1. คิดต่างหรือคิดนอกกรอบ (Think Out of the Box)
.
การคิดต่างหรือที่หลายๆคนเรียกว่าคิดนอกกรอบ คือการฝึกให้ตัวเองคิดอะไรในแบบที่เราไม่เคยคิดมาก่อน กรอบในที่นี่ หมายถึงความคุ้นเคยในสิ่งที่เราคิดหรือทำแบบอัตโนมัติด้วยความคุ้นเคย
การคิดนอกกรอบมักจะเป็นการคิดเพื่อแก้ปัญหาเดิมแต่ด้วยวิธีใหม่ที่ไม่เกี่ยวข้องกับวิธีการเดิม จำเป็นต้องคิดและทำแบบนี้เพราะหากทำวิธีเดิม จะไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงอะไรได้เลย
การคิดต่างหรือนอกกรอบนั้น ยังไม่จำเป็นจะต้องออกมาในรูปแบบความคิดสร้างสรรค์ แต่ก็ถือว่าเป็นรากฐานที่สำคัญ เพราะการคิดต่างเป็นแค่การคิดให้เราหลุดออกจากกรอบที่ครอบตัวเราเองให้ได้เท่านั้นเอง
.
.
2. คิดสร้างสรรค์ (Creative Thinking)
.
การคิดสร้างสรรค์หมายการคิดถึงสิ่งที่เราทำ เห็น เป็น และคุ้นเคย แล้วหาวิธีทำให้ออกมาเป็นสิ่งที่แตกต่างไปจากเดิม การคิดสร้างสรรค์รวมไปถึงการใช้การออกแบบ จินตนาการต่างเข้ามาเป็นส่วนในการคิดซึ่งออกมาในหลากหลายรูปแบบ สมัยนี้การคิดสร้างสรรค์ทำได้ง่ายขึ้นมากเพราะมีเครื่องมือช่วยให้การทดลองคิดนั้นเป็นจริงได้มากขึ้น อย่างงน้อยก็เป็นการทำภาพจำลองด้วย AI ให้เห็นก่อนว่าสิ่งที่เราคิดนั้นมาหน้าตาอย่างไร ประหยัดเงิน แรงและเวลา ได้มากกว่าสมัยก่อนเยอะ
.
.
3. คิดล่วงหน้า (Foresee)
คือการที่เราฝึกมองล่วงหน้าว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นบ้างและสิ่งนั้นจะมีผลกระทบกับเรามากน้อยอย่างไร ซึ่งสิ่งที่จะเกิดขึ้นจะขึ้นอยู่กับการที่เราจะทำหรือไม่ทำอะไรในวันนี้นั่นเอง การคิดล่วงหน้านี้รวมถึงการคาดการณ์สิ่งรอบตัวที่จะเปลี่ยนไปในโลกด้วย เพื่อเราจะได้เตรียมตัวรับมือไว้ก่อนที่สิ่งเหล่านั้นจะเกิดขึ้นจริง
.
.
4. คิดทางเลือก (Think of Alternative)
.
การคิดทางเลือก คือการรู้จักเปรียบเทียบอย่างเท่าเทียมถึงข้อดี ข้อเสีย ของสิ่งที่เรากำลังจะตัดสินใจ เช่นจะเลือกช้างสองตัวไหนดีระหว่างสองตัว ไม่ใช่เอามดไปเทียบกับช้าง
ปัญหาที่เจอบ่อยๆคือ เรามักเอาของที่ไม่ใช่เรื่องเดียวกันมาเปรียบเทียบกัน ผลที่ตามมาจึงผิดพลาด
.
.
5. คิดวิเคราะห์สาเหตุ (Root Cause Analysis)
การคิดวิเคราะห์สาเหตุได้ถูกต้อง คือรากฐานของการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน เพราะเราจะไม่มีทางแก้ปัญหาได้เด็ดขาดถ้าเราไม่รู้ว่าต้นตอของปัญหาอยู่ตรงไหน
คนส่วนใหญ่มักบอกปัญหาได้ แต่ไม่สามารถบอกถึงสาเหตุที่แท้จริงของปัญหาได้ คนที่สามารถวิเคราะห์ปัญหาได้จึงเป็นคนที่โลกต้องการตัวมากเพราะการแก้ปัญหาจากที่ต้นเหตุ คือการแก้ปัญหาที่ดีที่สุดเพราะแก้เรื่องเดียวทุกอย่างจบหมด
.
.
6. คิดเชื่อมโยง (Connecting and Applying)
.
