [ชื่อคุณ] จาก [บริษัท] ผม/ดิฉันเชี่ยวชาญด้าน [ความเชี่ยวชาญของคุณ]"
.
2. การเชื่อมต่อและมีส่วนร่วม (1 นาที): "ผม/ดิฉันสังเกตว่าคุณทำงานที่ [บริษัท] ผม/ดิฉันมีเพื่อนที่ทำงานที่นั่นด้วย คุณชอบที่นั่นไหม?" พูดคุยเกี่ยวกับความสนใจร่วมกันหรือหัวข้อของงาน
.
3. การปิดการสนทนาและติดตามผล (30 วินาที): "ยินดีที่ได้คุยกับคุณ เรามาติดต่อกันต่อนะครับ/คะ นี่คือนามบัตรของผม/ดิฉัน"
.
โครงสร้างนี้เปิดโอกาสให้มีการแนะนำตัวอย่างกระชับการมีส่วนร่วมที่มีความหมาย และแผนการติดตามผลที่ชัดเจน การฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอจะช่วยให้คุณสามารถแนะนำตัวได้อย่างมั่นใจและทำให้คนจดจำคุณได้ในทุกโอกาสทางธุรกิจ
.
.
เขียนและเรียบเรียงโดย 100WEALTH
——— 
100WEALTH l ไปให้ถึง100ล้าน 
#Business 
#100WEALTH 
#ไปให้ถึง100ล้าน
 .
อ้างอิง
https://bit .ly/4imKcTf

Design Thinking” กุญแจสำคัญของการสร้างนวัตกรรมที่ตอบโจทย์ลูกค้า🔑 หากขาดทักษะนี้ไป องค์กรเสี่ยงเจ๊งแน่นอน!

ยกระดับองค์กรให้เติบโตด้วย “Design Thinking” กุญแจสำคัญของการสร้างนวัตกรรมที่ตอบโจทย์ลูกค้า🔑 หากขาดทักษะนี้ไป องค์กรเสี่ยงเจ๊งแน่นอน!
.
ในโลกปัจจุบัน เทคโนโลยีที่พัฒนาอย่างก้าวกระโดดส่งผลให้พฤติกรรมของผู้บริโภคเปลี่ยนไป อัตราการแข่งขันในการสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ ๆ เพื่อตอบโจทย์ผู้บริโภคเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้หลาย ๆ องค์กรต้องเผชิญหน้าและรับมือกับสถานการณ์ที่แสนท้าทายเพื่อความอยู่รอดในตลาด หรืออย่างที่พูดกันว่า “ใครอ่อนแอก็แพ้ไป”
.
หนึ่งในทักษะที่จำเป็นต่อการสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ ๆ คือ “Design Thinking”💡 กระบวนการคิดเชิงออกแบบที่ทำความเข้าใจ วิเคราะห์เหตุผล แก้ไขปัญหา และหาโซลูชันที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด เพื่อผลลัพธ์ใหม่ ๆ ที่ตอบโจทย์ความต้องการโดยยึด “ผู้บริโภค” เป็นหลัก ทักษะนี้จะทำให้องค์กรสามารถเติบโตได้ทันเทคโนโลยีที่ไม่หยุดนิ่ง
.
5 ขั้นตอนการคิดเชิงออกแบบที่องค์กรนำไปใช้ได้จริง
.
🧠 Empathize: ทำความเข้าใจปัญหาอย่างลึกซึ้งจากมุมมองของผู้ใช้งานจริง
🧠 Define: กำหนดปัญหาและกรอบของปัญหาโดยการวิเคราะห์ข้อมูล
🧠 Ideate: ระดมความคิดเพื่อหาแนวทางแก้ไขปัญหาใหม่ ๆ โดยเน้นแลกเปลี่ยนความคิดสร้างสรรค์และไอเดียใหม่ ๆ เพื่อให้ได้มุมมองที่หลากหลาย
🧠 Prototype: สร้างต้นแบบเพื่อทดสอบจาก Feedback ของผู้ใช้งานจริง โดยคำนึงถึงความต้องการของผู้บริโภคเป็นหลัก
🧠 Test: ทดสอบต้นแบบเพื่อทดลองประสิทธิภาพและประเมินผล เพื่อนำปัญหาที่พบมาปรับปรุงแก้ไขก่อนนำไปใช้จริง
.
ทักษะ Design Thinking เป็นกระบวนการคิดที่มุ่งเน้นการคิดอย่างสร้างสรรค์เพื่อออกแบบนวัตกรรมใหม่ ๆ ที่ตอบโจทย์ความต้องการของตลาด ช่วยยกระดับขีดความสามารถของการแข่งขันและการแก้ไขปัญหา สามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้กับทุกองค์กร🔍
.
#BASEPlayhouse #BASEForCoporate #DesignThinking #Training

ลักษณะของครูในอนาคต จะต้องเปลี่ยนไปจากเดิมอย่างไร?

ลักษณะของครูในอนาคต จะต้องเปลี่ยนไปจากเดิมอย่างมาก เพื่อให้สอดคล้องกับโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในยุคเทคโนโลยีและสังคมที่ซับซ้อนมากขึ้น ลองดูภาพรวมลักษณะที่สำคัญของครูในอนาคต
———
1. มีทักษะด้านเทคโนโลยี
 • ใช้เครื่องมือดิจิทัลและแพลตฟอร์มการเรียนรู้ออนไลน์ได้คล่อง
 • สร้างสื่อการสอน เช่น วิดีโอ อินโฟกราฟิก หรือแบบฝึกหัดออนไลน์ได้เอง
 • เข้าใจการใช้ AI ช่วยออกแบบบทเรียนหรือประเมินผล


2. เป็นผู้นำทางความคิด ไม่ใช่แค่ผู้ถ่ายทอด
 • ชี้แนะแนวทางให้ผู้เรียนคิดวิเคราะห์ คิดเป็น แก้ปัญหาเองได้
 • สร้างบรรยากาศการเรียนรู้ที่เปิดกว้าง และส่งเสริมการตั้งคำถาม


3. เข้าใจและใส่ใจ “มนุษย์” มากขึ้น
 • มีทักษะด้านอารมณ์ (EQ) สูง เข้าใจความหลากหลายของผู้เรียน
 • เป็นที่พึ่งทางใจและช่วยดูแลสุขภาพจิตนักเรียน
 • เปิดใจรับฟังความคิดเห็นจากผู้เรียนและผู้ปกครอง


