วันพฤหัสบดีที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2568

กรณีผู้รับจ้างทำงานไม่เป็นไปตามสัญญา แต่อ้างว่าเป็นการทำตามคำสั่งของผู้ควบคุมงาน ต้องพิจารณาอย่างไร และดำเนินการอย่างไรให้ถูกต้องตาม พ.ร.บ.จัดซื้อจัดจ้างฯ ระเบียบ และหนังสือ ว108

 ✅ กรณีผู้รับจ้างทำงานไม่เป็นไปตามสัญญา แต่อ้างว่าเป็นการทำตามคำสั่งของผู้ควบคุมงาน ต้องพิจารณาอย่างไร และดำเนินการอย่างไรให้ถูกต้องตาม พ.ร.บ.จัดซื้อจัดจ้างฯ ระเบียบ และหนังสือ ว108


https://www.yotathai.com/passadu/w-108 <ว108



🔍 ลักษณะกรณีปัญหา


ผู้รับจ้างดำเนินงานไม่เป็นไปตามแบบรูปรายการแนบท้ายสัญญา แต่กล่าวอ้างว่าได้รับคำสั่งจากผู้ควบคุมงานของผู้ว่าจ้างให้เปลี่ยนรูปแบบงาน เช่น จากเดิมที่ต้องรื้อผิวทางแอสฟัลต์และขนทิ้ง กลับเปลี่ยนเป็นการลงหินคลุกผสมซีเมนต์โดยไม่รื้อของเดิม ทั้งที่ไม่มีเอกสารอนุมัติเปลี่ยนแปลงแบบจากผู้มีอำนาจ


ต่อมาคณะกรรมการตรวจรับพัสดุได้มีหนังสือแจ้งให้ผู้รับจ้างแก้ไขให้ถูกต้องตามแบบ แต่ผู้รับจ้างเพิกเฉย โดยอ้างว่าได้ทำตามคำสั่งแล้ว



⚖️ ข้อพิจารณาตามกฎหมาย ระเบียบ และสัญญา


1. ผู้รับจ้างต้องทำงานตามแบบ รูปรายการ และข้อกำหนดแนบท้ายสัญญา

 • ข้อ 1 และข้อ 2 ของสัญญาจ้างก่อสร้าง กำหนดให้ผู้รับจ้างต้องดำเนินงานตามแบบ รูปรายการ และข้อกำหนดแนบท้ายสัญญาอย่างเคร่งครัด

 • คำวินิจฉัยของผู้ว่าจ้างเป็นที่สุด หากเอกสารแนบท้ายขัดแย้งกัน

 • ผู้ควบคุมงานไม่มีอำนาจเปลี่ยนแปลงแบบโดยลำพัง เว้นแต่ได้รับอนุมัติจากผู้มีอำนาจตามระเบียบ



2. คำสั่งของผู้ควบคุมงานที่ไม่เป็นไปตามแบบรูปรายการงานก่อสร้างและสัญญาจ้างก่อสร้าง ไม่มีผลผูกพันผู้ว่าจ้าง

 • ข้อ 178 ของระเบียบกระทรวงการคลังฯ กำหนดว่า หากผู้ควบคุมงานเห็นว่าแบบมีปัญหา ต้อง “รายงานคณะกรรมการตรวจรับพัสดุหรือผู้บริหารสัญญาทันที”

 • ไม่สามารถสั่งเปลี่ยนแปลงสาระสำคัญของงานได้เอง

✅ คำสั่งของผู้ควบคุมงานที่ไม่เป็นไปตามแบบรูปรายการงานก่อสร้างและสัญญาจ้างก่อสร้าง และไม่ได้รับความเห็นชอบจากผู้มีอำนาจตามระเบียบ จึงไม่มีผลผูกพันผู้ว่าจ้าง



3. ผู้รับจ้างไม่มีสิทธิอ้างคำสั่งของผู้ควบคุมงานที่ไม่เป็นไปตามแบบรูปรายการงานก่อสร้างและสัญญาจ้างก่อสร้าง เพื่อหลีกเลี่ยงความรับผิด

 • ข้อ 13 ของสัญญา ระบุว่า การมีผู้ควบคุมงานหรือบริษัทที่ปรึกษา ไม่ทำให้ผู้รับจ้างพ้นจากความรับผิดตามสัญญา

 • ข้อ 15 ของสัญญา กำหนดว่า ผู้ควบคุมงานมีอำนาจสั่งเฉพาะในขอบเขตของสัญญา

✅ หากงานไม่เป็นไปตามแบบ และผู้รับจ้างไม่แก้ไข → ต้องรับผิดเต็มที่



4. หน่วยงานของรัฐมีสิทธิบอกเลิกสัญญาได้ตามสัญญาและกฎหมาย

 • ข้อ 7 ของสัญญา และ มาตรา 103 วรรคหนึ่ง (2) แห่ง พ.ร.บ.จัดซื้อจัดจ้างฯ พ.ศ. 2560


ให้อำนาจผู้ว่าจ้างบอกเลิกสัญญา เมื่อผู้รับจ้างไม่ดำเนินงานตามแบบ หรือเพิกเฉยต่อคำสั่งของคณะกรรมการตรวจรับพัสดุหรือผู้ควบคุมงาน

✅ หน่วยงานสามารถใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาโดยชอบ



5. เมื่อบอกเลิกสัญญาแล้ว ต้องปฏิบัติตามแนวทางในหนังสือ ว108


ห้ามใช้คำว่า “ตรวจรับ” เพราะสัญญาสิ้นสุดแล้ว

 • หน่วยงานต้องประเมินว่างานที่ผู้รับจ้างทำไว้สามารถใช้ประโยชน์ได้หรือไม่ โดยแยกเป็น 2 กรณี


5.1 กรณีที่งานบางส่วนสามารถใช้ประโยชน์ได้จริง


→ ให้จัดทำบันทึกพิจารณาจ่าย “ค่าการงาน” เท่าที่สามารถใช้งานได้

→ ห้ามใช้คำว่า “ค่าจ้าง”

→ ห้ามตีความว่าเป็นการรับงานตามสัญญา


5.2 กรณีที่งานไม่สามารถใช้งานได้ หรือไม่คุ้มค่า


→ ไม่ต้องจ่ายเงินใด ๆ

→ ให้ดำเนินการต่อโดยใช้ ข้อ 18 ของสัญญา

 • จ้างผู้รับจ้างรายใหม่

 • ใช้วัสดุหรืออุปกรณ์เดิม

 • ริบหลักประกัน

 • เรียกค่าเสียหายเพิ่มเติม



6. หากเห็นว่าผู้รับจ้างมีพฤติการณ์เป็น “ผู้ทิ้งงาน” ต้องเสนอเรื่องต่อปลัดกระทรวงการคลัง

 • มาตรา 109 แห่ง พ.ร.บ.จัดซื้อจัดจ้างฯ พ.ศ. 2560


หากหน่วยงานเห็นว่าผู้รับจ้างควรถูกพิจารณาเป็นผู้ทิ้งงาน ให้เสนอเรื่องต่อ ปลัดกระทรวงการคลัง เพื่อพิจารณาและสั่งการ


 • หากปลัดกระทรวงการคลังวินิจฉัยให้เป็นผู้ทิ้งงาน

→ จะมีผลต่อการขึ้นบัญชี และห้ามเข้าร่วมงานของรัฐในอนาคต


✅ หน่วยงานควรดำเนินการเรื่องนี้ควบคู่กับการบอกเลิกสัญญา เพื่อรักษาประโยชน์ของทางราชการในระยะยาว



✳️ สรุปแนวทางปฏิบัติสำหรับหน่วยงานของรัฐ

 1. แจ้งให้ผู้รับจ้างแก้ไขงานให้ถูกต้องตามแบบรูปรายการงานก่อสร้างและสัญญาจ้างก่อสร้าง

 2. หากผู้รับจ้างไม่ดำเนินการ → ให้ใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาตาม ข้อ 7 และ มาตรา 103

 3. หลังบอกเลิกสัญญา → ปฏิบัติตามแนวทางใน หนังสือ ว108

 • ถ้างานใช้ได้ → จ่าย “ค่าการงาน”

 • ถ้างานใช้ไม่ได้ → ไม่จ่าย และใช้ ข้อ 18 ของสัญญา ดำเนินการต่อ

 4. หากเห็นว่ามีพฤติการณ์เป็น “ผู้ทิ้งงาน” → เสนอเรื่องต่อ ปลัดกระทรวงการคลัง ตาม มาตรา 109



✅ บทสรุป


คำสั่งของผู้ควบคุมงานที่ไม่เป็นไปตามแบบรูปรายการงานก่อสร้างและสัญญาจ้างก่อสร้าง และไม่ได้รับความเห็นชอบจากผู้มีอำนาจตามระเบียบ ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงสาระสำคัญของงานจ้างได้

ผู้รับจ้างไม่มีสิทธิอ้างคำสั่งนั้นเพื่อหลีกเลี่ยงความรับผิด

หน่วยงานต้องใช้สิทธิตามสัญญาอย่างถูกต้อง บริหารสถานการณ์หลังบอกเลิกสัญญาอย่างเป็นระบบ และเสนอเรื่องต่อกระทรวงการคลังเมื่อจำเป็น เพื่อปกป้องประโยชน์ของแผ่นดินอย่างแท้จริง


~~~~~~~~~~

แชร์ได้ , save ไว้ศึกษาส่วนตัวได้ , ห้ามนำไปโพสซ้ำหรือใช้งานที่อื่นโดยไม่ได้รับอนุญาต สงวนสิทธิ์ตามกฎหมาย

~~~~~~~~~~


✏️✏️✏️✏️✏️

อบรมกับโยธาไทย

 1. อบรมราคากลางและค่า K

https://training.yotathai.com/con-k

 2. อบรมการจัดทำราคากลาง +ว452 +ว124

https://training.yotathai.com/w452

 3. อบรมหลักการควบคุมงาน บริหารสัญญา

https://training.yotathai.com/work

 4. อบรมกฎหมายปกครองกับงานจ้างก่อสร้าง หลักการควบคุมงาน บริหารสัญญา และตรวจรับ

https://training.yotathai.com/law-work

 5. อบรม AI กับงานก่อสร้างและบริหารงานก่อสร้าง

https://training.yotathai.com/ai

 6. อบรมราคากลางงานก่อสร้างและสัญญาจ้างก่อสร้าง

https://training.yotathai.com/contract

 7. อบรม SketchUp BIM + LayOut

https://training.yotathai.com/sketchup

.......... 

อบรมออนไลน์

https://yotathai.link/online-training อบรมออนไลน์

..........

https://yotathai.link/lecturer เชิญวิทยากรบรรยาย

https://yotathai.link/office ติดต่อทีมงานโยธาไทย (Line@)

https://yotathai.link/training สมัครอบรมกับโธาไทย

https://yotathai.link/chat กลุ่มสนทนาใน Line(ฟรี)

https://yotathai.link/news รับข่าวสารผ่าน Line(ฟรี)

https://yotathai.link/club กลุ่มปรึกษาปัญหาใน FB(ฟรี)

https://yotathai.link/fb-gp กลุ่มปรึกษาปัญหาจัดจ้างก่อสร้าง ใน FB (ฟรี)

https://yotathai.link/shop ร้านค้าโยธาไทย

https://yotathai.link/premix ยางมะตอยโยธาพรีมิกซ์

https://yotathai.link/alum สารส้ม-คลอรีน

https://yotathai.link/program โปรแกรมคอมพิวเตอร์

https://yotathai.link/program-k โปรแกรมค่า k

https://yotathai.link/program-factorf โปรแกรม Factor F

https://yotathai.link/program-unitcost โปรแกรมคำนวณวัสดุมวลรวม

https://yotathai.link/program-sketchup โปรแกรม SketchUp

https://roadprice.yotathai.com โปรแกรม ROAD PRICE ประมาณราคางานทาง

https://yotathai.link/rebars เขียนเหล็กเสริมใน SketchUp

https://yotathai.link/k-cal รับคำนวณค่า K

ว124 และการเร่งรัดงาน: สิ่งที่คณะกรรมการตรวจรับพัสดุต้องเข้าใจ

 ✅ ว124 และการเร่งรัดงาน: สิ่งที่คณะกรรมการตรวจรับพัสดุต้องเข้าใจ


https://www.yotathai.com/passadu/w124 <ว124



คณะกรรมการตรวจรับพัสดุในงานก่อสร้าง ไม่ใช่แค่ผู้ตรวจงานตอนสิ้นสุดเท่านั้น แต่ยังมีบทบาทสำคัญใน การบริหารสัญญา ตามมาตรา 100 วรรคหนึ่ง ของ พ.ร.บ.จัดซื้อจัดจ้างฯ พ.ศ. 2560 และ หนังสือ ว124 ก็เป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้คณะกรรมการตรวจรับพัสดุสามารถ เร่งรัดงาน และเสนอการบอกเลิกสัญญา ได้อย่างมีหลักเกณฑ์



✳️ 1. การเร่งรัดให้ผู้รับจ้างเข้าทำงานตามสัญญา


หลังลงนามสัญญา หากผู้รับจ้างไม่เข้าทำงานตามวันเริ่มต้นที่กำหนด คณะกรรมการตรวจรับพัสดุต้องดำเนินการตาม ว124 ข้อ 2.1.1 โดย:

 • มีหนังสือเร่งรัดให้ผู้รับจ้างเข้าทำงาน

 • หากยังไม่เข้าทำงานภายในเวลาที่กำหนด ให้เสนอหัวหน้าหน่วยงานพิจารณาบอกเลิกสัญญาได้ทันที


ตรงนี้ไม่จำเป็นต้องรอให้ถึงเงื่อนไขตามข้อ 2.2 ของ ว124



✳️ 2. การเร่งรัดผู้รับจ้างที่ทำงานล่าช้ากว่ากำหนด


กรณีผู้รับจ้างทำงานล่าช้า หรือทำงานไม่เป็นไปตามแผน คณะกรรมการตรวจรับพัสดุสามารถใช้ ว124 ข้อ 2.1.2 และ 2.2 ในการประเมินความล่าช้า ดังนี้:


เกณฑ์ที่ใช้ประเมินตามข้อ 2.2 ของ ว124 มีทั้งหมด 5 ข้อหลัก ได้แก่:

 1. ผลงานสะสมไม่ถึง 25% เมื่อเลยครึ่งระยะเวลาสัญญา

 2. ผลงานประจำเดือนต่ำกว่า 50% และสะสมต่ำกว่า 50% เมื่อเลยครึ่งเวลา

 3. ผลงานสะสมไม่ถึง 65% เมื่อเลย ¾ ของระยะเวลา

 4. ผลงานสะสมไม่ถึง 85% เมื่อครบกำหนดตามสัญญา

 5. ค่าปรับเกิน 10% ของมูลค่าสัญญา ตามข้อ 183 ของระเบียบฯ


หากเข้าเกณฑ์ใดเกณฑ์หนึ่งข้างต้น ถือว่ามีเหตุอันสมควรให้ใช้ ดุลพินิจในการเสนอหัวหน้าหน่วยงานบอกเลิกสัญญาได้ทันที ตาม มาตรา 103 วรรคหนึ่ง (2)



✳️ 3. ใช้ว124 ได้ทั้งในสัญญาที่มีแผนและไม่มีแผน


แม้สัญญาจ้างก่อสร้างแบบ ข้อ 7(ข) จะไม่มีการแนบแผนการทำงานล่วงหน้า แต่ ว124 ก็สามารถนำมาใช้ในการเร่งรัดงานและบริหารสัญญาได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดย:

 • ใช้วันเริ่มต้นและวันสิ้นสุดในสัญญาเป็นเกณฑ์ในการคำนวณระยะเวลา

 • สามารถนำหลักการใน ว124 มาใช้ติดตาม ตรวจสอบ และเร่งรัดให้ผู้รับจ้างเร่งดำเนินงานตามระยะเวลาที่กำหนดไว้ในสัญญา


ว124 จึง สามารถนำมาใช้ได้แม้ไม่มีแผนการทำงานอย่างเป็นทางการ เพราะเป็นเครื่องมือในการบริหารสัญญา ไม่ได้จำกัดเฉพาะกรณีที่มีแผนเท่านั้น



✳️ 4. เงื่อนไขการบอกเลิกสัญญา (อย่างสมบูรณ์) มี 3 กลุ่มหลัก

 1. ไม่เริ่มงานตามสัญญา

 • ใช้ ว124 ข้อ 2.1.1 → ออกหนังสือเร่งรัด

 • หากไม่เข้าทำงานตามกำหนด → เสนอพิจารณาบอกเลิกสัญญาทันที ตามข้อ 7 ของสัญญา และมาตรา 103(2)

 2. เริ่มงานแล้วแต่ล่าช้า

 • ใช้ ว124 ข้อ 2.1.2 และประเมินตามข้อ 2.2.1 – 2.2.5

 • หากเข้าเงื่อนไขใดข้อหนึ่ง → เสนอพิจารณาบอกเลิกสัญญาตามมาตรา 103(2)

 3. มีค่าปรับเกิน 10%

 • ใช้เงื่อนไขตาม ข้อ 2.2.5 ของว124 + ข้อ 183 ของระเบียบ → พิจารณาบอกเลิกได้ แม้งานใกล้เสร็จแล้วก็ตาม



✳️ 5. สัญญาจ้างก่อสร้างข้อ 7(ก) กับข้อ 7(ข) ต่างกันอย่างไร


ข้อ 7(ก): สัญญาที่ต้องเสนอแผนก่อนเริ่มงาน

 • ผู้รับจ้างต้องเสนอแผนการทำงานให้ผู้ว่าจ้างอนุมัติก่อนเริ่มงาน

 • หากไม่เสนอแผน หรือเสนอแล้วไม่เป็นที่พอใจ → บอกเลิกสัญญาได้ทันที

 • หากเสนอแผนแล้ว แต่ดำเนินการไม่เป็นไปตามแผน → ใช้ว124 ข้อ 2.2 ประเมินและเร่งรัดได้

 • แม้จะมีแผนแล้ว แต่หาก ไม่เข้าทำงานตามวันที่ผู้รับจ้างแจ้งเอง → เร่งรัดได้ตาม ว124 ข้อ 2.1.1 และสามารถบอกเลิกได้เช่นกัน


ข้อ 7(ข): สัญญาที่ไม่ต้องมีแผนก่อนเริ่มงาน

 • กำหนดวันเริ่มงานและวันสิ้นสุดไว้ชัดเจนในสัญญา

 • ไม่ต้องเสนอแผน แต่สามารถใช้ ว124 เร่งรัดและประเมินความคืบหน้าตามระยะเวลาในสัญญาได้

 • หากไม่เข้าทำงานตามวันเริ่ม → เร่งรัดตามว124 ข้อ 2.1.1 และบอกเลิกได้

 • หากทำงานล่าช้า → ประเมินความคืบหน้าเทียบกับระยะเวลา และเสนอพิจารณาบอกเลิกได้



✅ สรุปสุดท้าย: ใช้ ว124 อย่างมืออาชีพ

 • ใช้ ว124 ให้ถูกต้อง = สัญญาไม่ล่ม

 • รู้ทันเงื่อนไข = บริหารโครงการได้อย่างมั่นใจ

 • บอกเลิกสัญญาอย่างถูกต้อง = ไม่ถูกตรวจสอบย้อนกลับ


ว124 จึงไม่ใช่แค่ “หนังสือเร่งรัด” แต่คือ “เครื่องมือสำคัญ” ในการบริหารงานก่อสร้างอย่างมืออาชีพ! ✅


~~~~~~~~~~

แชร์ได้ , save ไว้ศึกษาส่วนตัวได้ , ห้ามนำไปโพสซ้ำหรือใช้งานที่อื่นโดยไม่ได้รับอนุญาต สงวนสิทธิ์ตามกฎหมาย

~~~~~~~~~~


✏️✏️✏️✏️✏️

อบรมกับโยธาไทย

 1. อบรมราคากลางและค่า K

https://training.yotathai.com/con-k

 2. อบรมการจัดทำราคากลาง +ว452 +ว124

https://training.yotathai.com/w452

 3. อบรมหลักการควบคุมงาน บริหารสัญญา

https://training.yotathai.com/work

 4. อบรมกฎหมายปกครองกับงานจ้างก่อสร้าง หลักการควบคุมงาน บริหารสัญญา และตรวจรับ

https://training.yotathai.com/law-work

 5. อบรม AI กับงานก่อสร้างและบริหารงานก่อสร้าง

https://training.yotathai.com/ai

 6. อบรมราคากลางงานก่อสร้างและสัญญาจ้างก่อสร้าง

https://training.yotathai.com/contract

 7. อบรม SketchUp BIM + LayOut

https://training.yotathai.com/sketchup

.......... 

อบรมออนไลน์

https://yotathai.link/online-training อบรมออนไลน์

..........

https://yotathai.link/lecturer เชิญวิทยากรบรรยาย

https://yotathai.link/office ติดต่อทีมงานโยธาไทย (Line@)

https://yotathai.link/training สมัครอบรมกับโธาไทย

https://yotathai.link/chat กลุ่มสนทนาใน Line(ฟรี)

https://yotathai.link/news รับข่าวสารผ่าน Line(ฟรี)

https://yotathai.link/club กลุ่มปรึกษาปัญหาใน FB(ฟรี)

https://yotathai.link/fb-gp กลุ่มปรึกษาปัญหาจัดจ้างก่อสร้าง ใน FB (ฟรี)

https://yotathai.link/shop ร้านค้าโยธาไทย

https://yotathai.link/premix ยางมะตอยโยธาพรีมิกซ์

https://yotathai.link/alum สารส้ม-คลอรีน

https://yotathai.link/program โปรแกรมคอมพิวเตอร์

https://yotathai.link/program-k โปรแกรมค่า k

https://yotathai.link/program-factorf โปรแกรม Factor F

https://yotathai.link/program-unitcost โปรแกรมคำนวณวัสดุมวลรวม

https://yotathai.link/program-sketchup โปรแกรม SketchUp

https://roadprice.yotathai.com โปรแกรม ROAD PRICE ประมาณราคางานทาง

https://yotathai.link/rebars เขียนเหล็กเสริมใน SketchUp

https://yotathai.link/k-cal รับคำนวณค่า K

วันพุธที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2568

Mind Magic

ข้อคิดดี ๆ ที่ได้จากหนังสือ
Mind Magic 
1. พลังแห่งจินตนาการสร้างความจริงได้

ในโลกที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน สิ่งหนึ่งที่เราควบคุมได้คือ “ภาพในหัว” ของเราเองเมื่อเราจินตนาการถึงสิ่งที่ต้องการด้วยความตั้งใจ มันคือการเขียนบทให้ชีวิตเราความฝันจะไม่ใช่แค่ฝันอีกต่อไป หากเราให้มันกลายเป็นพิมพ์เขียวของความเป็นจริง

2. หัวใจที่เปิดกว้าง คือประตูสู่ปาฏิหาริย์

ชีวิตที่เร่งรีบทำให้เราลืมฟังเสียงของความรู้สึก แต่หัวใจของเรามีพลังมากกว่าที่คิด — มันคือแหล่งของความเห็นอกเห็นใจ ความเชื่อมโยง และพลังแห่งการเยียวยาเมื่อเราเปิดหัวใจให้ตัวเองและผู้อื่น ปาฏิหาริย์ในชีวิตจะเริ่มเกิดขึ้นอย่างเงียบงาม

3. ความตั้งใจคือเวทมนตร์ที่ทรงพลังที่สุด

โลกอาจไม่เป็นไปตามที่หวังเสมอ แต่เมื่อเรามีเจตนาแน่วแน่และตั้งใจจริง พลังนั้นจะส่งผลกระทบเกินกว่าที่เราคาด ความตั้งใจที่มาพร้อมกับจินตนาการและความเชื่อมั่น สามารถเปลี่ยนทิศทางของชีวิตได้ มันไม่ใช่เรื่องเหนือธรรมชาติ แต่มันคือวิทยาศาสตร์แห่งใจ

4. สมองของเราถูกออกแบบให้เปลี่ยนแปลงได้เสมอ

เราไม่ใช่เหยื่อของอดีต ไม่ว่าจะเคยเจ็บปวดหรือผิดพลาดแค่ไหน “Neuroplasticity” หรือความสามารถของสมองในการเปลี่ยนแปลง คือของขวัญจากธรรมชาติทุกการฝึกใจใหม่คือการปูทางให้ชีวิตเดินไปในเส้นทางที่เราสร้างเอง

5. ความเห็นอกเห็นใจคือพลังที่โลกต้องการ

ในยุคที่เทคโนโลยีก้าวล้ำ จิตใจของผู้คนกลับยิ่งห่างไกลกันความเมตตาและการแบ่งปันไม่ใช่แค่สิ่งดีงาม แต่คือสิ่งจำเป็นเมื่อเราเข้าใจว่าทุกคนต่างมีบาดแผล เราจะเลือกเชื่อมโยงมากกว่าตัดสิน

6. เราทุกคนมีพลังเปลี่ยนชีวิตตัวเอง

ไม่ว่าเราจะเกิดมาในสภาพแวดล้อมแบบไหน ชีวิตไม่ได้ถูกกำหนดไว้ล่วงหน้า เมื่อเราเข้าใจพลังในใจตัวเอง และกล้าที่จะใช้มันอย่างตั้งใจ เราก็สามารถเขียนเรื่องราวชีวิตใหม่ได้เสมอ ในแบบที่เราเลือกเอง

สั่งซื้อเล่มนี้ได้ที่
https://s.lazada.co.th/s.vVPa5?cc

กฎหนึ่งก้าว


ระหว่างวิ่งออกกำลังกายรอบหมู่บ้าน ผมได้ย้อนระลึกถึงหลายเรื่องราวที่เกี่ยวกับ "หนึ่งก้าว"

เลยขอใส่คำว่า "กฎ" ไว้ข้างหน้า เพราะน่าจะทำให้ติดหูติดตาและจดจำได้ง่าย

โดยกฎหนึ่งก้าวนั้นแตกออกมาเป็นสามข้อดังนี้:-

One step ahead. One step faster. One step further.