การคิดเชื่อมโยงคือความสามารถในการคิดเอาเรื่องราว ประสบการณ์ ความรู้ต่างๆจากหลากหลายแหล่งที่มา มาร้อยเรียงเป็นเรื่องเพื่อให้เห็นภาพใหญ่ของสิ่งที่เรากำลังต้องการศึกษา ส่วนตัวผมคิดว่าเป็นทักษะที่จำเป็นมากกับชีวิตในยุคปัจจุบันที่เรามีข้อมูลมากมายจนอ่านกันแทบไม่ไหว แต่ทำไมเราถึงไม่สามารถนำมันมาใช้ประโยชน์เท่าที่ควร
.
ถ้าเราสามารถคิดเชื่อมโยงได้เก่ง เราจะมาสามารถเอาเรื่อที่เรารู้จากตรงนั้นไปประยุกต์ใช้กับตรงนี้ ปรับเปลี่ยน แก้ไขได้ทันท่วงทีโดยไม่ต้องไปนั่งค้นคว้าหาข้อมูลใหม่ทุกครั้งที่เจอกับปัญหา
.
การคิดเชื่อมโยงยังนำไปใช้กับการออกแบบชีวิตของตัวเองจากการเอาประสบการณ์หลายเรื่องในอดีตมาเชื่อมกันเป็นอาชีพหรือจุดขายเฉพาะตัว ที่เราเรียกว่า connect the dots
.
.
7. คิดตั้งคำถามท้าทายกับปัญหา
คนเราจะแก้ปัญหาไม่ได้ถ้าไม่รู้จักตั้งคำถามที่ท้าทายกับปัญหาที่อยู่ตรงหน้า คำถามที่เราตั้งคิดถามคือ ถ้าเราไม่แก้ปัญหาด้วยวิธีเดิมๆ อะไรคือทางเลือกของเราได้บ้าง
มากกว่า 90% ของปัญหาที่คาราคาซังอยู่บนโลกใบนี้ สามารถแก้ได้ถ้าเรากล้าตั้งคำถามที่แรงและอยู่บนสมมติฐานใหม่ๆ ไม่ยึดติดกับแนวคิดการแก้เดิมๆและก็ทำได้เพียงแก้ปัญหาไปทีละขั้นสองขั้น
.
.
8. คิดเป็นเหตุเป็นผล
.
คือการที่เราสามารถคิดย้อนถึงไปถึงสาเหตุของเรื่องที่เกิดขึ้น ณ ปัจจุบันได้ว่า เพราะอะไรและทำไมถึงเกิดสิ่งนี้ขึ้นมา
การคิดย้อนนั้น จริง ๆ ต้องย้อนขึ้นไปหลายขั้นจนกว่าจะเจอสาเหตุที่แท้จริงของสิ่งที่เกิด ใครคิดย้อนไปได้ไกลเท่าไหร่ ก็มีโอกาสแก้ไขป้องกันสิ่งเดิมไม่ให้เกิดขึ้นอีกได้มากขึ้น ถ้าเป็นเรื่องการทำงาน ตัวอย่างที่ชัดเจนคือหลัก 5 Why ของ Toyota
การคิดแบบเป็นเหตุเป็นผลถือเป็นการคิดตามหลักศาสนาพุทธ (เพราะมีสิ่งนี้ สิ่งนี้จึงเกิด) ที่สามารถนำไปใช้ได้กับทุกสังคมโลก
.
.
9. คิดเชิงโครงสร้าง (Structural Thinking)
.
การคิดถึงที่มาของคำตอบ ว่ามีที่มาอย่างไร ใช้หลักอะไรในการคิด แม้ว่ารายละเอียดของคำตอบอาจจะไม่ถูกต้อง แต่การไล่เรียบที่มาของคำตอบนั้นเต็มไปด้วยตรรกะที่สมเหตุผล มีวิธีการคิดที่ชัดเจน
.
.
10. คิดเท่าที่จำเป็น (Think only Necessary)
.
การคิดเท่าที่จำเป็นนั้นฟังเหมือนง่ายแต่จริงๆแล้วยากมาก มันหมายถึงความสามารถที่ว่า เรารู้ชัดเจนว่าสำหรับเรื่องนี้ เราต้องการข้อมูลแค่ไหนพอในการนำมาคิดประกอบการตัดสินใจ เคยเจอรึเปล่าว่า คนบางประเภทที่ขอข้อมูลเพิ่มแล้วเพิ่มอีก จาก 1 กลายเป็น 10 แล้วอาจยังไม่พอกับอีกคนคือ ขอข้อมูลแค่ 5 อย่างก็พอสำหรับการตัดสินใจ
.
.
11. คิดบทสรุป
.
การมีข้อมูลนับล้านอย่างแต่คิดวนไปวนมาหาข้อสรุปอะไรไม่ได้คือการเสียเวลามาก บทสรุปนี้หมายความถึงการตัดสินใจว่าจะทำหรือไม่ทำอะไรอย่างไร หรือสรุปผลเรื่องใดสักเรื่องให้ตกผลึกออกมาได้
การคิดบทสรุปให้ได้จึงถือเป็นทักษะที่จำเป็นอย่างยิ่งที่เราต้องฝึกโดยเฉพาะในยุคที่เวลามีค่าขึ้นเรื่อยๆและเราไม่สามารถปล่อยเวลาให้ผ่านไปกับการมีกองข้อมูลมหาศาลตรงหน้าโดยไม่รู้จะเอามันไปทำอะไรต่อ
.