4. เรียนรู้ตลอดชีวิต (Lifelong Learning)
 • ไม่หยุดอยู่กับตำราเดิม แต่พัฒนาตัวเองอย่างต่อเนื่อง
 • ยืดหยุ่น พร้อมปรับวิธีสอนให้ทันยุคเสมอ


5. ทำงานร่วมกับระบบ ไม่ต่อต้านเทคโนโลยี
 • ทำงานร่วมกับ AI หรือแพลตฟอร์มต่างๆ เพื่อเพิ่มคุณภาพการสอน
 • มองเทคโนโลยีเป็น “ผู้ช่วย” ไม่ใช่ “คู่แข่ง”

“ครูในอนาคตไม่ใช่แค่คนสอน แต่คือผู้สร้างแรงบันดาลใจ ผู้ออกแบบการเรียนรู้ และผู้ดูแลหัวใจของผู้เรียน”

วันพุธที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2568

ปัญญา 7 ระดับ

"ปัญญา 7 ระดับ" 
การวัดประเมินระดับปัญญาของบุคคล
ตามหลักปรัชญาจีน
ในคัมภีร์ของบัณฑิตจีนกล่าวไว้ว่า 
"ผู้มีปัญญานั้นหาใช่มีเพียงหนึ่ง"
 หากแบ่งได้เป็นเจ็ดระดับ ดังนี้

1. รู้ตนเอง 
 คือผู้เริ่มต้นเส้นทางปัญญา
เข้าใจข้อดีข้อด้อยของตน

2. รู้ผู้อื่น 
มองลึกกว่าคำพูด 
เข้าใจใจคน แม้ไม่กล่าววาจา

3. รู้เวลา  
เข้าใจจังหวะแห่งชีวิต 
รู้เมื่อใดควรเดินหน้า หรือถอยหลัง

4. รู้เหตุผล  
ไตร่ตรองสิ่งที่เห็น 
มิใช่เชื่อตามสิ่งที่ได้ยิน

5. รู้ประมาณ  
ไม่โลภเกินตน 
ไม่อวดเกินค่า
ดำเนินชีวิตอย่างสมดุล

6. รู้เปลี่ยนแปลง  
ยืดหยุ่นดุจสายน้ำ 
ไม่ยึดติด ไม่แข็งกร้าว

7. รู้วาง 
สูงสุดแห่งปัญญา 
วางได้แม้สิ่งที่รัก 
เพื่อความสงบในใจ

ผู้มีปัญญาทั้งเจ็ดนี้ 
มิใช่เกิดมาแล้วมีทันที 
แต่ต้องเรียนรู้ ฝึกฝน 
และผ่านบททดสอบแห่งชีวิต 
จึงจะบรรลุได้ทีละขั้น

ดั่งภูเขาที่สงบนิ่ง 
ดั่งสายน้ำที่ไม่หยุดไหล 
ปัญญาคือการเข้าใจ 
และปล่อยวางอย่างแท้จริง

รู้เท่าทัน

เมล็ดที่ขุดขึ้นดูทุกวัน ไม่อาจงอกงาม
เมล็ดที่ปล่อยไว้ในดิน เติบโตได้เอง
เช่นเดียวกับใจที่ปรุงแต่งไม่หยุด
ไม่พบความเงียบที่เมล็ดพันธุ์แห่งปัญญาต้องการ

ความสงบไม่ใช่ที่หลบภัย
แต่เป็นหอคอยที่มองเห็นทุกสิ่งตามจริง

ไม่หนีร้อน ไม่หนีหนาว
ไม่สร้างกำแพงกั้นโลกภายนอก

เมื่อฝนตก เราเปียก
เมื่อแดดออก เราร้อน
ใจถูกกระทบ แต่ไม่ดิ้นรน
เพราะรู้ว่า—ทุกสิ่งมาเยือนแล้วจากไป

พระจันทร์สะท้อนบนน้ำ
มือกวนน้ำนั้นพันรอบ
ภาพจันทร์แตกเป็นริ้ว
จันทร์ก็ยังสมบูรณ์อยู่บนฟ้า

ไม่มีอะไรต้องหา
ไม่มีอะไรต้องหนี
ความสงบที่แท้จริง
คือการอยู่กับทุกขณะด้วยใจที่รู้เท่าทัน

การสร้างพลังใจให้ทีม และความสำคัญของหัวหน้า

ความสำคัญของหัวหน้า แล้วพบว่าพลังงานของทีมในการทำงานนั้นมาจากหัวหน้าอยู่ไม่น้อย จนไปค้นพบคำคำนึงที่น่าสนใจนั่นคือ Optimistic Leader ซึ่งค้นพบว่าหัวหน้าประเภทนี้ส่งผลต่อการสร้าง Productivity ให้กับทีมมาก เพราะ..
1. สร้างแรงจูงใจและแรงผลักดันได้

ผู้นำลักษณะนี้จะเป็นคนมองโลกในแง่ดี มีวิสัยทัศน์ และมีเป้าหมายที่อยากส่งต่อแรงบันดาลใจและความมุ่งมั่นให้พนักงาน เพื่อให้เห็นถึงโอกาสและศักยภาพที่จะบรรลุความสำเร็จได้ ไม่ใช่มองเห็นเพียงอุปสรรคและความยากลำบากมุมเดียว

2. สร้างบรรยากาศแห่งความเชื่อมั่นและมุ่งมั่น

อันนี้จากประสบการณ์ ออฟฟิศ 0.4 เห็นด้วย ว่าการสร้างบรรยากาศในการทำงานจะส่งผลให้พนักงานเกิดทัศนคติเชิงบวก กล้าแสดงความคิดเห็น และทุ่มเทกับงานอย่างเต็มศักยภาพ ซึ่งจะเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานโดยรวม

3. สร้างนวัตกรรมและความคิดสร้างสรรค์

ผู้นำที่มองโลกในแง่ดีและมีวิสัยทัศน์กว้างไกล มักจะเปิดกว้างต่อแนวคิดใหม่ๆ และยอมรับความเสี่ยงบ้าง ซึ่งเอื้อให้เกิดการริเริ่มนวัตกรรมจากพนักงานที่ช่วยยกระดับความสามารถขององค์กรได้