-----

1. คิดล่วงหน้าหนึ่งก้าว - One step ahead

ผมทำงานอยู่ในทีม People ของบริษัทเทคที่ทุกอย่างต้องคิดไวทำไว

เมื่อปี 2023 ผมเคยบอก "ธีม" ของทีม People ไว้ว่าให้คิด One step ahead คือจะทำอะไร ให้คิดล่วงหน้าหนึ่งก้าว

ถ้าเราคิดล่วงหน้าหนึ่งก้าว เราจะพอเดาใจหัวหน้าเราได้ และทำในสิ่งที่ควรทำก่อนที่หัวหน้าจะเอ่ยปากถาม

ถ้าเราคิดล่วงหน้าหนึ่งก้าว เวลาเราจะประกาศอะไร เราจะคิดเผื่อไปก่อนเลยว่าพนักงานจะมีคำถามอะไรบ้าง แล้วตอบคำถามเหล่านั้นรอไว้เลยใน FAQ

ถ้าเราคิดล่วงหน้าหนึ่งก้าว เราจะรู้ทิศทางลมว่าอะไรกำลังจะเกิดขึ้นต่อไป และเตรียมใจสำหรับสถานการณ์นั้น

การคิดล่วงหน้าหนึ่งก้าวจะช่วยให้เราเตรียมตัวได้ดี ซึ่งผมเชื่อว่าทุก 1 นาทีที่เราใช้ไปกับการเตรียมตัวจะประหยัดเวลาอย่างน้อย 2 นาทีหลังจากเราเริ่มลงมือทำ

-----

2. เร็วกว่าหนึ่งก้าว - One step faster

“พี่เล้ง MFEC” หรือคุณศิริวัฒน์ วงศ์จารุกร เคยกล่าวไว้ว่า

นักฟุตบอลระดับโลก แท้จริงเขาวิ่งถึงบอลก่อนคนอื่นแค่ครึ่งก้าว

ซึ่งครึ่งก้าวนั้นก็เพียงพอแล้ว หากมันช่วยให้เราแตะบอลก่อนและยิงประตูได้ ไม่จำเป็นต้องทำอะไรเพื่อให้ถึงบอลก่อนคนอื่น 5 ก้าว

การทำธุรกิจก็เช่นกัน เราไม่จำเป็นต้องชนะคู่แข่งแบบขาดลอย เราชนะเขาแค่นิดเดียวก็สามารถได้โปรเจ็กต์มาอยู่ในมือแล้วเช่นกัน

หากทุ่มกำลังมากเกินไป ต้องการจะเอาชนะคู่แข่ง 5 ก้าวตลอด นั่นหมายถึงแรงและเวลาที่ต้องใช้อย่างมหาศาล ซึ่งอาจจะทำให้ทีมงานเหน็ดเหนื่อยเกินไป และเสียโอกาสที่จะแบ่งกำลังไปแข่งในเกมอื่นๆ

-----

3. ไปไกลกว่าหนึ่งก้าว - One step further

พี่โจ้ ธนา เธียรอัจฉริยะ เคยเขียนไว้ในหนังสือ "วิถีคนปานกลาง" โดยบทแรกมีชื่อว่า "คนระดับปานกลางจะโดดเด่นได้อย่างไร"

หนึ่งในคำแนะนำของพี่โจ้ก็คือให้ฝึก "วิชาทำเกิน" 

มันคือการทำให้เกินกว่าที่คนอื่นคาดหวัง

เช่นลูกค้าขอให้ส่งงานวันศุกร์ แต่เราส่งตั้งแต่วันพฤหัสฯ

หรือเวลาทำงานส่งหัวหน้า งานของเรามีข้อมูลละเอียดครบถ้วนและไม่มีข้อผิดพลาด จนหัวหน้าไม่มีอะไรให้ต้องปรับแก้

เจ้านายหรือลูกค้าจะมี "ภาพจำ" ก็ต่อเมื่อเขาได้รับในสิ่งที่เกินความคาดหวัง หรือต่ำกว่าความคาดหวัง ถ้าได้เท่าที่คาด เขาจะไม่จำ

ที่สำคัญ เราไม่ต้องทำเกินเยอะ แค่ทำเกินกว่าค่ามาตรฐานที่คนอื่นคุ้นชิน ก็เพียงพอที่จะสร้างความประทับใจ

เมื่อเราไปไกลกว่าหนึ่งก้าว และทำงานได้เกินความคาดหวังอยู่บ่อยๆ เราก็จะมีภาพจำที่ดีเยี่ยม ซึ่งจะเป็นใบเบิกทางให้กับโอกาสอื่นๆ ที่จะมาถึงในอนาคต

-----

ถ้าเราคิดล่วงหน้าหนึ่งก้าว เราจะเตรียมตัวได้ดี และออกตัวได้เร็วกว่า

ถ้าเราถึงบอลก่อนหนึ่งก้าว (และไม่จำเป็นต้องถึงก่อน 5 ก้าว) เราจะได้บอลนั้นไปครองเพื่อทำเกมหรือยิงประตู

แต่ถ้าเราเป็นคนคิดไม่เก่ง และวิ่งไม่เร็ว เราก็ต้องขยันกว่าคนอื่น วิ่งให้ไกลกว่าคนอื่นหนึ่งก้าว เพื่อสร้างผลงานที่เกินความคาดหวัง

One step ahead.

One step faster.

One step further.

ทำได้เพียงหนึ่งในสามข้อ ก็เพียงพอที่จะช่วยให้การทำงานดีขึ้นอย่างชัดเจน

แต่ถ้าทำได้ครบทั้งสามข้อ สิ่งดีๆ ก็น่าจะรอเราอยู่อย่างแน่นอนครับ

-----

พบกับหนังสือเล่มใหม่ของผม "คำถามร้อยบาท กับคำถามล้านบาท" ได้ที่บู๊ธ KOOB งานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติ 27 มีนาคม - 7 เมษายน ที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่เพจ Roundfinger ครับ

วิธีเล่า Storytelling แบบ SCQA ไว้ใช้ Pitch งาน ขายของให้คนอยากซื้อ - MarketThink




การเล่าเรื่องราว หรือ Storytelling ถือว่าเป็นหนึ่งในองค์ประกอบสำคัญ สำหรับการทำงานด้านการตลาด และการสร้างแบรนด์


เพราะไม่ว่าจะทำการตลาดเพื่อขายสินค้า สร้างแบรนด์ให้ติดตลาด หรือ Pitching นำเสนองานให้กับลูกค้า ต่างก็ต้องอาศัยการเล่าเรื่องที่ดี มีความน่าสนใจ และมีเหตุผลโน้มน้าวให้คนอื่น ๆ คล้อยตามได้ แทบทั้งสิ้น


แล้วถ้าถามว่า เราจะมีวิธีในการเล่าเรื่องราวอย่างไรให้น่าสนใจ แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องมีความเป็นเหตุเป็นผลมากพอที่จะโน้มน้าวคนอื่น ๆ ให้คล้อยตามได้


จริง ๆ แล้ว เรื่องนี้มีเฟรมเวิร์กหนึ่ง ที่พัฒนาขึ้นมาสำหรับการเล่าเรื่องราวโดยเฉพาะ 

เฟรมเวิร์กนั้นมีชื่อว่า “SCQA Storytelling Framework”


- SCQA Storytelling Framework คือเฟรมเวิร์กที่ใช้ในการเล่าเรื่องราวอย่างมีประสิทธิภาพ เป็นขั้นเป็นตอน มีความเชื่อมโยง เป็นเหตุเป็นผล และเข้าใจได้ง่าย


โดย SCQA Storytelling Framework จะมีวิธีในการเล่าเรื่องราวออกเป็น 4 ขั้นตอน ตามอักษรย่อ S, C, Q และ A


1. S: Situation ปูพื้นฐาน เล่าสถานการณ์ ให้เข้าใจตรงกัน


เป็นขั้นตอนแรกของการเล่าเรื่องราว ควรเริ่มจากการปูพื้นฐานเพื่อให้ผู้ที่เราต้องการสื่อสารด้วย เกิดความเข้าใจในสถานการณ์ บริบท หรือสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นจริงในปัจจุบันก่อน


ที่สำคัญคือ ในขั้นตอนนี้จะได้ผลดีหากเราทำการบ้านมาก่อน ว่าผู้ที่เราต้องการสื่อสารด้วยเป็นใคร ชอบการเล่าเรื่องราวแบบไหน สนใจเรื่องใดเป็นพิเศษ


เพราะหากเราหยิบเอาสถานการณ์ที่เหมาะสมกับผู้ที่เราต้องการสื่อสารด้วย ก็จะเกิดเป็น “ความอิน” ไปกับเรื่องราวที่เรากำลังจะเล่า 

และสร้างความรู้สึกเชื่อมโยง รู้สึกถึงความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับเรื่องราวที่เรากำลังจะเล่า ได้ง่ายยิ่งขึ้นไปอีกขั้น


แม้จะเป็นเรื่องราวที่ใคร ๆ ก็รู้อยู่แล้ว แต่ก็ใช้เป็นการเปิดเรื่องที่น่าสนใจได้


2. C: Complication ชี้ให้เห็นชัด ๆ ว่าปัญหาอยู่ตรงไหน


ในขั้นตอนที่ 2 หลังจากที่กลุ่มเป้าหมายรู้ถึงสถานการณ์ หรือสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในปัจจุบันแล้ว ก็ได้เวลาขยี้ต่อ ด้วยการเล่าถึง “ปัญหา” ที่กำลังเกิดขึ้น จากสถานการณ์ในปัจจุบัน หรือสิ่งที่จำเป็นต้องได้รับการแก้ไข


แม้ว่าในขั้นตอนแรก จะเป็นการเล่าถึงสถานการณ์ที่ใคร ๆ ก็รู้อยู่แล้ว แต่ในขั้นตอนนี้จะเป็นการชี้ให้เห็นแบบชัด ๆ ไปเลยว่า จากสถานการณ์นั้น มีอะไรที่เป็นปัญหา มีอะไรที่น่ากังวล หรือมีอะไรที่ต้องเปลี่ยนแปลง


เป็นการสร้างความเชื่อมโยงระหว่างเรากับกลุ่มเป้าหมาย ให้กลุ่มเป้าหมายรู้สึกสนใจ ฉุกคิด หรือต้องการทำอะไรบางอย่างกับเรื่องนี้


3. Q: Question หรือการตั้งคำถาม ชวนให้สงสัย


หลังจากที่กลุ่มเป้าหมายที่เราสื่อสารด้วยรู้แล้วว่าปัญหาที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ในขณะนี้คืออะไร 


ขั้นตอนต่อไปของการเล่าเรื่องราวที่ดี คือการพยายามทำให้กลุ่มเป้าหมายที่เราสื่อสารด้วย เกิดการตั้งคำถามกับตัวเอง หรือเกิดความรู้สึกอยากรู้ว่า จะมีวิธีในการแก้ไขปัญหาที่กำลังเกิดขึ้นได้อย่างไรบ้าง


หรือจะเป็นการเล่าเรื่องราวโดยการถามตรง ๆ กับกลุ่มเป้าหมายที่เราสื่อสารด้วยเลยก็ได้ว่า เราจะแก้ปัญหาที่กำลังเกิดขึ้นได้อย่างไร


4. A: Answer หรือการให้คำตอบ กับสิ่งที่สงสัย


เป็นขั้นตอนสุดท้ายของการเล่าเรื่องราว ในขั้นตอนนี้เป็นเหมือนการคลายปมทุกอย่างที่เราปูมา ด้วยการให้คำตอบ บอกวิธีแก้ไขปัญหา หรือเฉลยความจริงให้กับสิ่งที่กลุ่มเป้าหมายที่เราสื่อสารด้วยมีความสงสัย


ถ้าให้เปรียบเทียบเป็นหนังสือเล่มหนึ่ง การเล่าเรื่องในขั้นตอนนี้คงเป็นบทสุดท้ายของหนังสือ ที่เฉลยปมทุกอย่าง ก่อนที่จะปิดจบเรื่องราวได้อย่างน่าสนใจ


ทีนี้ เราลองมาดูตัวอย่างของการเล่าเรื่องตาม SCQA Storytelling Framework กันดีกว่า


สมมติสถานการณ์ว่า เราเป็นเจ้าของเว็บไซต์ ที่รวบรวมความรู้ด้านการตลาด สำหรับคนที่สนใจ ให้สามารถหาความรู้ด้านการตลาดที่มีคุณภาพ แบบง่าย ๆ ในที่เดียว


หากเราลองเล่าเรื่องราวตาม SCQA Storytelling Framework จะได้แบบนี้


1. S: Situation


ในปัจจุบัน ความรู้ต่าง ๆ สามารถหาได้ง่ายทั่วอินเทอร์เน็ต โดยเฉพาะในแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย ที่มักมีคนที่ชอบแบ่งปันความรู้ สาระดี ๆ ในเรื่องต่าง ๆ 


โดยเฉพาะเรื่องการตลาด และเทรนด์ของผู้บริโภค เป็นโอกาสสำหรับคนที่ต้องการหาความรู้ หรือไอเดียใหม่ ๆ ด้านการตลาดด้วยตัวเอง


2. C: Complication


แต่ปัญหาอย่างหนึ่งคือ ความรู้ด้านการตลาดที่มีอยู่ในโลกอินเทอร์เน็ต มีทั้งถูกและผิด 

หลายครั้งต้องอาศัยการหาข้อมูลต่อ หลายครั้งข้อมูลนั้นก็กระจัดกระจาย ไม่ได้รวมอยู่ในแหล่งเดียวกัน ให้ค้นหาได้แบบง่าย ๆ 


3. Q: Question


แล้วเราจะแก้ไขปัญหานี้ได้อย่างไร ? จะดีกว่าหรือไม่หากมีเว็บไซต์ที่รวบรวมความรู้ทางด้านการตลาดไว้ในที่เดียว ?