.
12. คิดแบบเติบโต (Growth Mindset)
คิดเชิงบวกว่าทุกอย่างในโลกสามารถดีขึ้นได้กว่าที่เป็นอยู่ รวมถึงตัวเองด้วย “ยังทำไม่ได้” ไม่ได้แปลว่า “ไม่มีวันทำได้” แต่จะมองว่าเรายังหาวิธีที่ใช่ไม่เจอ จึงยังทำไม่ได้่
ทุกคนต้องฝึกการติดแบบเติบโตเพราะคนที่เชื่อว่าทักษะทุกอย่างพัฒนาได้ จะกล้าลองผิด ล้มแล้วลุกไว และไม่กลัวความล้มเหลว
วิธีฝึกคือเวลาเจองานยาก แทนที่จะบ่นว่า “เราทำไม่ได้” → เปลี่ยนเป็น “เรายังทำไม่เป็น เดี๋ยวลองศึกษาก่อน”
.
.
13. คิดแบบเจ้าของ (Ownership Thinking)
คิดแบบคนที่ต้องรับผิดชอบทุกผลลัพธ์เราพเราคือเจ้าของงานนี้ จะดีจะร้ายเราเท่านั้นที่ต้องรับผิดชอบ คนที่คิดแบบเจ้าของ จะไม่โยนความผิด ไม่รอคำสั่ง แต่จะหาทางแก้ หาทางพัฒนาเสมอ
การคิดแบบนี้ ฝึกได้โดยเวลางานมีปัญหา อย่าเพิ่งโทษระบบ/ลูกค้า/ทีม → เริ่มจากถามตัวเองว่า "เราพลาดตรงไหน แล้วจะแก้ยังไง?"
.
.
14. คิดแบบระยะยาว (Long-term Thinking)
คิดไกลกว่าแค่พรุ่งนี้ เพื่อสร้างผลลัพธ์ที่มั่นคงในอนาคต มองประโยชน์ระยะยาวมากกว่าผลประโยชน์ขั่วคราวสั้นๆ
เรื่องนี้น่าจะเป็นปัญหาใหญ่อันดับต้นๆ ของหลายๆ คน โดยเฉพาะผู้ที่ต้องใช้ชีวิตอยู่ในสภาพเศรษฐกิจที่ไม่มีทางเลือก เอาชีวิตรอดไปวันๆ ก็แทไม่ไหวแล้ว
.
แม้จะเป็นอย่างนั้น แต่ก็ต้องฝึก เพราะบางครั้งการเลือกผลประโยชน์ระยะสั้นทำให้พลาดโอกาสที่ใหญ่และมั่นคงกว่าในอนาคต
.
.
15. คิดแบบผู้ให้ (Give-first Thinking)
หลักการง่ายๆ ยิ่งให้ก่อน ยิ่งได้กลับ
ในยุคที่ทุกอย่างคือการแข่งขัน ผลประโยชน์ดูจะสำคัญกว่าทุกอย่าง คนที่รู้จักช่วยเหลือคนอื่นก่อน มักได้รับการยอมรับ จดจำ และได้รับความช่วยเหลือกลับในวันที่จำเป็น
การให้ก่อนจะช่วยลดปัญหาความเครียด ช่วยสร้างบรรยากาศที่เป็นมิตร และพาให้ทุกคนเดินหน้าไปด้วยกันได้ดีกว่าเพราะเมื่อใครกำลังติดขัดก็จะมีคนคอยช่วยให้ผ่านปัญหานั้นไปได้ เพราะเราทุกคนไม่ได้มีเวลาว่างมากขนาดมารอแก้ไขทุกปัญหาด้วยตัวเอง การมีคนช่วยจึงทำให้ทุกอย่างสำเร็จง่ายขึ้น
การเริ่มต้นก็ไม่ยากหรือยิ่งใหญ่อะไรเลย แค่แชร์ความรู้ที่เรามี, ช่วยตอบคำถามคนในทีม, หรือแนะนำเพื่อนให้รู้จักลูกค้าก็ได้
.
.
ทักษะการคิดก็เหมือนทักษะอื่นบนโลกนี้ นั่นคือมันฝึกกันได้ และยิ่งฝึกเราจะยิ่งเก่งและชำนาญขึ้น
.
.
ใครที่ยังคิดไม่เก่ง ถ้าฝึกเป็นประจำก็จะเก่งขึ้นได้เอง
.
.
หนังสือวิชาธุรกิจที่ชีวิตจริงเป็นคนสอน