4. สร้างวัฒนธรรมการทำงานที่เข้มแข็ง

ผู้นำแบบนี้ไม่ได้ส่งผลดีแค่ทีม แต่ยังช่วยให้เกิดบรรยากาศการทำงานแบบทีมเพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ร่วมกัน ทำให้พนักงานเกิดความผูกพัน และทุ่มเทในการทำงานเพื่อความสำเร็จต่อภาพรวมในองค์กรมากขึ้นภายใต้วัฒนธรรมที่สร้างขึ้น

สรุปแล้ว ถ้าใครมีหัวหน้าที่มีลักษณะตามนี้ ก็นับว่าน่าอิจฉาไม่น้อย และเราคงไม่แปลกใจว่าทำไมเราถึงยอมที่จะช่วยทำงานเพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่วางไว้ร่วมกัน

Content Creation System สไตล์ #วิศวะการตลาด

Content Creation System สไตล์ #วิศวะการตลาด
ที่ผ่อนแรงได้ แต่ยังไม่ทิ้งหัวใจของงานคอนเทนต์! 🤖✍️
✅ ผ่อนแรง  
✅ เพิ่มประสิทธิภาพ  
✅ คุมคุณภาพด้วยคน

ทุกวันนี้ ไม่ว่าจะทำธุรกิจอะไร การทำคอนเทนต์คือสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่การที่ต้องคิดคอนเทนต์ให้ทันทุกวัน ทุกเดือน ... ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย 😫

วิศวะการตลาดออกแบบระบบ Content Creation System ที่ผสาน AI และ Automation เข้าด้วยกัน ให้ช่วยคิด ช่วยเขียน และจัดการงานซ้ำ ๆ ให้เร็วขึ้น แต่สิ่งที่ขาดไม่ได้คือ “มนุษย์” ที่เข้ามาเติมหัวใจของงาน ใส่ความเข้าใจ ตรวจสอบ คัดเลือก เติมอารมณ์ ในทุกขั้นตอน

-- เพราะ AI อาจช่วย Draft ได้ -- 
-- แต่มนุษย์เท่านั้นที่ Craft การสื่อสารให้น่าจดจำ ✨ --   

#AIDraftHumanCraft #ContentCreationSystem #วิศวะการตลาด  
#การตลาดจับต้องได้ #ใช้AIแต่ไม่ทิ้งความเป็นมนุษย์


จัดการพิษร้ายจากคนงี่เง่า Toxic ทุกรูปแบบ

จัดการพิษร้ายจากคนงี่เง่า Toxic ทุกรูปแบบ 
ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตคุณ ด้วยข้อคิดจากหนังสือ
"เธอ"หรือ"ฉัน"ใครกันที่ Toxic "
1. มีน้อยคนที่เป็นพิษต่อทุกคน มีน้อยคนที่เป็นพิษได้ในทุกสถานการณ์ 

2.การป้องกันไม่ให้ถูกทำร้ายโดยคนเป็นพิษ ต้องเข้าใจจุดอ่อนของตัวเอง รวมทั้งรู้ว่าเขาอาจทำร้ายเราได้อย่างไร ถ้าคุณรู้และมีวิธีรับมือกับคนที่เป็นพิษได้ คุณจะมีสุขภาพที่ดีและมีความสุขมากขึ้น 

3.โดยส่วนใหญ่คนที่เสี่ยงจะเดือดร้อนจากคนเป็นพิษมักเป็นคนดีและซื่อสัตย์

4. การรับมือกับคนเป็นพิษประเภท"คนล้ำเส้น" ต้องกำหนดขอบเขตกับเขาตั้งแต่เริ่ม ทำตัวให้หนักแน่นและสม่ำเสมอเข้าไว้ เมื่อชักจูงคุณยาก เขาจะหันไปหาคนอื่นที่จัดการได้ง่ายกว่า

5.การรับมือกับคนเป็นพิษประเภท"จอมดราม่า" ให้รักษาระยะห่างที่ปลอดภัย และป้องกันมิให้ถูกดึงเข้าไปรับผิดชอบในสิ่งที่คนประเภทนี้กระทำ

6.การรับมือกับคนเป็นพิษประเภท" พวกสันหลังยาวใช้งานเก่ง นักละเมิดและแวมไพร์ดูดพลัง"
ชีวิตคือการให้และรับทั้งสองสิ่งต้องสมดุลกัน ต้องพูดให้ชัดเจนไปเลย ว่าเราต้องการอย่างไร ไม่ใช่ให้เขาเอาเปรียบเราฝ่ายเดียว

7.การรับมือกับคนเป็นพิษประเภท"อันธพาลและพวกซาดิสม์"
  ถ้าถูกทำร้ายและหยามเกียรติคุณซ้ำๆและทำเช่นนั้นต่อไปเรื่อยๆ ให้หนีห่างจากเขา ถ้าเป็นไปได้อย่ากลับไป แม้เขาสัญญาว่าจะเปลี่ยนแปลง เขาจะไม่เปลี่ยน หรือเปลี่ยนได้ไม่นาน
  
8.การรับมือกับคนเป็นพิษประเภท" นักระเบิดอารมณ์และปากร้าย"
    ต้องพูดตรงไปตรงมาเท่าที่คุณอยากพูด แต่ยังคงความสุภาพมีเหตุผลและจดจ่อกับประเด็นที่คุณประสงค์จะพูดคุย โดยคุยเป็นการส่วนตัว

9.การรับมือกับคนเป็นพิษประเภท" คนหัวดื้อพวกขี้โม้ คนเจ้าหลักการและพวกคลั่งศาสนา"
     ต้องมั่นคงในจุดยืน ของคุณเอาไว้แต่ถ้าทำไม่ได้ ต้องอยู่ห่างจาก พวกคนเหล่านี้ เพราะ ไม่มีโอกาสที่จะเปลี่ยน ความคิดในเรื่องใดๆของเขาหรือแลกเปลี่ยนความคิดเห็นอย่างมีเหตุผลกับเขาได้

10.การรับมือกับคนเป็นพิษประเภท" คนหลงตัวเอง"
     กำหนดขีดจำกัดกับความหวังของคนหลงตัวเองไว้โดยกำหนดให้ชัดเจนว่าจะยอมให้เขาเหล่านั้นได้เพียงใด สิ่งไหนที่คุณจะทำหรือไม่ทำให้เขา ไม่ใช่ยอมให้เขาได้หน้าจากงานของคุณอยู่ร่ำไป