4. A: Answer


เว็บไซต์ของเรารวมความรู้ด้านการตลาดกว่า 1,000 เรื่อง ไว้ในที่เดียว ทำให้ใคร ๆ ก็สามารถเข้าถึงความรู้ด้านการตลาดที่มีคุณภาพ ต่อยอดไอเดีย ทำการตลาดได้ถูกใจผู้บริโภค ได้แบบฟรี ๆ ทุกที่ ทุกเวลา 


ซึ่งหากเราลองมาสังเกตกันดี ๆ จะพบว่า SCQA Storytelling Framework นั้น จะมีการเล่าเรื่องที่เป็นขั้นเป็นตอน ไล่ระดับเรื่องราวได้อย่างชัดเจน 


ตั้งแต่การปูพื้นฐานด้วยสถานการณ์จริงที่กำลังเกิดขึ้น โหมโรงให้รู้สึกตื่นเต้นด้วยการชี้ให้เห็นถึงปัญหา กระตุ้นให้อยากรู้วิธีการแก้ไข และปิดจบด้วยการคลายปม เฉลยวิธีการแก้ไขปัญหาเป็นการปิดท้าย


ซึ่งเราสามารถนำ SCQA Storytelling Framework มาใช้ได้ ทั้งการ Pitch งานด้านการตลาดให้กับผู้บริหาร หรือลูกค้า ให้ซื้อไอเดียการตลาดที่เรานำเสนอ 


หรือจะใช้ในการเล่าเรื่องราวให้กับกลุ่มเป้าหมาย เพื่อสร้างความรู้สึกอยากได้สินค้าก็ได้ 


หรือจะใช้กับการทำรายงาน หรือการนำเสนอข้อมูลต่าง ๆ ที่มีความซับซ้อน ให้เข้าใจได้ง่ายยิ่งขึ้น ก็ทำได้เช่นกัน


อ้างอิง :

-https://blog.skooldio.com/scqa-framework-for-data-storytelling/

-https://www.indeed.com/career-advice/career-development/scqa

-https://analytic-storytelling.com/scqa-what-is-it-how-does-it-work-and-how-can-it-help-me/

-https://corporatefinanceinstitute.com/resources/career/scqa/

-https://antonov.com.au/scqa-framework

การใช้ IIoT (Industrial Internet of Things) Home Assistant (HA) ในงานอุตสาหกรรม เพื่อทำงานเป็น ฟรี

 การใช้ IIoT (Industrial Internet of Things) Home Assistant (HA) ในงานอุตสาหกรรม เพื่อทำงานเป็น ฟรี SCADA สามารถช่วยลดต้นทุนและเพิ่มความสามารถในการควบคุมและตรวจสอบระบบอุตสาหกรรมได้ โดยใช้ซอฟต์แวร์โอเพ่นซอร์สแทนระบบ SCADA ที่มีค่าใช้จ่ายสูง



1. แนวคิดของ IIoT + Home Assistant แทน SCADA

SCADA (Supervisory Control and Data Acquisition) เป็นระบบที่ใช้ในอุตสาหกรรมเพื่อควบคุมและตรวจสอบอุปกรณ์ เช่น PLC (Programmable Logic Controller), เซ็นเซอร์, และอุปกรณ์อื่น ๆ ผ่านเครือข่าย โดยปกติ SCADA มีค่าใช้จ่ายสูง แต่สามารถใช้ IIoT + Home Assistant (HA) เป็นทางเลือกฟรีแทนได้

IIoT (Industrial IoT): ใช้เซ็นเซอร์และอุปกรณ์ที่รองรับ MQTT, Modbus, OPC UA เป็นต้น

Home Assistant (HA): ซอฟต์แวร์โอเพ่นซอร์สสำหรับระบบอัตโนมัติที่รองรับการเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ IIoT ได้




2. การเชื่อมต่อ IIoT กับ Home Assistant

(1) ใช้ MQTT สำหรับเชื่อมต่อเซ็นเซอร์และ PLC

Home Assistant รองรับ MQTT (Message Queuing Telemetry Transport) ซึ่งเป็นโปรโตคอลที่นิยมใช้ใน IIoT

ใช้ MQTT Broker เช่น Mosquitto ใน Home Assistant เพื่อรับส่งข้อมูลระหว่างเซ็นเซอร์/PLC

PLC ที่รองรับ MQTT (หรือใช้ Gateway แปลง Modbus/OPC UA -> MQTT)

(2) ใช้ Modbus TCP/RTU เชื่อมต่ออุปกรณ์อุตสาหกรรม

หากอุปกรณ์อุตสาหกรรมใช้ Modbus สามารถใช้ Modbus Integration ใน HA

เชื่อมต่อ Modbus RTU (RS-485) หรือ Modbus TCP (Ethernet)

อ่านค่าเซ็นเซอร์ เช่น อุณหภูมิ, ความดัน, กระแสไฟฟ้า, ค่าการผลิต

ใช้ Node-RED หรือ Python Script เพื่อประมวลผลข้อมูล

(3) ใช้ OPC UA สำหรับเชื่อมต่อระบบ SCADA/PLC

OPC UA เป็นโปรโตคอลมาตรฐานที่ใช้ใน SCADA และ IIoT

ใช้ OPC UA Client ใน HA เพื่ออ่านค่าจาก PLC เช่น Siemens, Allen-Bradley

ใช้ Node-RED หรือ Home Assistant Custom Component เชื่อมต่อ OPC UA

วันอาทิตย์ที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2568

18 สัญญาณที่คุณกำลังมีชีวิตที่ดี


.

1. คุณรู้สึกขอบคุณทุกวัน

หลายคนอาจจะคิดว่า “ชีวิตก็ไม่ได้สมบูรณ์แบบ” แต่ถ้าคุณเริ่มต้นวันด้วยการขอบคุณสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ อย่างการตื่นขึ้นมาในตอนเช้า หรือการมีคนที่รักคุณอยู่ข้าง ๆ คุณก็เริ่มมีชีวิตที่ดีแล้ว


2. คุณรู้สึกสบายใจในที่ที่คุณอยู่

บ้าน หรือที่ที่คุณใช้ชีวิต ทุกอย่างมันดูเหมาะสมและทำให้คุณรู้สึกว่า “ที่นี่แหละคือที่ของฉัน”


3. คุณมีเวลาทำสิ่งที่รัก

เช่นการอ่านหนังสือ ดูหนัง หรือแม้แต่การออกกำลังกาย ถ้าคุณยังมีเวลาในการทำสิ่งที่ทำให้คุณมีความสุข นั่นแปลว่าคุณกำลังมีชีวิตที่ดี


4. คุณมองโลกในแง่บวก

ถึงแม้ชีวิตจะไม่สมบูรณ์แบบ แต่ถ้าคุณสามารถมองเห็นความดีในทุกสิ่งที่เกิดขึ้น ก็แสดงว่าคุณมีทัศนคติที่ดี และชีวิตคุณก็มีความสุขขึ้น


5. คุณรู้จักที่จะปล่อยวาง

ไม่ยึดติดกับสิ่งที่ผ่านมา หรือสิ่งที่ทำให้เราหมดพลัง ถ้าคุณสามารถปล่อยวางและเดินต่อไปได้ นั่นแปลว่าคุณกำลังก้าวไปข้างหน้าในชีวิต


6. คุณรู้จักการให้และการรับ

การให้โดยไม่หวังผลตอบแทนและการรับสิ่งดี ๆ อย่างเปิดใจ นี่แหละคือหนึ่งในสัญญาณที่บ่งบอกว่า คุณกำลังก้าวไปในทางที่ดีในชีวิต


7. คุณมีความสัมพันธ์ที่ดี

ไม่ว่าจะเป็นเพื่อน ครอบครัว หรือคู่ชีวิต การมีคนที่เข้าใจและอยู่เคียงข้างเรา เป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้ชีวิตเรามีความหมาย


8. คุณสามารถเผชิญกับอุปสรรคได้อย่างมีสติ

เมื่อเจอปัญหาหรือความยากลำบาก คุณไม่หมกมุ่นกับความเครียด แต่สามารถรับมือกับมันได้อย่างมีสติและหาทางออก


9. คุณรู้สึกได้ว่า “ฉันกำลังเติบโต”

ถ้าคุณเห็นการพัฒนาในตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของความคิด ทักษะ หรือการทำงาน นี่คือสัญญาณที่บ่งบอกว่า คุณกำลังก้าวหน้าในชีวิต


10. คุณไม่เปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่น

การเลิกเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่นจะช่วยให้คุณรู้สึกพอใจในสิ่งที่มีและรู้สึกดีกับชีวิตตัวเอง


11. คุณรู้จักการพักผ่อน

ชีวิตที่ดีไม่ใช่การทำงานหนักตลอดเวลา แต่ต้องรู้จักการพักผ่อนและให้เวลากับตัวเองบ้าง


12. คุณมีเป้าหมายในชีวิต

ถึงแม้จะเป็นเป้าหมายเล็ก ๆ เช่น การเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ หรือการออกกำลังกายบ่อย ๆ การมีเป้าหมายทำให้ชีวิตมีทิศทางและความหมาย


13. คุณสามารถพูดคำว่า “ไม่” ได้

การรู้จักพูด “ไม่” เมื่อไม่ต้องการทำอะไรที่ไม่เหมาะสม หรือไม่อยากทำ เป็นสัญญาณของความมั่นคงในตัวเอง


14. คุณได้เรียนรู้จากความผิดพลาด

ทุกคนล้วนมีความผิดพลาด แต่ถ้าคุณสามารถเรียนรู้และเติบโตจากมันได้ นั่นแหละคือสิ่งที่สำคัญ


15. คุณรู้จักสนุกกับชีวิต

การไม่เครียดมากเกินไป การออกไปท่องเที่ยวกับเพื่อนหรือทำกิจกรรมที่ชอบ ทำให้คุณได้สนุกกับชีวิตทุกวัน


16. คุณให้ความสำคัญกับสุขภาพจิต

รู้จักหาวิธีทำให้จิตใจสงบ เช่น การทำสมาธิ หรือการพูดคุยกับคนที่เข้าใจ สิ่งเหล่านี้ทำให้คุณรักษาสมดุลในชีวิต


17. คุณรู้สึกเต็มใจที่จะช่วยเหลือผู้อื่น

การที่คุณให้ความสำคัญกับการช่วยเหลือคนอื่นโดยไม่หวังผลตอบแทน คือหนึ่งในสัญญาณที่บ่งบอกว่าคุณมีชีวิตที่ดี


18. คุณรู้สึกพอใจกับตัวเอง

การที่คุณสามารถยิ้มได้ทุกครั้งที่มองกระจกและรู้สึกพอใจกับตัวเอง นั่นคือสัญญาณที่บอกว่าคุณมีชีวิตที่ดีแล้ว


__________


หนังสือแนะนำ  ฉันจะมีชีวิตที่ดี

#ฉันจะมีชีวิตที่ดี

#จิตวิทยาพัฒนาตนเอง

#TOP1

18ข้อ “สงบศึกกับจิตใจ”


.
1. รู้จักรับรู้และยอมรับอารมณ์ตัวเอง
บางครั้งเราอาจจะรู้สึกเครียดหรือโกรธ แต่การยอมรับว่าเรารู้สึกแบบนั้นจะช่วยให้เราไม่ต่อสู้กับอารมณ์ของตัวเอง เวลาเรารู้สึกหงุดหงิดที่งานเยอะเกินไป ฉันจะหยุดสักครู่แล้วหายใจลึกๆ เพื่อให้ใจสงบก่อนที่จะทำต่อ

2. หายใจลึกๆ เพื่อผ่อนคลาย
บางครั้งการหายใจลึกๆ สามารถช่วยให้จิตใจเราสงบลงได้เร็วมาก ฉันเคยเจอสถานการณ์ที่รู้สึกว่าใจว้าวุ่นมากๆ แต่พอหายใจลึกๆ และปล่อยลมหายใจออกช้าๆ ทุกอย่างก็รู้สึกดีขึ้น

3. มองปัญหาจากมุมมองที่ต่างออกไป
เวลาเจอปัญหาอย่าเพิ่งวิตกกังวลเกินไป ลองมองมันจากมุมมองที่แตกต่าง บางครั้งสิ่งที่เราเห็นว่าเป็นปัญหาใหญ่ แท้จริงแล้วอาจจะเป็นบทเรียนที่ทำให้เราโตขึ้นอย่างที่เคยเกิดกับฉันตอนทำโปรเจกต์ใหญ่ๆ

4. ปล่อยวางสิ่งที่ไม่สามารถควบคุมได้
บางครั้งเราก็ต้องยอมรับว่าไม่ทุกอย่างในชีวิตสามารถควบคุมได้ เช่น เวลาที่ฝนตกตอนที่เรามีแผนจะไปเที่ยว การยอมรับว่ามันไม่ใช่สิ่งที่เราควบคุมได้ จะช่วยให้เราสงบใจได้มากขึ้น

5. ตั้งใจในสิ่งที่ทำอยู่
การอยู่กับปัจจุบันจะช่วยให้เราไม่จมอยู่กับความคิดมากเกินไป เช่น เมื่อเรากำลังทำการบ้านหรืองาน ควรตั้งใจทำมันให้เต็มที่ โดยไม่ต้องคิดถึงสิ่งที่ยังไม่ได้ทำหรือเรื่องอื่นๆ

6. ใส่ใจในสิ่งเล็กๆ ที่ทำให้เรามีความสุข
การให้ความสำคัญกับสิ่งเล็กๆ เช่น การดื่มกาแฟร้อนๆ ในตอนเช้า หรือการเดินเล่นในสวนหลังจากเลิกงาน จะช่วยเติมเต็มจิตใจและทำให้เราได้พักจากความวุ่นวาย

7. ไม่คิดมากเกินไป
ความคิดที่หมุนวนในหัวบ่อยๆ อาจทำให้เรารู้สึกกังวลเกินไป ฉันเคยเป็นคนที่คิดมากเกี่ยวกับเรื่องเล็กน้อย แต่หลังจากฝึกให้หยุดคิดแล้ว เราก็รู้สึกว่ามันช่วยให้จิตใจเบาขึ้นเยอะ

8. ใช้เวลาอยู่กับตัวเอง
บางครั้งเราต้องการเวลาส่วนตัวเพื่อเติมพลัง เช่น การอ่านหนังสือ หรือฟังเพลงโปรด เวลานั้นจะทำให้เรารู้สึกเชื่อมต่อกับตัวเองและสงบขึ้น

9. ทำสมาธิหรือฝึกการนั่งเงียบๆ
การนั่งสมาธิเป็นวิธีที่ดีในการสงบจิตใจ ทุกครั้งที่ฉันนั่งเงียบๆ ฟังเสียงธรรมชาติหรือสวดมนต์ จะรู้สึกว่าจิตใจได้พักผ่อนจากความคิดที่ซับซ้อน

10. ยิ้มให้กับตัวเองในทุกๆ วัน
การยิ้มให้ตัวเองไม่เพียงแค่ทำให้เราได้รู้สึกดีขึ้น แต่ยังช่วยให้เรามีทัศนคติเชิงบวกมากขึ้น ฉันมักจะยิ้มให้กับตัวเองทุกเช้าเป็นการเริ่มต้นวันใหม่ที่สดใส

11. อย่าลืมการพักผ่อน
การทำงานหรือเรียนหนักเกินไปอาจทำให้เราเครียดได้ บางครั้งการหยุดพักแค่สักครู่ เพื่อหายใจหรือดื่มน้ำ จะทำให้เราได้รับพลังใหม่ในการทำงานต่อ

12. ยอมรับความไม่สมบูรณ์แบบ
ไม่มีใครสมบูรณ์แบบ และการยอมรับในจุดนี้จะช่วยให้เรามีความสุขมากขึ้น เมื่อก่อนฉันพยายามทำทุกอย่างให้สมบูรณ์แบบ จนรู้สึกเครียด แต่เมื่อยอมรับว่าไม่ทุกอย่างต้องเพอร์เฟ็กต์ ก็ทำให้ชีวิตผ่อนคลายมากขึ้น

13. หากิจกรรมที่ช่วยให้ใจสงบ
การทำกิจกรรมที่ชอบ เช่น การวาดรูป หรือการปลูกต้นไม้ จะช่วยให้เราได้พักจากความคิดและรู้สึกสงบลงได้

14. บอกรักตัวเองบ้าง
การให้กำลังใจตัวเองเป็นสิ่งที่สำคัญมากๆ เช่น เมื่อเราทำอะไรสำเร็จเล็กๆ น้อยๆ ควรจะชื่นชมตัวเองเพื่อให้กำลังใจในการทำต่อไป

15. ฟังเสียงธรรมชาติหรือเสียงเพลงที่ทำให้ใจสงบ
เมื่อรู้สึกจิตใจไม่สงบ การฟังเสียงฝนตกหรือเสียงคลื่นซัดชายหาดจะช่วยให้เราผ่อนคลายได้

16. ไม่ทำให้ตัวเองอยู่ในสถานการณ์ที่เครียดเกินไป
หากรู้ว่ามีบางสถานการณ์ที่จะทำให้เรารู้สึกเครียดมากเกินไป เราก็ควรหลีกเลี่ยงหรือหาวิธีจัดการให้มันดีกว่า

17. สร้างขอบเขตที่ดีให้กับตัวเอง
การรู้จักขีดเส้นแบ่งในเรื่องของเวลาและการทำงานจะช่วยให้เราไม่รู้สึกท่วมท้นเกินไป เช่น ฉันมักจะตั้งเวลาพักในแต่ละวันเพื่อไม่ให้ตัวเองทำงานหนักเกินไป

18. แสดงความขอบคุณต่อสิ่งที่ดีในชีวิต
การขอบคุณสำหรับสิ่งที่ดีในชีวิตจะทำให้เรามองโลกในแง่บวกมากขึ้น ทุกวันฉันจะนั่งคิดถึงสิ่งที่ทำให้เรารู้สึกดี แล้วขอบคุณมัน
ที่มา
หนังสือฉันตกลงสงบศึกกับจิตใจ

#ฉันตกลงสงบศึกกับจิตใจ
#จิตใจสงบ
#TOP1

วันเสาร์ที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2568

ความเร็วแสง ทำไมแพ้แรงโน้มถ่วง?



หรือว่าแสงไม่ใช่ที่สุดของจักรวาล?

ถ้าถามว่าอะไรเร็วที่สุดในจักรวาล? 90% ของคนคงตอบ "แสง" เพราะมันวิ่งที่ 299,792,458 เมตรต่อวินาที หรือเกือบ 300,000 กิโลเมตรต่อวินาที ซึ่งโคตรไว แบบที่ถ้าปล่อยแสงจากโลก มันจะชนดวงจันทร์ในเวลาแค่ 1.3 วินาที

แต่เดี๋ยวก่อน… ถ้าแสงมันเทพขนาดนั้น แล้วทำไมมันถึง "แพ้" แรงโน้มถ่วง? ทำไมหลุมดำถึงสามารถขังแสงไว้ได้? หรือจริง ๆ แล้วจักรวาลมีของแรงกว่าที่เราคิด?

 สปอยล์ก่อนเข้าเรื่อง: แสงไม่ได้แพ้ แต่มันหนีไม่พ้น!

อย่าเพิ่งเข้าใจผิดว่าแรงโน้มถ่วง "ทำให้แสงช้าลง" เพราะจริง ๆ แล้ว แสงไม่เคยเปลี่ยนความเร็ว (ในกรอบอ้างอิงเฉพาะของมันเอง) แต่หลุมดำมันใช้ ทริค บางอย่างที่ทำให้แสง "ไปไม่ถึงที่หมาย"

ลองมาดูแบบทีละขั้น จะได้เข้าใจว่าแสงโดนเล่นงานยังไง

 1. แสงโคตรไว แต่ไม่มีมวล = โดนหลุมดำหลอกได้

แสงเป็น คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า มันไม่มีมวล ดังนั้น ตามหลักของไอแซก นิวตัน แรงโน้มถ่วงไม่ควรจะมีผลกับมันเลย

แต่!!! โลกเราใช้ฟิสิกส์นิวตันไม่ได้แล้ว เพราะอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ ดันมาพลิกเกมด้วยทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไป ที่บอกว่า...

 "แรงโน้มถ่วงไม่ใช่แค่แรงดึง แต่มันคือการบิดงอของกาลอวกาศ"

ลองนึกภาพจักรวาลเป็นผ้าปูโต๊ะ แรงโน้มถ่วงก็เหมือนการเอาลูกโบว์ลิ่งไปวางบนผ้านั้น ทำให้ทุกอย่างรอบ ๆ มันต้องไหลเข้าหากัน

แสงไม่ได้มีมวลก็จริง แต่เส้นทางของมันต้องวิ่งผ่านกาลอวกาศที่ถูก "กดทับ" ดังนั้น มันจึงโดนหลุมดำ "บังคับทิศทาง" ได้

2. หลุมดำคือกับดักสุดโหด

ทีนี้ ถ้าแรงโน้มถ่วงเบา ๆ แบบของโลกหรือดวงอาทิตย์ แสงแค่ "โค้ง" นิดหน่อย แต่ถ้าเป็นหลุมดำ นั่นคืออีกเรื่อง

หลุมดำเป็นจุดที่แรงโน้มถ่วงเยอะขนาดที่แม้แต่แสงก็ออกมาไม่ได้ เพราะมันสร้างสิ่งที่เรียกว่า ขอบฟ้าเหตุการณ์ (Event Horizon)

ขอบฟ้าเหตุการณ์ = เส้นที่ถ้าข้ามไปแล้ว ไม่มีอะไรออกมาได้ ไม่ว่าจะเร็วแค่ไหน

ลองนึกภาพว่าคุณอยู่บนพื้นโลก แล้วจรวดต้องใช้ความเร็วประมาณ 11.2 กม./วินาที ถึงจะหนีแรงโน้มถ่วงโลกได้ (เรียกว่า Escape Velocity)

แต่ถ้าเป็นหลุมดำ Escape Velocity ของมัน = ต้องวิ่งเร็วกว่าแสง

ปัญหาคือ… ไม่มีอะไรที่เร็วกว่าแสงได้ตามกฎฟิสิกส์ ดังนั้น ไม่ว่าแสงจะพยายามแค่ไหน ถ้ามันตกลงไปข้างใน มันก็ไม่มีวันโผล่ออกมาอีก

3. แสงโดนดัดโค้ง + เวลาถูกยืดออก

นอกจากแสงจะหนีไม่พ้นแล้ว หลุมดำยังมี อีกไม้ตาย ที่เรียกว่า การยืดเวลาตามแรงโน้มถ่วง (Gravitational Time Dilation)

ไอน์สไตน์บอกว่า ยิ่งอยู่ใกล้แรงโน้มถ่วงสูง เวลาเดินช้าลง

แปลว่า… ถ้ามีคนไปอยู่ใกล้ ๆ หลุมดำ เวลาของเขาจะเดินช้ากว่าคนที่อยู่ไกลออกมา

นี่คือเหตุผลที่หนัง Interstellar มีฉากที่ลูกเรือไปลงดาวใกล้หลุมดำ แล้วกลับมาเจอเพื่อนแก่ไปเป็นสิบ ๆ ปี

ทีนี้ ถ้าแสงกำลังพยายาม "ปีน" ออกมาจากหลุมดำ มันจะต้องต้านแรงโน้มถ่วงที่สูงมาก จนสุดท้าย ความถี่ของแสงลดลงเรื่อย ๆ และพลังงานหมดไปก่อนจะออกมาได้

แล้วอะไรอาจเร็วกว่าแสง?

ถ้ากฎของไอน์สไตน์ยังใช้ได้ 100% ไม่มีอะไรเร็วกว่าแสง

แต่... ถ้ามีอะไรบางอย่างที่ "โกง" ระบบนี้ล่ะ?

1. Tachyon (ทาคีออน) - อนุภาคสมมุติที่เชื่อว่าเกิดมาเร็วกว่าแสงตั้งแต่แรก และไม่มีวันช้ากว่าแสง

2. Wormhole (รูหนอน) - อุโมงค์เชื่อมระหว่างสองจุดของกาลอวกาศ อาจทำให้เดินทางได้ไวกว่าการวิ่งผ่านอวกาศโดยตรง

3. Warp Drive (ไดรฟ์วาร์ป) - แนวคิดที่ทำให้ "บิด" กาลอวกาศ แทนที่จะวิ่งเร็วกว่าแสงตรง ๆ

 สรุปแบบเข้าใจง่าย

✅ แสงไม่ได้ช้าลง แต่มันโดนหลุมดำ "บิดเส้นทาง" จนออกมาไม่ได้
✅ ขอบฟ้าเหตุการณ์ของหลุมดำมี Escape Velocity สูงกว่าแสง = ไม่มีอะไรหนีได้
✅ เวลาที่อยู่ใกล้หลุมดำเดินช้าลง ทำให้แสงดูเหมือนถูกดึงไปติดกับ
✅ มีทฤษฎีที่อาจโกงความเร็วแสงได้ เช่น ทาคีออน, รูหนอน และไดรฟ์วาร์ป

สุดท้ายแล้ว… แสงไม่ใช่ที่สุดของจักรวาล แต่สิ่งที่โกงแสงได้อาจเป็น "กาลอวกาศ" เอง เพราะจักรวาลแม่งเล่นเกมที่เรายังไม่เข้าใจกันทั้งหมด!

#ความเร็วแสงแพ้หลุมดำ #แรงโน้มถ่วงสุดโหด #แสงหนีไม่รอด #ฟิสิกส์ล้ำลึก #กาลอวกาศโค้ง #ทฤษฎีสัมพัทธภาพ

วันศุกร์ที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2568

การจัดการเรียนรู้แบบโครงงาน (Project-Based Learning : PBL)

🔔 
💁‍♀️ PBL เป็นการเรียนรู้ที่ให้ผู้เรียนลงมือทำโครงงานจริง ทั้งแบบเดี่ยวและกลุ่ม ส่งเสริมการคิดวิเคราะห์ ค้นคว้า และพัฒนาองค์ความรู้ด้วยตนเอง 

🟣 ลักษณะสำคัญของ PBL 
- เปิดโอกาสให้ผู้เรียนกำหนดการเรียนรู้เอง  
- ผู้เรียนเลือกหัวข้อที่สนใจและตั้งคำถามเอง
- ครูทำหน้าที่อำนวยความสะดวกและให้คำปรึกษา
- เชื่อมโยงกับชีวิตจริงและสิ่งแวดล้อม
- ใช้ข้อมูลจากแหล่งต่าง ๆ และต้องใช้เวลาที่เหมาะสม  

🔵 ประเภทของโครงงาน 
      1. โครงงานเชิงสำรวจ (Survey Project) 》》 สำรวจ รวบรวมข้อมูล และจำแนกข้อมูลเพื่อนำเสนอข้อค้นพบ  
      2. โครงงานเชิงทดลอง (Experiential Project) 》》 ตั้งสมมติฐาน ดำเนินการทดลอง เก็บข้อมูล วิเคราะห์ และสรุปผล  
      3. โครงงานเชิงพัฒนาสิ่งประดิษฐ์ (Development Project) 》》 นำองค์ความรู้มาพัฒนาแบบจำลองหรือสิ่งประดิษฐ์
      4. โครงงานเชิงแนวคิดทฤษฎี (Theoretical Project) 》》 นำเสนอแนวคิดหรือทฤษฎีใหม่โดยมีพื้นฐานการค้นคว้า
      5. โครงงานด้านบริการสังคม (Community Service Project) 》》 มุ่งแก้ปัญหาชุมชนและส่งเสริมความเป็นธรรมในสังคม
      6. โครงงานด้านศิลปะและการแสดง (Art & Performance Project) 》》 สร้างสรรค์ผลงานด้านศิลปะ ดนตรี หรือสื่อสร้างสรรค์
      7. โครงงานเชิงบูรณาการ (Integrated Project) 》》 บูรณาการองค์ความรู้จากหลายสาขาวิชาเพื่อแก้ปัญหาและสร้างนวัตกรรม

🟠 กระบวนการเรียนรู้แบบโครงงาน (4 ขั้นตอน)
     🔸️ ขั้นนำเสนอ ▪️ ผู้สอนให้ข้อมูลเบื้องต้นและกระตุ้นให้ผู้เรียนตั้งคำถาม
     🔸️ ขั้นวางแผน ▪️ ผู้เรียนร่วมกันระดมความคิด วางแผนแนวทางปฏิบัติ
     🔸️ ขั้นปฏิบัติ ▪️ ลงมือทำโครงงาน และเขียนสรุปผล
     🔸️ ขั้นประเมินผล ▪️ วัดผลจากสภาพจริง โดยมีการประเมินจากครู ผู้เรียน และเพื่อนร่วมชั้น

▶️ PBL เน้นให้ผู้เรียนเป็นศูนย์กลางของการเรียนรู้ ผ่านการลงมือทำโครงงานจริง ส่งเสริมทักษะการคิดวิเคราะห์ การแก้ปัญหา และการเรียนรู้จากประสบการณ์โดยตรง ซึ่งช่วยให้ผู้เรียนสามารถนำความรู้ไปใช้ในสถานการณ์จริงได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ทำความเข้าใจระบบสตาร์ทรถยนต์สมัยใหม่: องค์ประกอบและการทำงาน