11.การรับมือกับคนเป็นพิษประเภท" คนโรคจิตต่อต้านสังคม"
     รักษาขอบเขตของตัวคุณเองไว้และเว้นระยะห่างระหว่างคุณกับคน เหล่านี้

12.การรับมือกับคนเป็นพิษประเภท" นักหึงหวงและนักหวาดระแวง"
  ตั้งขีดจำกัดที่เหมาะสมว่าคุณยอมรับการตรวจสอบของเธอได้มากสุดแค่ไหน ถึงจุดหนึ่งคุณจะต้องยื่นคำขาด

13.เทคนิคในการรับมือกับสิ่งที่เป็นพิษ ที่ใช้ได้กับทุกสถานการณ์
- แสดงออกอย่างมั่นใจ -กำหนดขอบเขตที่ชัดเจน 
-ใช้พลังแห่งมิตรภาพ
- การช่วยผู้อื่นจะเป็นการช่วยตัวคุณเอง
-ไม่ต้องเป็นคนรับผิดชอบไปทุกเรื่อง

14. ถ้ารู้ว่าตัวเองเป็นพิษให้ไปพบแพทย์ก่อนเพื่อตรวจเช็คภาวะซึมเศร้า เพื่อรักษาด้วยยาหรือการบำบัดความคิด แล้วคุณจะเปลี่ยนแปลงทุกสิ่งได้โดยเฉพาะมุมมองที่คุณมีต่อตัวเอง

15. ถ้าต้องการเปลี่ยนแปลงตัวเองจริงๆให้จำไว้ว่า
- คุณไม่ได้ทำผิด
- คุณไม่ใช่คนเลว
- รับผิดชอบในสิ่งที่เกิดขึ้น
- เข้าใจตัวเอง คุณเปลี่ยนแปลงตัวเองได้
-พูดคุยกับคนที่คุณไว้ใจเป็นประจำ
- ให้เวลากับตัวเองอดทนและทำความเข้าใจ
- อย่ามองหาเสียงปรบมือหรือคำชื่นชม

7 บทเรียนที่ได้จากวรรณกรรมThe Old Man and The Sea

1. ความอุตสาหะและความอดทนเป็นคุณค่าที่ทรงพลังที่สุด

ชีวิตของชายเฒ่าในเรื่องเต็มไปด้วยการดิ้นรน แต่ไม่เคยมีช่วงใดที่เขายอมแพ้ ความอดทนของเขาในช่วงเวลาที่ยากลำบากยืนยันว่า ความมุ่งมั่นสามารถนำพาผ่านความยากลำบากได้ ไม่ว่าจะต้องสู้กับปลาขนาดมหึมาหรือต้องเผชิญกับทะเลที่ไม่เอื้ออำนวย ความอุตสาหะทำให้ชายเฒ่าไม่ยอมถอดใจ การควบคุมอารมณ์ในสถานการณ์ที่ไม่อาจควบคุมได้คือสิ่งที่ทำให้เขาก้าวต่อไปได้

2. ศักดิ์ศรีในความพยายาม ไม่ใช่ผลลัพธ์

ชายเฒ่าสู้กับปลายักษ์ แม้จะรู้ว่าอาจไม่สามารถนำมันกลับบ้านได้เต็มตัว แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่ทำให้เขายอมแพ้ เพราะความศักดิ์ศรีไม่ได้มาจากผลลัพธ์ แต่มาจากการพยายามอย่างเต็มที่แล้ว ความพยายามนี้มีความหมายเหนือกว่าชัยชนะ เขาตระหนักดีว่าชีวิตบางครั้งไม่ใช่การครอบครองสิ่งที่จับต้องได้ แต่เป็นการเดินทางที่ต้องผ่าน

3. ความโดดเดี่ยวเป็นบททดสอบของจิตใจ

การอยู่คนเดียวกลางทะเลกว้างสร้างความท้าทายทางจิตใจให้ชายเฒ่า เขาต้องเผชิญกับความเงียบ ความโดดเดี่ยว และต้องพูดคุยกับตัวเองเพื่อรักษาความสงบใจ ความโดดเดี่ยวไม่ได้เป็นเพียงศัตรู หากแต่มันเปิดโอกาสให้เขารู้จักตัวเองลึกซึ้งขึ้น เขาเรียนรู้ที่จะควบคุมความคิดและความรู้สึกของตนเองอย่างมั่นคง แม้ในยามที่ไม่มีใครอยู่ข้างกาย

4. การต่อสู้ภายในเป็นศัตรูที่แท้จริง

แม้ว่าปลายักษ์จะเป็นคู่ต่อสู้ที่เห็นได้ชัดเจน แต่ศัตรูที่แท้จริงของชายเฒ่าคือตนเอง การต่อสู้กับความหวาดกลัว ความเหนื่อยล้า และความสิ้นหวัง เป็นการต่อสู้ที่หนักที่สุด เขาต้องควบคุมจิตใจไม่ให้ล่มสลาย ในที่สุดเขาก็พิสูจน์ให้เห็นว่าการชนะใจตัวเองคือชัยชนะที่ยิ่งใหญ่กว่าทุกอย่าง

5. ความหวังและความฝันคือพลังใจที่ไม่มีวันตาย

ชายเฒ่าเชื่อมั่นว่าตนเองจะจับปลาได้แม้ผ่านวันเวลาที่ยากลำบากมากมาย ความหวังและความฝันเป็นเชื้อเพลิงที่ทำให้เขาก้าวต่อไปได้ แม้โลกจะดูไม่เอื้ออำนวยก็ตาม ความหวังไม่เพียงแต่เป็นพลังทางจิตใจ แต่ยังเป็นแรงขับเคลื่อนที่ทำให้เขาลุกขึ้นสู้ครั้งแล้วครั้งเล่า แม้จะต้องเผชิญกับความล้มเหลว

6. ธรรมชาติคือคู่ต่อสู้และเพื่อนที่ต้องเข้าใจ

ทะเล ปลายักษ์ นก และลม ต่างเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติที่ชายเฒ่าต้องเผชิญ การต่อสู้ของเขาไม่ใช่เพียงการต่อสู้กับธรรมชาติ แต่เป็นการเรียนรู้และเคารพธรรมชาติด้วย ชายเฒ่ารู้ดีว่าธรรมชาติเป็นทั้งศัตรูและเพื่อน ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติต้องอาศัยความเข้าใจและความกลมกลืน แม้ธรรมชาติจะไม่เคยอยู่ใต้อำนาจมนุษย์

7. ความพ่ายแพ้ไม่ใช่จุดจบ แต่เป็นบทเรียน

แม้ว่าสุดท้ายแล้วชายเฒ่าจะไม่สามารถนำปลากลับบ้านได้สมบูรณ์ แต่เขาไม่ได้รู้สึกว่าตนเองพ่ายแพ้ ความพ่ายแพ้ครั้งนี้กลับเป็นบทเรียนสำคัญที่ทำให้เขาเติบโตทางจิตใจ ความล้มเหลวไม่ได้ทำให้เขาสูญเสียศักดิ์ศรี หากแต่ทำให้เขามีความรู้สึกที่ลึกซึ้งต่อชีวิตมากขึ้น ความพ่ายแพ้จึงเป็นจุดเริ่มต้นใหม่ ไม่ใช่จุดจบ

ทักษะการคิดที่ต้องมีติดตัว

1. คิดต่างหรือคิดนอกกรอบ (Think Out of the Box)
.
การคิดต่างหรือที่หลายๆคนเรียกว่าคิดนอกกรอบ คือการฝึกให้ตัวเองคิดอะไรในแบบที่เราไม่เคยคิดมาก่อน กรอบในที่นี่ หมายถึงความคุ้นเคยในสิ่งที่เราคิดหรือทำแบบอัตโนมัติด้วยความคุ้นเคย 

การคิดนอกกรอบมักจะเป็นการคิดเพื่อแก้ปัญหาเดิมแต่ด้วยวิธีใหม่ที่ไม่เกี่ยวข้องกับวิธีการเดิม จำเป็นต้องคิดและทำแบบนี้เพราะหากทำวิธีเดิม จะไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงอะไรได้เลย

การคิดต่างหรือนอกกรอบนั้น ยังไม่จำเป็นจะต้องออกมาในรูปแบบความคิดสร้างสรรค์ แต่ก็ถือว่าเป็นรากฐานที่สำคัญ เพราะการคิดต่างเป็นแค่การคิดให้เราหลุดออกจากกรอบที่ครอบตัวเราเองให้ได้เท่านั้นเอง
.
.
2. คิดสร้างสรรค์ (Creative Thinking)
.
การคิดสร้างสรรค์หมายการคิดถึงสิ่งที่เราทำ เห็น เป็น และคุ้นเคย แล้วหาวิธีทำให้ออกมาเป็นสิ่งที่แตกต่างไปจากเดิม การคิดสร้างสรรค์รวมไปถึงการใช้การออกแบบ จินตนาการต่างเข้ามาเป็นส่วนในการคิดซึ่งออกมาในหลากหลายรูปแบบ สมัยนี้การคิดสร้างสรรค์ทำได้ง่ายขึ้นมากเพราะมีเครื่องมือช่วยให้การทดลองคิดนั้นเป็นจริงได้มากขึ้น อย่างงน้อยก็เป็นการทำภาพจำลองด้วย AI ให้เห็นก่อนว่าสิ่งที่เราคิดนั้นมาหน้าตาอย่างไร ประหยัดเงิน แรงและเวลา ได้มากกว่าสมัยก่อนเยอะ
.
.
3. คิดล่วงหน้า (Foresee)

คือการที่เราฝึกมองล่วงหน้าว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นบ้างและสิ่งนั้นจะมีผลกระทบกับเรามากน้อยอย่างไร ซึ่งสิ่งที่จะเกิดขึ้นจะขึ้นอยู่กับการที่เราจะทำหรือไม่ทำอะไรในวันนี้นั่นเอง การคิดล่วงหน้านี้รวมถึงการคาดการณ์สิ่งรอบตัวที่จะเปลี่ยนไปในโลกด้วย เพื่อเราจะได้เตรียมตัวรับมือไว้ก่อนที่สิ่งเหล่านั้นจะเกิดขึ้นจริง
.
.
4. คิดทางเลือก (Think of Alternative)
.
การคิดทางเลือก คือการรู้จักเปรียบเทียบอย่างเท่าเทียมถึงข้อดี ข้อเสีย ของสิ่งที่เรากำลังจะตัดสินใจ เช่นจะเลือกช้างสองตัวไหนดีระหว่างสองตัว ไม่ใช่เอามดไปเทียบกับช้าง

ปัญหาที่เจอบ่อยๆคือ เรามักเอาของที่ไม่ใช่เรื่องเดียวกันมาเปรียบเทียบกัน ผลที่ตามมาจึงผิดพลาด
.
5. คิดวิเคราะห์สาเหตุ (Root Cause Analysis)

การคิดวิเคราะห์สาเหตุได้ถูกต้อง คือรากฐานของการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน เพราะเราจะไม่มีทางแก้ปัญหาได้เด็ดขาดถ้าเราไม่รู้ว่าต้นตอของปัญหาอยู่ตรงไหน

คนส่วนใหญ่มักบอกปัญหาได้ แต่ไม่สามารถบอกถึงสาเหตุที่แท้จริงของปัญหาได้ คนที่สามารถวิเคราะห์ปัญหาได้จึงเป็นคนที่โลกต้องการตัวมากเพราะการแก้ปัญหาจากที่ต้นเหตุ คือการแก้ปัญหาที่ดีที่สุดเพราะแก้เรื่องเดียวทุกอย่างจบหมด
.
.
6. คิดเชื่อมโยง (Connecting and Applying)
.
การคิดเชื่อมโยงคือความสามารถในการคิดเอาเรื่องราว ประสบการณ์ ความรู้ต่างๆจากหลากหลายแหล่งที่มา มาร้อยเรียงเป็นเรื่องเพื่อให้เห็นภาพใหญ่ของสิ่งที่เรากำลังต้องการศึกษา ส่วนตัวผมคิดว่าเป็นทักษะที่จำเป็นมากกับชีวิตในยุคปัจจุบันที่เรามีข้อมูลมากมายจนอ่านกันแทบไม่ไหว แต่ทำไมเราถึงไม่สามารถนำมันมาใช้ประโยชน์เท่าที่ควร
.
ถ้าเราสามารถคิดเชื่อมโยงได้เก่ง เราจะมาสามารถเอาเรื่อที่เรารู้จากตรงนั้นไปประยุกต์ใช้กับตรงนี้ ปรับเปลี่ยน แก้ไขได้ทันท่วงทีโดยไม่ต้องไปนั่งค้นคว้าหาข้อมูลใหม่ทุกครั้งที่เจอกับปัญหา
.
การคิดเชื่อมโยงยังนำไปใช้กับการออกแบบชีวิตของตัวเองจากการเอาประสบการณ์หลายเรื่องในอดีตมาเชื่อมกันเป็นอาชีพหรือจุดขายเฉพาะตัว ที่เราเรียกว่า connect the dots 
.
.
7. คิดตั้งคำถามท้าทายกับปัญหา