ระบบสตาร์ทรถยนต์สมัยใหม่เป็นระบบที่ซับซ้อนแต่มีประสิทธิภาพ ที่ออกแบบมาเพื่อความปลอดภัยและความสะดวกสบาย ภาพนี้แสดงองค์ประกอบหลักของระบบสตาร์ทรถที่พบในรถยนต์ระบบกดปุ่มสตาร์ท (Push Start) ซึ่งมีการตรวจสอบเงื่อนไขหลายอย่างก่อนที่รถจะสตาร์ทได้

## องค์ประกอบหลักของระบบสตาร์ท

1. **คอมพิวเตอร์รถยนต์ (PCM)** - สมองกลหลักที่ควบคุมการทำงานทั้งหมด
2. **อิมโมบิไลเซอร์** - ระบบป้องกันการขโมยที่ตรวจสอบกุญแจ ✓
3. **เซ็นเซอร์ตรวจจับเกียร์** - ตรวจสอบว่ารถอยู่ในตำแหน่ง P (จอด) หรือ N (ว่าง) ✓
4. **สวิตช์ไฟเบรก** - เชื่อมต่อกับแป้นเบรก
5. **แป้นเบรกถูกกด** - สัญญาณยืนยันว่าแป้นเบรกถูกกดลง ✓
6. **แบตเตอรี่** - แหล่งพลังงานหลัก ต้องมีประจุเพียงพอ ✓
7. **รีเลย์สตาร์ท** - สวิตช์ไฟฟ้าที่ควบคุมการจ่ายไฟไปยังมอเตอร์สตาร์ท
8. **วงจรควบคุม** - ระบบไฟฟ้าที่ควบคุมการทำงานของมอเตอร์สตาร์ท
9. **มอเตอร์สตาร์ท** - มอเตอร์ที่ให้แรงหมุนเริ่มต้นแก่เครื่องยนต์
10. **สายไฟบวก** - ส่งกระแสไฟจากแบตเตอรี่ไปยังระบบ
11. **สายกราวด์** - เส้นทางกลับของกระแสไฟฟ้า

## วิธีการทำงานของระบบ

1. เมื่อกดปุ่ม Engine Start คอมพิวเตอร์รถยนต์ (PCM) จะเริ่มตรวจสอบเงื่อนไขต่างๆ:
   - ตรวจสอบอิมโมบิไลเซอร์ว่ากุญแจถูกต้อง
   - ตรวจสอบว่าเกียร์อยู่ในตำแหน่ง P หรือ N
   - ตรวจสอบว่าแป้นเบรกถูกกดอยู่ (ผ่านสวิตช์ไฟเบรก)
   - ตรวจสอบแบตเตอรี่ว่ามีประจุเพียงพอ

2. เมื่อตรวจสอบเงื่อนไขทั้งหมดครบถ้วน (มีเครื่องหมาย ✓):
   - PCM จะส่งสัญญาณไปยังรีเลย์สตาร์ท
   - รีเลย์สตาร์ทจะทำงาน เปิดวงจรควบคุม
   - กระแสไฟฟ้าจะไหลจากแบตเตอรี่ผ่านสายบวกไปยังมอเตอร์สตาร์ท
   - มอเตอร์สตาร์ทจะหมุน และส่งกำลังไปหมุนเครื่องยนต์ให้ทำงาน

## ข้อควรรู้เมื่อรถสตาร์ทไม่ติด

หากรถของคุณสตาร์ทไม่ติด ให้ตรวจสอบจุดต่างๆ ตามลำดับ:

1. **แบตเตอรี่** - แบตเตอรี่อ่อนเป็นสาเหตุที่พบบ่อยที่สุด
2. **อิมโมบิไลเซอร์** - กุญแจชำรุดหรือระบบมีปัญหา
3. **เกียร์** - ตรวจสอบว่าอยู่ในตำแหน่ง P หรือ N
4. **สวิตช์เบรก** - อาจชำรุดทำให้ระบบไม่รับรู้ว่ากดเบรกอยู่
5. **รีเลย์และฟิวส์** - ตรวจสอบฟิวส์สตาร์ทและรีเลย์
6. **มอเตอร์สตาร์ท** - หากได้ยินเสียง "คลิก" แต่ไม่หมุน มอเตอร์สตาร์ทอาจเสีย

ระบบสตาร์ทสมัยใหม่ถูกออกแบบมาเพื่อความปลอดภัย การที่ต้องมีเงื่อนไขหลายอย่างครบถ้วนก่อนสตาร์ทได้ช่วยป้องกันอุบัติเหตุและการสตาร์ทโดยไม่ตั้งใจ หากประสบปัญหาที่ซับซ้อน ควรปรึกษาช่างผู้เชี่ยวชาญเพื่อวินิจฉัยและแก้ไขปัญหาอย่างถูกต้อง

ขอบคุณแหล่งที่มา

วันพฤหัสบดีที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2568

ลงมือทำเงียบๆ ปล่อยให้ผลงานส่งเสียง

ลงมือทำเงียบๆ ปล่อยให้ผลงานส่งเสียง
.
ความสำเร็จที่แท้จริง ไม่ต้องการเสียงปรบมือ
.
จงเป็นคนที่ทำมากกว่าพูด แล้วทุกคนจะเห็นคุณค่าเอง
.
.
#Top1Percent #ท็อปวันเปอร์เซ็นต์ #พัฒนาตนเอง #Mindset #คำคม #แรงบันดาลใจ

18 แนวคิดของคนเก่งที่ทำอะไรก็สำเร็จ


1. มีความมุ่งมั่นในสิ่งที่ทำ



คนที่ประสบความสำเร็จจะไม่ยอมแพ้เพราะอุปสรรค พวกเขารู้ว่าเส้นทางนี้อาจจะยาก แต่เมื่อมุ่งมั่นแล้ว พวกเขาจะเดินต่อไปเสมอ ตัวอย่างเช่น ถ้าคุณลองนึกถึงนักกีฬาอย่างไมเคิล จอร์แดน เขาผ่านความล้มเหลวหลายครั้ง แต่ก็ไม่เคยยอมแพ้ จนทำให้เขากลายเป็นหนึ่งในนักบาสเกตบอลที่ดีที่สุดในโลก


2. ตั้งเป้าหมายชัดเจน


การตั้งเป้าหมายชัดเจนเหมือนการมีแผนที่ในการเดินทาง ถ้าเรารู้ว่าจะไปที่ไหน เราก็สามารถวางแผนเพื่อไปถึงจุดนั้นได้ ตัวอย่างเช่น การที่เราตั้งเป้าหมายในการเรียนเพื่อสอบได้เกรด A ก็จะช่วยให้เรามีทิศทางในการอ่านหนังสือและทบทวน


3. กล้ารับผิดชอบ


คนเก่งรู้ว่าอะไรคือสิ่งที่ตัวเองต้องรับผิดชอบ และไม่โยนความผิดไปที่คนอื่น เช่น เมื่อเกิดปัญหาหรือความล้มเหลว พวกเขาจะยอมรับมันและหาวิธีแก้ไข แทนที่จะหาข้ออ้าง


4. มีการวางแผนและการจัดการเวลา


การจัดการเวลาทำให้เราทำสิ่งต่าง ๆ ได้ทันเวลา ตัวอย่างเช่น ถ้าคุณตั้งเวลาในการทำการบ้าน หรือแบ่งเวลาไปออกกำลังกายในแต่ละวัน คุณก็จะเห็นผลลัพธ์ในระยะยาว


5. การเรียนรู้ตลอดเวลา


คนเก่งไม่เคยหยุดเรียนรู้ แม้ว่าพวกเขาจะเก่งแล้ว พวกเขาก็ยังหาความรู้ใหม่ๆเสมอ ตัวอย่างเช่น นักธุรกิจหลายคนอย่างบิล เกตส์ที่อ่านหนังสือทุกวันเพื่อเสริมสร้างความรู้และประสบการณ์


6. เชื่อมั่นในตัวเอง


การเชื่อมั่นในตัวเองจะทำให้คุณกล้าออกไปทำสิ่งใหม่ๆ ถึงแม้จะมีคนบอกว่าไม่สำเร็จ ตัวอย่างเช่น การที่คุณเลือกทำธุรกิจใหม่ที่คุณรักและเชื่อว่าโอกาสจะมา


7. ไม่กลัวการล้มเหลว


คนเก่งมองการล้มเหลวเป็นโอกาสในการเรียนรู้และพัฒนา พวกเขาไม่ปล่อยให้ความล้มเหลวมาหยุดพวกเขา เช่น การที่นักประดิษฐ์อย่างโธมัส เอดิสัน เคยล้มเหลวมากมาย แต่เขาบอกว่าเขาไม่เคยล้มเหลว เขาแค่เจอวิธีที่ทำให้หลอดไฟไม่ติดมากมาย


8. มีความคิดสร้างสรรค์


คนเก่งมักจะคิดหาทางใหม่ ๆ ในการทำสิ่งต่าง ๆ ตัวอย่างเช่น คนที่ประสบความสำเร็จในด้านการออกแบบ หรือการสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ ๆ อย่าง Steve Jobs ที่ไม่เคยหยุดคิดว่าจะทำให้คนใช้ชีวิตได้ดีขึ้นด้วยเทคโนโลยี


9. ไม่กลัวการเริ่มต้นใหม่


บางครั้งการเริ่มต้นใหม่ก็เป็นสิ่งที่ดีที่สุด แม้จะต้องเริ่มต้นจากศูนย์ คนเก่งรู้ว่านี่คือการเริ่มต้นที่มีความหมาย ตัวอย่างเช่น ถ้าคุณต้องการเปลี่ยนสายอาชีพและต้องเริ่มเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ คุณก็ไม่ควรกังวลว่ามันจะยากเกินไป


10. รับฟังความคิดเห็น


การฟังความคิดเห็นจากคนอื่นช่วยให้เรามองเห็นมุมมองที่ต่างออกไป ทำให้เราพัฒนาได้เร็วขึ้น ตัวอย่างเช่น การที่คุณฟังคำแนะนำจากเพื่อนที่ประสบความสำเร็จจะช่วยให้คุณเติบโตเร็วขึ้น


11. ยืดหยุ่นและปรับตัว


คนเก่งต้องสามารถปรับตัวได้ในทุกสถานการณ์ เช่น ถ้ามีการเปลี่ยนแปลงหรือปัญหาที่ไม่คาดคิด การที่คุณสามารถปรับตัวได้จะทำให้คุณไม่ติดขัด


12. มีความอดทน


ความสำเร็จมักไม่เกิดขึ้นในทันที คนเก่งมักจะอดทนรอผลลัพธ์จากการทำงานหนัก เช่น การฝึกซ้อมทุกวันหรือการลงทุนเวลาในการเรียนรู้


13. มีความคิดบวก


คนเก่งมักคิดบวกและมองหาทางแก้ไขปัญหา พวกเขาไม่มองว่าปัญหาเป็นอุปสรรค แต่เป็นโอกาสในการเติบโต


14. มีการสื่อสารที่ดี


การสื่อสารที่ดีช่วยให้คุณสร้างความเข้าใจและการเชื่อมโยงกับคนรอบข้างได้ดีขึ้น ตัวอย่างเช่น การพูดคุยกับเพื่อนหรือทีมงานอย่างเปิดใจจะช่วยให้โครงการของคุณสำเร็จลุล่วง


15. สามารถจัดการกับความเครียดได้


คนเก่งรู้วิธีจัดการกับความเครียด เพื่อไม่ให้มันมาขัดขวางการทำงาน เช่น การทำสมาธิหรือการออกกำลังกายเพื่อผ่อนคลายจิตใจ


16. รู้จักการพักผ่อน


การทำงานหนักเป็นสิ่งที่ดี แต่การให้รางวัลแก่ตัวเองด้วยการพักผ่อนก็สำคัญไม่แพ้กัน ตัวอย่างเช่น การที่คุณให้เวลาพักผ่อนเพื่อเติมพลังทำให้คุณสามารถทำงานได้ดีขึ้นในวันถัดไป


17. มีการสนับสนุนจากคนรอบข้าง


คนเก่งไม่ทำอะไรเพียงลำพัง พวกเขามีทีมงานที่ให้การสนับสนุนและมีกลุ่มคนที่เชื่อในตัวเขา เช่น การที่คุณได้รับการสนับสนุนจากครอบครัวและเพื่อนในการตามความฝัน


18. มีความมุ่งมั่นในการพัฒนาตนเอง


คนเก่งไม่เคยหยุดพัฒนาตัวเอง พวกเขามีความตั้งใจในการเรียนรู้และพัฒนาทักษะใหม่ ๆ อยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาทักษะทางด้านอาชีพหรือการพัฒนาทักษะส่วนตัว


แนะนำให้อ่าน  ขโมยความคิดของคนที่เก่งที่สุดในโลก

Shopee > https://s.shopee.co.th/9UnMRW9W4q

Lazada  > https://s.lazada.co.th/s.FLuM9?cc

สำนักพิมพ์ เช็ก >https://s.shopee.co.th/8AHyrNJI8G

โต๊ะอ่านหนังสือ

Shopee> https://s.shopee.co.th/8fEIRpZJ21

Lazada > https://s.lazada.co.th/s.FIxwM?cc


#ขโมยความคิดของคนที่เก่งที่สุดในโลก

#ความคิดเปลี่ยนเปลี่ยนชีวิต

วันพุธที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2568

📌 ผู้ควบคุมงานไม่ส่งรายงาน คณะกรรมการตรวจรับพัสดุต้องทำอย่างไร?

📌 ผู้ควบคุมงานไม่ส่งรายงาน คณะกรรมการตรวจรับพัสดุต้องทำอย่างไร?