คนเราจะแก้ปัญหาไม่ได้ถ้าไม่รู้จักตั้งคำถามที่ท้าทายกับปัญหาที่อยู่ตรงหน้า คำถามที่เราตั้งคิดถามคือ ถ้าเราไม่แก้ปัญหาด้วยวิธีเดิมๆ อะไรคือทางเลือกของเราได้บ้าง

มากกว่า 90% ของปัญหาที่คาราคาซังอยู่บนโลกใบนี้ สามารถแก้ได้ถ้าเรากล้าตั้งคำถามที่แรงและอยู่บนสมมติฐานใหม่ๆ ไม่ยึดติดกับแนวคิดการแก้เดิมๆและก็ทำได้เพียงแก้ปัญหาไปทีละขั้นสองขั้น
.
.
8. คิดเป็นเหตุเป็นผล 
.
คือการที่เราสามารถคิดย้อนถึงไปถึงสาเหตุของเรื่องที่เกิดขึ้น ณ ปัจจุบันได้ว่า เพราะอะไรและทำไมถึงเกิดสิ่งนี้ขึ้นมา 

การคิดย้อนนั้น จริง ๆ ต้องย้อนขึ้นไปหลายขั้นจนกว่าจะเจอสาเหตุที่แท้จริงของสิ่งที่เกิด ใครคิดย้อนไปได้ไกลเท่าไหร่ ก็มีโอกาสแก้ไขป้องกันสิ่งเดิมไม่ให้เกิดขึ้นอีกได้มากขึ้น ถ้าเป็นเรื่องการทำงาน ตัวอย่างที่ชัดเจนคือหลัก 5 Why ของ Toyota

การคิดแบบเป็นเหตุเป็นผลถือเป็นการคิดตามหลักศาสนาพุทธ (เพราะมีสิ่งนี้ สิ่งนี้จึงเกิด) ที่สามารถนำไปใช้ได้กับทุกสังคมโลก
.
.
9. คิดเชิงโครงสร้าง (Structural Thinking)
.
การคิดถึงที่มาของคำตอบ ว่ามีที่มาอย่างไร ใช้หลักอะไรในการคิด แม้ว่ารายละเอียดของคำตอบอาจจะไม่ถูกต้อง แต่การไล่เรียบที่มาของคำตอบนั้นเต็มไปด้วยตรรกะที่สมเหตุผล มีวิธีการคิดที่ชัดเจน
.
.
10. คิดเท่าที่จำเป็น (Think only Necessary)
.
การคิดเท่าที่จำเป็นนั้นฟังเหมือนง่ายแต่จริงๆแล้วยากมาก มันหมายถึงความสามารถที่ว่า เรารู้ชัดเจนว่าสำหรับเรื่องนี้ เราต้องการข้อมูลแค่ไหนพอในการนำมาคิดประกอบการตัดสินใจ เคยเจอรึเปล่าว่า คนบางประเภทที่ขอข้อมูลเพิ่มแล้วเพิ่มอีก จาก 1 กลายเป็น 10 แล้วอาจยังไม่พอกับอีกคนคือ ขอข้อมูลแค่ 5 อย่างก็พอสำหรับการตัดสินใจ
.
.
11. คิดบทสรุป
.
การมีข้อมูลนับล้านอย่างแต่คิดวนไปวนมาหาข้อสรุปอะไรไม่ได้คือการเสียเวลามาก บทสรุปนี้หมายความถึงการตัดสินใจว่าจะทำหรือไม่ทำอะไรอย่างไร หรือสรุปผลเรื่องใดสักเรื่องให้ตกผลึกออกมาได้
การคิดบทสรุปให้ได้จึงถือเป็นทักษะที่จำเป็นอย่างยิ่งที่เราต้องฝึกโดยเฉพาะในยุคที่เวลามีค่าขึ้นเรื่อยๆและเราไม่สามารถปล่อยเวลาให้ผ่านไปกับการมีกองข้อมูลมหาศาลตรงหน้าโดยไม่รู้จะเอามันไปทำอะไรต่อ
.
.
12. คิดแบบเติบโต (Growth Mindset)

คิดเชิงบวกว่าทุกอย่างในโลกสามารถดีขึ้นได้กว่าที่เป็นอยู่ รวมถึงตัวเองด้วย “ยังทำไม่ได้” ไม่ได้แปลว่า “ไม่มีวันทำได้” แต่จะมองว่าเรายังหาวิธีที่ใช่ไม่เจอ จึงยังทำไม่ได้่ 

ทุกคนต้องฝึกการติดแบบเติบโตเพราะคนที่เชื่อว่าทักษะทุกอย่างพัฒนาได้ จะกล้าลองผิด ล้มแล้วลุกไว และไม่กลัวความล้มเหลว

วิธีฝึกคือเวลาเจองานยาก แทนที่จะบ่นว่า “เราทำไม่ได้” → เปลี่ยนเป็น “เรายังทำไม่เป็น เดี๋ยวลองศึกษาก่อน”
.
.
13. คิดแบบเจ้าของ (Ownership Thinking)
คิดแบบคนที่ต้องรับผิดชอบทุกผลลัพธ์เราพเราคือเจ้าของงานนี้ จะดีจะร้ายเราเท่านั้นที่ต้องรับผิดชอบ คนที่คิดแบบเจ้าของ จะไม่โยนความผิด ไม่รอคำสั่ง แต่จะหาทางแก้ หาทางพัฒนาเสมอ

การคิดแบบนี้ ฝึกได้โดยเวลางานมีปัญหา อย่าเพิ่งโทษระบบ/ลูกค้า/ทีม → เริ่มจากถามตัวเองว่า "เราพลาดตรงไหน แล้วจะแก้ยังไง?"
.
.
14. คิดแบบระยะยาว (Long-term Thinking)