💡 เรื่องนี้สำคัญ! เพราะ “คณะกรรมการตรวจรับพัสดุ” ไม่ได้มีหน้าที่แค่ตรวจรับงานเมื่อเสร็จสิ้น แต่ยังมี หน้าที่บริหารสัญญาตลอดระยะเวลาของโครงการก่อสร้าง


⚠️ ปัญหาที่เกิดขึ้นบ่อย

 • ผู้ควบคุมงาน

 • คณะกรรมการตรวจรับไม่มีข้อมูลติดตามงาน 📉

 • งานอาจผิดพลาด แต่ไม่ถูกแก้ไขตั้งแต่ต้น 🔍


✅ แล้วคณะกรรมการตรวจรับต้องทำอย่างไร?



🔎 คณะกรรมการตรวจรับมีอำนาจ “บริหารสัญญา” ไม่ใช่แค่ตรวจรับงาน


📌 กฎหมายที่เกี่ยวข้อง: มาตรา 100 แห่ง พ.ร.บ.การจัดซื้อจัดจ้างฯ

กฎหมายกำหนดให้ คณะกรรมการตรวจรับพัสดุ มีหน้าที่ ทั้งบริหารสัญญาและตรวจรับพัสดุ

👉 หมายความว่า คณะกรรมการตรวจรับไม่ได้มีหน้าที่แค่ตรวจงานเมื่อเสร็จสิ้น แต่ต้อง ติดตาม ควบคุม และตรวจสอบโครงการ ตั้งแต่เริ่มต้นจนจบ


📌 ข้อ 176 ของระเบียบกระทรวงการคลัง

 • กำหนดให้ คณะกรรมการตรวจรับต้องออกตรวจงานเป็นระยะ

 • ต้องตรวจสอบ รายงานของผู้ควบคุมงานทุกสัปดาห์


📌 ข้อ 178 ของระเบียบกระทรวงการคลัง

 • กำหนดให้ ผู้ควบคุมงานต้องส่งรายงานประจำสัปดาห์ ให้คณะกรรมการตรวจรับ

 • หากผู้ควบคุมงานไม่ส่งรายงาน ถือเป็นการละเลยหน้าที่ตามระเบียบ


📌 ข้อ 15 ของสัญญาจ้างก่อสร้าง

 • ระบุว่า คณะกรรมการตรวจรับและผู้ควบคุมงานมีอำนาจสั่งให้ผู้รับจ้างแก้ไขงานได้

 • หากพบว่างานก่อสร้างดำเนินไปไม่ถูกต้อง คณะกรรมการตรวจรับ สามารถออกคำสั่งให้แก้ไขได้ทันที ไม่ต้องรอเสนอหัวหน้าหน่วยงาน

 • แต่ถ้างานส่งมอบแล้ว และพบว่าไม่เป็นไปตามสัญญา ต้องเสนอให้หัวหน้าหน่วยงานพิจารณาสั่งการ



⚠️ ปัญหา: ถ้าผู้ควบคุมงานไม่ส่งรายงาน คณะกรรมการตรวจรับต้องทำอย่างไร?


✅ 1. คณะกรรมการตรวจรับต้องแจ้งหัวหน้าหน่วยงานของรัฐทันที

📌 (ตามข้อ 178 ของระเบียบกระทรวงการคลังฯ และมาตรา 100 ของ พ.ร.บ.การจัดซื้อจัดจ้างฯ)

 • ทำหนังสือแจ้งว่า ผู้ควบคุมงานไม่ปฏิบัติตามหน้าที่

 • ขอให้มีคำสั่งให้ผู้ควบคุมงานปฏิบัติตามระเบียบโดยเคร่งครัด


✅ 2. คณะกรรมการตรวจรับต้องออกตรวจไซต์งานเอง

📌 (ตามข้อ 176 ของระเบียบกระทรวงการคลังฯ และข้อ 15 ของสัญญาจ้างก่อสร้าง)

 • แม้ไม่มีรายงานจากผู้ควบคุมงาน คณะกรรมการตรวจรับก็สามารถออกตรวจงานเองได้

 • หากพบว่างานไม่เป็นไปตามแบบ สามารถ สั่งให้แก้ไขได้ทันที


✅ 3. หากยังไม่ปฏิบัติตาม ให้ทำหนังสือเร่งรัดอีกครั้ง

📌 (ตามข้อ 178 ของระเบียบกระทรวงการคลังฯ)

 • ออกหนังสือเตือนเป็นลายลักษณ์อักษร

 • ระบุกรอบเวลาให้ผู้ควบคุมงานต้องส่งรายงานให้ทันที


✅ 4. เสนอเปลี่ยนตัวผู้ควบคุมงาน หากยังไม่ปฏิบัติตาม

📌 (ตามมาตรา 101 ของ พ.ร.บ.การจัดซื้อจัดจ้างฯ และข้อ 177 ของระเบียบกระทรวงการคลังฯ)

 • หากแจ้งเตือนไปแล้ว แต่ผู้ควบคุมงานยังไม่ส่งรายงาน ให้เสนอให้ เปลี่ยนตัวผู้ควบคุมงานทันที



📢 การตีความข้อ 15 ของสัญญาจ้างก่อสร้างให้ชัดเจน


📌 ระหว่างก่อสร้าง:

✅ คณะกรรมการตรวจรับและผู้ควบคุมงานมีอำนาจสั่งให้แก้ไขงานได้ทันที

✅ หากพบว่างานผิดแบบ ไม่ต้องรอคำสั่งจากหัวหน้าหน่วยงาน


📌 หลังส่งมอบงาน:

✅ หากพบว่างานไม่เป็นไปตามสัญญา ต้องเสนอให้หัวหน้าหน่วยงานของรัฐพิจารณาสั่งการ


📌 สรุป:

 • หากงานอยู่ระหว่างก่อสร้าง คณะกรรมการตรวจรับมีอำนาจสั่งแก้ไขงานได้เอง

 • หากงานเสร็จแล้ว แต่มีปัญหา ต้องเสนอหัวหน้าหน่วยงานพิจารณา



🔎 ตัวอย่างปัญหาที่เกิดขึ้นจริง


💬 ตัวอย่างที่ 1:

📍 โครงการสร้างสะพาน ผู้ควบคุมงานไม่ส่งรายงาน คณะกรรมการตรวจรับไม่ออกตรวจไซต์งาน

⚠️ ผลที่เกิดขึ้น:

❌ ตรวจพบว่าสะพานไม่ได้มาตรฐาน ต้องรื้อทำใหม่

❌ โครงการล่าช้าไป 6 เดือน เสียงบประมาณเพิ่ม


💡 แนวทางแก้ไขที่ถูกต้อง:

✅ คณะกรรมการตรวจรับ ต้องออกตรวจงานเอง ไม่ต้องรอรายงานจากผู้ควบคุมงาน

✅ หากพบว่างานผิดพลาด สามารถสั่งให้แก้ไขได้ทันที ตามข้อ 15 ของสัญญา


💬 ตัวอย่างที่ 2:

📍 เทศบาลว่าจ้างสร้างอาคาร ผู้ควบคุมงานไม่ส่งรายงาน 3 เดือน

⚠️ ผลที่เกิดขึ้น:

❌ งานไม่ได้คุณภาพ ต้องซ่อมแซมหลังสร้างเสร็จ

❌ เสียค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม


💡 แนวทางแก้ไขที่ถูกต้อง:

✅ คณะกรรมการตรวจรับ ต้องแจ้งหัวหน้าหน่วยงานของรัฐทันที

✅ หากยังไม่ปฏิบัติตาม ต้องเสนอเปลี่ยนตัวผู้ควบคุมงาน



📢 สรุปแนวทางปฏิบัติ


✅ 1. ผู้ควบคุมงานต้องส่งรายงานประจำสัปดาห์ให้คณะกรรมการตรวจรับพัสดุ (ตามข้อ 178 ของระเบียบกระทรวงการคลังฯ)

✅ 2. หากผู้ควบคุมงานไม่ส่งรายงาน คณะกรรมการตรวจรับต้องแจ้งหัวหน้าหน่วยงานของรัฐทันที

✅ 3. คณะกรรมการตรวจรับมีอำนาจออกตรวจไซต์งานเอง แม้ไม่มีรายงาน (ตามข้อ 176 ของระเบียบกระทรวงการคลังฯ และข้อ 15 ของสัญญาจ้างก่อสร้าง)

✅ 4. หากพบว่างานไม่ถูกต้อง คณะกรรมการตรวจรับสามารถสั่งให้แก้ไขได้ทันที ไม่ต้องรอคำสั่งจากหัวหน้าหน่วยงาน

✅ 5. หากงานส่งมอบแล้ว แต่มีปัญหา ต้องเสนอหัวหน้าหน่วยงานพิจารณาสั่งการ

✅ 6. หากยังไม่ได้รับรายงาน ต้องเร่งรัด และเสนอเปลี่ยนตัวผู้ควบคุมงาน หากยังไม่ปฏิบัติตาม



💬 📢 ฝากถึงทุกหน่วยงาน

“การบริหารสัญญา” ไม่ใช่แค่รอให้ผู้รับจ้างทำงานเสร็จแล้วตรวจรับ แต่ต้องติดตาม ควบคุม และดูแลให้ทุกอย่างเป็นไปตามสัญญา 📜


📌 หากผู้ควบคุมงานไม่ส่งรายงาน คณะกรรมการตรวจรับต้องดำเนินการตามกฎหมาย ไม่รอช้า!

📌 การทำงานให้ถูกต้องตั้งแต่ต้น จะช่วยป้องกันปัญหา และทำให้โครงการของภาครัฐมีคุณภาพ


🏗️✨ ร่วมกันทำให้โครงการก่อสร้างของภาครัฐมีคุณภาพ และคุ้มค่างบประมาณแผ่นดิน! ✅


📌 คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับบทบาทของคณะกรรมการตรวจรับพัสดุและผู้ควบคุมงานในงานจ้างก่อสร้าง



❓ 1. คณะกรรมการตรวจรับพัสดุมีหน้าที่อะไรบ้าง?


✅ คณะกรรมการตรวจรับพัสดุไม่ได้มีหน้าที่แค่ตรวจรับงานเมื่อเสร็จสิ้น แต่ต้อง บริหารสัญญาตลอดระยะเวลาการก่อสร้าง ตาม มาตรา 100 ของ พ.ร.บ.การจัดซื้อจัดจ้างฯ

✅ ต้อง ติดตาม ตรวจสอบ และควบคุมงาน เพื่อให้เป็นไปตามแบบและข้อกำหนดในสัญญา

✅ มีอำนาจ ออกตรวจไซต์งานเป็นระยะ และ สั่งให้แก้ไขงานได้ทันที หากพบข้อผิดพลาดระหว่างการก่อสร้าง ตาม ข้อ 15 ของสัญญาจ้างก่อสร้าง



❓ 2. ผู้ควบคุมงานมีหน้าที่อะไร?


✅ ข้อ 178 ของระเบียบกระทรวงการคลังฯ กำหนดให้ผู้ควบคุมงานต้อง ควบคุม ตรวจสอบ และบันทึกรายงานการก่อสร้างทุกวัน

✅ ต้องส่ง รายงานประจำสัปดาห์ ให้คณะกรรมการตรวจรับพัสดุเพื่อใช้ติดตามความคืบหน้าของงาน

✅ หากพบว่า งานไม่เป็นไปตามแบบ ต้องสั่งให้ผู้รับจ้างแก้ไขทันที



❓ 3. ถ้าผู้ควบคุมงานไม่ส่งรายงาน คณะกรรมการตรวจรับต้องทำอย่างไร?


📌 ตามข้อ 178 ของระเบียบกระทรวงการคลังฯ ผู้ควบคุมงานมีหน้าที่ต้องส่งรายงานให้คณะกรรมการตรวจรับทุกสัปดาห์

✅ หากไม่ส่งรายงาน คณะกรรมการตรวจรับต้องแจ้งหัวหน้าหน่วยงานของรัฐทันที

✅ คณะกรรมการตรวจรับสามารถลงพื้นที่ตรวจไซต์งานเองได้ แม้ไม่มีรายงาน

✅ หากยังเพิกเฉย สามารถเสนอให้เปลี่ยนตัวผู้ควบคุมงานได้



❓ 4. คณะกรรมการตรวจรับพัสดุสามารถสั่งให้ผู้รับจ้างแก้ไขงานได้หรือไม่?


✅ ได้! ตาม ข้อ 15 ของสัญญาจ้างก่อสร้าง คณะกรรมการตรวจรับพัสดุมีอำนาจสั่งให้ แก้ไขงานระหว่างก่อสร้างได้ทันที

✅ หากงานส่งมอบแล้ว แต่มีปัญหา คณะกรรมการตรวจรับต้อง เสนอให้หัวหน้าหน่วยงานของรัฐพิจารณาสั่งการ



❓ 5. ถ้าผู้ควบคุมงานและคณะกรรมการตรวจรับตรวจพบว่างานผิดสเปค ต้องทำอย่างไร?


✅ หากงานยังอยู่ระหว่างก่อสร้าง คณะกรรมการตรวจรับและผู้ควบคุมงาน สามารถสั่งให้ผู้รับจ้างแก้ไขได้ทันที

✅ หากงานส่งมอบแล้ว และตรวจพบว่า ไม่เป็นไปตามสัญญา คณะกรรมการตรวจรับต้อง ทำความเห็นเสนอให้หัวหน้าหน่วยงานของรัฐพิจารณาสั่งการ



❓ 6. คณะกรรมการตรวจรับสามารถปฏิเสธการรับมอบงานได้หรือไม่?


✅ ได้! หากตรวจสอบแล้วพบว่างานก่อสร้างไม่เป็นไปตามสัญญา

✅ ต้องทำ รายงานสรุปข้อบกพร่อง และ เสนอให้หัวหน้าหน่วยงานของรัฐพิจารณา



❓ 7. ถ้าคณะกรรมการตรวจรับไม่ติดตามงานตั้งแต่ต้น แล้วเกิดปัญหาใครต้องรับผิดชอบ?