คิดไกลกว่าแค่พรุ่งนี้ เพื่อสร้างผลลัพธ์ที่มั่นคงในอนาคต มองประโยชน์ระยะยาวมากกว่าผลประโยชน์ขั่วคราวสั้นๆ 

เรื่องนี้น่าจะเป็นปัญหาใหญ่อันดับต้นๆ ของหลายๆ คน โดยเฉพาะผู้ที่ต้องใช้ชีวิตอยู่ในสภาพเศรษฐกิจที่ไม่มีทางเลือก เอาชีวิตรอดไปวันๆ ก็แทไม่ไหวแล้ว
.
แม้จะเป็นอย่างนั้น แต่ก็ต้องฝึก เพราะบางครั้งการเลือกผลประโยชน์ระยะสั้นทำให้พลาดโอกาสที่ใหญ่และมั่นคงกว่าในอนาคต
.
.
15. คิดแบบผู้ให้ (Give-first Thinking)

หลักการง่ายๆ ยิ่งให้ก่อน ยิ่งได้กลับ

ในยุคที่ทุกอย่างคือการแข่งขัน ผลประโยชน์ดูจะสำคัญกว่าทุกอย่าง คนที่รู้จักช่วยเหลือคนอื่นก่อน มักได้รับการยอมรับ จดจำ และได้รับความช่วยเหลือกลับในวันที่จำเป็น

การให้ก่อนจะช่วยลดปัญหาความเครียด ช่วยสร้างบรรยากาศที่เป็นมิตร และพาให้ทุกคนเดินหน้าไปด้วยกันได้ดีกว่าเพราะเมื่อใครกำลังติดขัดก็จะมีคนคอยช่วยให้ผ่านปัญหานั้นไปได้ เพราะเราทุกคนไม่ได้มีเวลาว่างมากขนาดมารอแก้ไขทุกปัญหาด้วยตัวเอง การมีคนช่วยจึงทำให้ทุกอย่างสำเร็จง่ายขึ้น

การเริ่มต้นก็ไม่ยากหรือยิ่งใหญ่อะไรเลย แค่แชร์ความรู้ที่เรามี, ช่วยตอบคำถามคนในทีม, หรือแนะนำเพื่อนให้รู้จักลูกค้าก็ได้
.
.
ทักษะการคิดก็เหมือนทักษะอื่นบนโลกนี้ นั่นคือมันฝึกกันได้ และยิ่งฝึกเราจะยิ่งเก่งและชำนาญขึ้น 
.
.
ใครที่ยังคิดไม่เก่ง ถ้าฝึกเป็นประจำก็จะเก่งขึ้นได้เอง
.
.
หนังสือวิชาธุรกิจที่ชีวิตจริงเป็นคนสอน

วันอังคารที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2568

คุณภาพต้องมาก่อน

Leader Journey วิถีผู้นำ ตอนที่ 116
Mind Map
- กิจกรรมเพื่อตอบสนอง “คุณภาพต้องมาก่อน”
ดัดแปลงจาก หนังสือ “การแก้ไขปัญหาแบบคิวซี”
คะทซึยะ โฮโซตานะ
- ความแตกต่าง ในการดำเนินกิจกรรม 5ส ของโรงงาน 3 ระดับ 
“กิจกรรม 5ส วัดจากการลงมือทำ มากกว่าท่องจำตามตำรา...”
การลดตันทุนที่ผู้บริหารอยากเห็น
ด้วยเทคนิค -3R
ทำไม่หยุด ทำต่อเนื่อง ทำทุกวัน 
เพราะที่นี่ประเทศไทย 
ทำดี ทำได้ ทำทันที 
และทำตลอดไป 
เพื่อคนไทย และแผ่นดินไทย 
อันเป็นที่รักยิ่งของพวกเราทุกคน 
#พัฒนาตนเอง #สร้างนิสัย #การเติบโตส่วนบุคคล #แรงบันดาลใจ #ใช้ชีวิตดรขึ้น #ความสุขของชีวิต #ความหมายของชีวิต #ผู้นำ #ผู้นำประสิทธิผลสูง
#GreenKAIZEN
#GreenProductivity
#พัฒนาภาวะผู้นำ
#ดรทองพันชั่งพงษ์วารินทร์
#ทำงานเก่งประสบความสำเร็จ
#ลดต้นทุนเพิ่มผลผลิตไคเซ็นKAZIEN
#อบรมบรรยายDesignหลักสูตรให้คำปรึกษาด้านการพัฒนาธุรกิจอุตสาหกรรมและทรัพยากรมนุษย์
#ลดต้นทุนไคเซ็นKAIZENสร้างกำไร
#จิตสำนึกคุณภาพ
#พัฒนาทักษะหัวหน้างานผู้จัดการ
#shopfloormanagement
#5GEN5สเพิ่มผลผลิต
#KPIActionPlan,

วิธีสร้างบารมีในตน*

***วิธีสร้างบารมีในตน***
ผู้มีบารมีในตน  
ย่อมเป็นผู้ซึ่งผู้อื่นยอมรับและเกรงใจ 
คำว่าบารมีนี้  
มิได้หมายความเพียงแค่ยศ อำนาจ และเงินตรา  
ทว่าอาจหมายถึงบารมีธรรม
และความสามารถในตน 
ซึ่งมีองค์ประกอบหลักๆอยู่ 5 ประการ   
ได้แก่...

1. ปัญญา
ปัญญาในที่นี้คือความรู้รอบตัว และความเชี่ยวชาญในหน้าที่ซึ่งตนรับผิดชอบ คนเรามิได้เกิดความเกรงใจบุคคลใดบุคคลหนึ่ง เพียงเพราะเขามีอำนาจเงินตราเท่านั้น แต่เรายังเกรงใจกันที่ความรู้ เพราะผู้มีความรู้ก็เหมือนผู้บอกเส้นทาง เผยที่มืดให้เกิดความสว่างไสว นอกจากนี้แล้ว ผู้มีความรู้ดี ย่อมสามารถใช้ความรู้ที่มีช่วยเหลือผู้อื่น ให้รอดพ้นจากปัญหา หรือเห็นทางอออกทางเลือกใหม่ๆ ความรู้หรือความเชี่ยวชาญในหน้าที่จึงเป็นเหตุปัจจัยที่สำคัญที่จะทำให้คนๆหนึ่งเกิดบารมีในตนขึ้นมาได้

2. วาจาสัตย์ 
คำพูดคือสิ่งสำคัญที่บอกตัวตนของคนเราได้ดีที่สุดอย่างหนึ่ง เมื่อพูดถึงคำพูดแล้ว เรามักนึกถึงคำว่าวาทะศิลป์ หรือศิลปะในการสื่อสาร ทว่า บารมีที่มาจากคำพูด ไม่ได้มาจากทักษะทางการสื่อสารเป็นสำคัญ แต่หัวใจหลักของมันมาจากความจริงใจ และความซื่อสัตย์ในคำพูดของตน พูดไปแล้วรักษาสัญญา พูดไปแล้วเป็นความจริงไม่มีโกหก พูดไปแล้วมีเพียงวัตถุประสงค์ที่จะให้กำลังใจ หรือให้คำแนะนำผู้อื่นด้วยความหวังดี ด้วยเหตุผล ด้วยความสุภาพ เหล่านี้เรียกรวมๆว่า เป็นวาจาสัตย์ ซึ่งเป็นหนึ่งในสิ่งสำคัญที่ทำให้คนๆหนึ่งเกิดบารมีขึ้นมาได้  

3. กาลเทศะ
รู้กาลชอบ รู้เหตุเหมาะสม คือรู้จักวางตัวให้สง่างาม พอเหมาะพอดี พูดพอเหมาะทำพอเหมาะ มีสติรู้ตัวว่ากำลังพูดอะไรกับใคร ทำอะไรที่ไหนอย่างไร ถูกที่ถูกเวลา ถูกคน และถูกสถานการณ์

4. เมตตา
คือมีจิตใจประกอบไปด้วยคุณธรรม 4 ประการคือความเห็นอกเห็นใจ การยื่นมือเข้าช่วยเหลือ มีความสุขและกำลังใจที่ดีในขณะที่ลงมือช่วยเหลือ และท้ายที่สุด ไม่มีการยึดถือเป็นบุญคุณ หรือโกรธเคืองน้อยใจ เมื่อการช่วยเหลือสิ้นสุดลง เหล่านี้คือบารมีอันเกิดจากความเมตตาของคนๆหนึ่ง ซึ่งบารมีนี้ย่อมส่งผลให้เกิดเป็นความศรัทธา เคารพ ยอมรับจากผู้อื่นที่มีต่อบุคคลนั้นๆ

5. ความกล้าและเบิกบาน
คือคุณภาพจิตใจที่เข้มแข็งเด็ดเดี่ยว ไม่ดีใจเสียใจง่ายๆ มีใจเป็นกลาง ตั้งมั่น ไม่ขึ้นๆลงๆไปตามคำพูด หรือการแสดงออกของใคร หรือไม่เป็นคนที่ตื่นตระหนกไปกับสถานการณ์ซึ่งเกิดขึ้นเฉพาะหน้า

***ข้อควรรู้และสังเกต***
1. คุณสมบัติทั้ง 5 ประการนี้จะช่วยสร้างบารมีให้ท่านได้ ใครก็ตามที่มีบารมีที่ว่านี้มาก ก็จะเป็นผู้ที่ถูกเบียดเบียนน้อย มีผู้คนรักใคร่ มีคนเกรงใจให้เกียรติให้การยอมรับ

2. บารมี 5 ประการนี้เป็นสิ่งที่ต้องค่อยๆสะสม บ่มเพาะ ไม่ใช่สิ่งที่จะเสกสร้างได้ในระยะเวลาอันรวดเร็ว ดังนั้นอย่าใจร้อนอยากได้ใจเร็ว เพราะการสร้างบารมีเป็นสิ่งที่ต้องกระทำไปเรื่อยๆชั่วชีวิต

3. ชีวิตของเราทุกคนไม่สามารถเลือกได้ว่าจะพบแต่เพียงคนที่ชอบพอใจเราตลอดเวลา ในบางครั้งชีวิตก็พาเราไปพบกับบางคนที่ไม่ชอบไม่พอใจเราด้วยเช่นกัน อย่างไรก็ตาม แม้พบเจอกับผู้ที่ไม่ชอบไม่พอใจเรา บารมีนี้ก็ยังเป็นเกราะปกป้องเราได้ จากการรังแกเบียดเบียนของผู้อื่น จากหนักเป็นเบา จากเบาเป็นไม่มีเรื่องไม่มีปัญหา บารมีทั้งห้าข้อนี้จึงเป็นสิ่งที่ทุกคนควรฝึกฝนบ่มเพาะให้ในจิตใจของตน

4. ปัญญา วาจาสัตย์ กาลเทศะ ความเมตตา ความกล้าหาญเบิกบานใจ เหล่านี้เป็นสิ่งที่ต้องฝึกฝน ผ่านการใช้ชีวิตประจำวันของเรา หรือจะเรียกว่าเป็นวิถึชีวิตก็ไม่ผิดนัก ต้องค่อยๆสร้างค่อยๆเติมในทุกๆวันที่ดำเนินชีวิต รูปแบบการใช้ชีวิตนั่นแหละ คือรูปแบบการสร้างบารมีของคนแต่ละคน

5. เงินตราและตำแหน่งคือบารมีนอกตัว 
ส่วนความสามารถ ความดี 
และความเข้มแข็งในตน คือบารมีในตัว  
เป็นสิ่งที่ทุกคนมีได้ ทำได้ และพึงกระทำ 
ทุกๆคนควรส่งเสริม  
อบรมใจตนให้มีบารมีธรรมงอกงามยิ่งๆขึ้นไป
***ฝึกฝน บ่มเพาะ ขูดเกลา***
***เพื่อให้เรามีชีวิตอยู่อย่างงดงาม***

***ติดต่อ พศิน อินทรวงค์***
วิทยากร/บรรยาย/หนังสือ/บทความ
https://www.facebook.com/talktopasin2013
***ติดตามช่องยูทูป***
พศิน อินทรวงค์ - Pasin Intarawong
https://www.youtube.com/channel/UCccGJ9suemcJiF6WQqxUuGQ

สวนเกษตร “โคก–หนอง–นา โมเดล” เกษตรผสมผสาน–พอเพียง “กิน–เหลือ–ขาย”

📗 สวนเกษตร “โคก–หนอง–นา โมเดล” เกษตรผสมผสาน–พอเพียง “กิน–เหลือ–ขาย” ไอเดียการผสมผสานทรัพยากรให้คุ้มค่า มีที่ดอน (โคก) มีแหล่งน้...