✅ คณะกรรมการตรวจรับพัสดุ ต้องรับผิดชอบร่วมกัน หากละเลยหน้าที่

✅ หากไม่มีการติดตามงานและออกตรวจเป็นระยะ อาจถือเป็น การละเลยการปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมาย



❓ 8. คณะกรรมการตรวจรับและผู้ควบคุมงานมีสิทธิได้รับค่าตอบแทนหรือไม่?


✅ มีสิทธิได้รับค่าตอบแทน ตาม ว.85 ของกระทรวงการคลัง

✅ หน่วยงานของรัฐต้องจัดสรรงบประมาณให้เหมาะสม เพื่อ สร้างขวัญกำลังใจให้เจ้าหน้าที่



❓ 9. ถ้าผู้รับจ้างไม่ทำงานตามสัญญา คณะกรรมการตรวจรับต้องทำอย่างไร?


✅ คณะกรรมการตรวจรับและผู้ควบคุมงานสามารถ ออกคำสั่งให้แก้ไขทันที

✅ หากยังไม่ปฏิบัติตาม ต้องแจ้งหัวหน้าหน่วยงานของรัฐพิจารณาและดำเนินมาตรการทางกฎหมาย



💬 📢 สรุป:

📌 คณะกรรมการตรวจรับพัสดุ มีหน้าที่บริหารสัญญา ไม่ใช่แค่ตรวจรับงาน

📌 หากผู้ควบคุมงานไม่ส่งรายงาน ต้องแจ้งหัวหน้าหน่วยงานของรัฐทันที

📌 คณะกรรมการตรวจรับ มีอำนาจออกคำสั่งให้แก้ไขงานก่อสร้างได้ ตามข้อ 15 ของสัญญาจ้างก่อสร้าง

📌 หากพบว่างานไม่เป็นไปตามสัญญา สามารถปฏิเสธการรับมอบงาน และเสนอหัวหน้าหน่วยงานพิจารณาสั่งการได้


🏗️✨ ปฏิบัติให้ถูกต้องตั้งแต่ต้น ป้องกันปัญหา ตรวจสอบให้เข้มงวด เพื่อให้โครงการก่อสร้างของภาครัฐได้มาตรฐานและเกิดประโยชน์สูงสุด! ✅


~~~~~~~~~~


ตัวอย่างบันทึกข้อความถึงหัวหน้าหน่วยงานของรัฐ (ผู้ว่าจ้าง) กรณีที่ผู้ควบคุมงานไม่ทำหน้าที่ตามระเบียบจัดซื้อจัดจ้าง ข้อ 178 (2)


บันทึกข้อความ


ส่วนราชการ : คณะกรรมการตรวจรับพัสดุ โครงการก่อสร้างถนนคอนกรีตเสริมเหล็ก หมู่ที่ 5

ที่ : ทต.โปร่งใสใจรักษ์ชาติ 0402/2567

วันที่ : 15 มีนาคม 2567

เรื่อง : แจ้งพฤติกรรมการละเลยหน้าที่ของผู้ควบคุมงาน และขอให้ดำเนินการตามระเบียบ


เรียน : นายกเทศมนตรีตำบลโปร่งใสใจรักษ์ชาติ



1. ความเป็นมา


ตามที่เทศบาลตำบลโปร่งใสใจรักษ์ชาติ ได้ดำเนินการจ้างก่อสร้าง โครงการก่อสร้างถนนคอนกรีตเสริมเหล็ก หมู่ที่ 5 ตำบลโปร่งใสใจรักษ์ชาติ อำเภอเมือง จังหวัดสุจริตธรรม ตามสัญญาเลขที่ ทต.โปร่งใส 12/2567 ลงวันที่ 10 มกราคม 2567 โดยมีการแต่งตั้ง คณะกรรมการตรวจรับพัสดุ และ นายทดสอบ สมมุติฐาน เป็น ผู้ควบคุมงาน ตามคำสั่งเทศบาลตำบลโปร่งใสใจรักษ์ชาติ ที่ 102/2567 ลงวันที่ 8 มกราคม 2567


ทั้งนี้ ข้อ 178 (2) ของระเบียบกระทรวงการคลัง ว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560 กำหนดให้ ผู้ควบคุมงานต้องจดบันทึกสภาพการปฏิบัติงานของผู้รับจ้างและเหตุการณ์แวดล้อมเป็นรายวัน พร้อมทั้งจัดทำรายงานประจำสัปดาห์ เพื่อส่งให้คณะกรรมการตรวจรับพัสดุ ใช้ประกอบการบริหารสัญญาและติดตามความก้าวหน้าของงาน


อย่างไรก็ตาม คณะกรรมการตรวจรับพัสดุได้ตรวจสอบพบว่า นายทดสอบ สมมุติฐาน ซึ่งได้รับแต่งตั้งเป็นผู้ควบคุมงาน มิได้ส่งรายงานประจำสัปดาห์ให้คณะกรรมการตรวจรับพัสดุเป็นระยะเวลาต่อเนื่อง 6 สัปดาห์ ทำให้คณะกรรมการตรวจรับพัสดุ ขาดข้อมูลประกอบการบริหารสัญญาและติดตามการดำเนินงานของผู้รับจ้าง



2. รายละเอียดของปัญหาที่เกิดขึ้น


จากการตรวจสอบพบว่า ผู้ควบคุมงานมิได้ปฏิบัติตามระเบียบข้อ 178 (2) ดังนี้

 1. ไม่ส่งรายงานประจำสัปดาห์ให้คณะกรรมการตรวจรับพัสดุ เป็นระยะเวลาต่อเนื่อง 6 สัปดาห์

 2. ไม่มีการบันทึกสภาพการปฏิบัติงานของผู้รับจ้างและเหตุการณ์แวดล้อมเป็นรายวัน

 3. ทำให้คณะกรรมการตรวจรับพัสดุไม่สามารถติดตามความคืบหน้าของโครงการได้อย่างถูกต้อง


การกระทำดังกล่าว ส่งผลกระทบต่อการทำงานของคณะกรรมการตรวจรับพัสดุ ดังนี้

 1. ขาดข้อมูลประกอบการบริหารสัญญาและการตรวจรับงานในแต่ละงวด

 2. อาจทำให้การเบิกจ่ายเงินค่าจ้างเกิดความล่าช้า หรือไม่มีข้อมูลประกอบการตรวจสอบอย่างเพียงพอ

 3. หากมีข้อผิดพลาดในการดำเนินงาน อาจทำให้ไม่สามารถย้อนกลับไปตรวจสอบได้อย่างถูกต้องและครบถ้วน



3. อำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการตรวจรับพัสดุ และข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้อง

 1. ข้อ 178 (2) ของระเบียบกระทรวงการคลังฯ กำหนดให้ ผู้ควบคุมงานต้องส่งรายงานประจำสัปดาห์ให้คณะกรรมการตรวจรับพัสดุ เพื่อใช้ประกอบการบริหารสัญญา

 2. มาตรา 100 แห่งพระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างฯ กำหนดให้คณะกรรมการตรวจรับพัสดุ มีหน้าที่บริหารสัญญา ติดตาม ตรวจสอบ และควบคุมการดำเนินงานของผู้รับจ้าง

 3. มาตรา 101 แห่งพระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างฯ กำหนดว่า ผู้ควบคุมงานต้องปฏิบัติหน้าที่ควบคุมและติดตามงานก่อสร้างอย่างใกล้ชิด

 4. มาตรา 120 ของพระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างฯ กำหนดว่า

 • หากเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับการบริหารสัญญา ละเลยหรือปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ จนก่อให้เกิดความเสียหาย อาจมีโทษทั้งทางวินัยและทางอาญา

 • มีโทษจำคุกตั้งแต่ 1 ปีถึง 10 ปี หรือปรับตั้งแต่ 20,000 บาทถึง 200,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ



4. ขอให้หัวหน้าหน่วยงานของรัฐดำเนินการเพื่อให้เป็นไปตามระเบียบ


เพื่อให้การดำเนินงานของโครงการเป็นไปตามระเบียบและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง คณะกรรมการตรวจรับพัสดุขอให้เทศบาลตำบลโปร่งใสใจรักษ์ชาติ ดำเนินการดังต่อไปนี้

 1. แจ้งให้ผู้ควบคุมงานปฏิบัติตามระเบียบข้อ 178 (2) อย่างเคร่งครัด และส่งรายงานความคืบหน้าประจำสัปดาห์ให้ครบถ้วน

 2. หากยังไม่ดำเนินการ ให้ทำหนังสือเตือนเป็นลายลักษณ์อักษร และกำหนดกรอบเวลาที่ชัดเจนในการปฏิบัติ

 3. หากผู้ควบคุมงานยังไม่ปฏิบัติตาม ให้พิจารณาเปลี่ยนตัวผู้ควบคุมงานทันที ตามอำนาจที่กำหนดไว้ในมาตรา 101 ของพระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างฯ

 4. หากพบว่าการละเลยของผู้ควบคุมงานทำให้เกิดความเสียหายแก่หน่วยงาน อาจเข้าข่ายความผิดตามมาตรา 120 ของพระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างฯ


จึงเรียนมาเพื่อโปรดพิจารณาและดำเนินการตามอำนาจหน้าที่


ลงชื่อ …………………………………………

ตำแหน่ง ประธานคณะกรรมการตรวจรับพัสดุ

เทศบาลตำบลโปร่งใสใจรักษ์ชาติ


~~~~~~~~~~

แชร์ได้ , save ไว้ศึกษาส่วนตัวได้ , ห้ามนำไปโพสซ้ำหรือใช้งานที่อื่นโดยไม่ได้รับอนุญาต สงวนสิทธิ์ตามกฎหมาย

~~~~~~~~~~


✏️✏️✏️✏️✏️

อบรมกับโยธาไทย

 1. อบรมราคากลางและค่า K

https://training.yotathai.com/con-k

 2. อบรมการจัดทำราคากลาง +ว452 +ว124

https://training.yotathai.com/w452

 3. อบรมหลักการควบคุมงาน บริหารสัญญา

https://training.yotathai.com/work

 4. อบรมกฎหมายปกครองกับงานจ้างก่อสร้าง หลักการควบคุมงาน บริหารสัญญา และตรวจรับ

https://training.yotathai.com/law-work

 5. อบรม AI กับงานก่อสร้างและบริหารงานก่อสร้าง

https://training.yotathai.com/ai

 6. อบรมราคากลางงานก่อสร้างและสัญญาจ้างก่อสร้าง

https://training.yotathai.com/contract

 7. อบรม SketchUp BIM + LayOut

https://training.yotathai.com/sketchup

.......... 

อบรมออนไลน์

https://yotathai.link/online-training อบรมออนไลน์

..........

https://yotathai.link/lecturer เชิญวิทยากรบรรยาย

https://yotathai.link/office ติดต่อทีมงานโยธาไทย (Line@)

https://yotathai.link/training สมัครอบรมกับโธาไทย

https://yotathai.link/chat กลุ่มสนทนาใน Line(ฟรี)

https://yotathai.link/news รับข่าวสารผ่าน Line(ฟรี)

https://yotathai.link/club กลุ่มปรึกษาปัญหาใน FB(ฟรี)

https://yotathai.link/fb-gp กลุ่มปรึกษาปัญหาจัดจ้างก่อสร้าง ใน FB (ฟรี)

https://yotathai.link/shop ร้านค้าโยธาไทย

https://yotathai.link/premix ยางมะตอยโยธาพรีมิกซ์

https://yotathai.link/alum สารส้ม-คลอรีน

https://yotathai.link/program โปรแกรมคอมพิวเตอร์

https://yotathai.link/program-k โปรแกรมค่า k

https://yotathai.link/program-factorf โปรแกรม Factor F

https://yotathai.link/program-unitcost โปรแกรมคำนวณวัสดุมวลรวม

https://yotathai.link/program-sketchup โปรแกรม SketchUp

https://roadprice.yotathai.com โปรแกรม ROAD PRICE ประมาณราคางานทาง

https://yotathai.link/rebars เขียนเหล็กเสริมใน SketchUp

https://yotathai.link/k-cal รับคำนวณค่า K

(ร่าง) หนังสือเสนอหัวหน้าหน่วยงานของรัฐเพื่อยกเลิกการจัดจ้าง ตามข้อ 56 ของระเบียบฯ

 (ร่าง) หนังสือเสนอหัวหน้าหน่วยงานของรัฐเพื่อยกเลิกการจัดจ้าง ตามข้อ 56 ของระเบียบฯ



ที่………./………

หน่วยงาน: ………………………………………

วันที่: ………………………………………


เรื่อง: รายงานผลการพิจารณาประกวดราคา และข้อเสนอให้ยกเลิกการจัดจ้าง


เรียน: หัวหน้าหน่วยงานของรัฐ


ตามที่ … (ชื่อหน่วยงาน) … ได้ดำเนินการประกวดราคาอิเล็กทรอนิกส์ (e-bidding) โครงการ … (ระบุชื่อโครงการ) … และได้ดำเนินการเปิดซองข้อเสนอเมื่อวันที่ … (ระบุวัน) … นั้น


ในการพิจารณาข้อเสนอของผู้ยื่นซอง ปรากฏว่า มีผู้ยื่นข้อเสนอทั้งสิ้น … ราย แต่เมื่อพิจารณาตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่กำหนดในเอกสารประกวดราคาแล้ว พบว่ามี ผู้ผ่านคุณสมบัติตามข้อกำหนดเพียงรายเดียว


พิจารณาตามข้อ 56 ของระเบียบว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้างฯ กำหนดว่า:


 “หากมีผู้ยื่นข้อเสนอเพียงรายเดียว หรือมีหลายรายแต่ผ่านคุณสมบัติที่กำหนดเพียงรายเดียว ให้คณะกรรมการพิจารณาผลการประกวดราคาเสนอหัวหน้าหน่วยงานของรัฐผ่านหัวหน้าเจ้าหน้าที่ เพื่อยกเลิกการประกวดราคาครั้งนั้น เว้นแต่คณะกรรมการเห็นว่ามีเหตุผลสมควรให้ดำเนินการต่อไป ให้คณะกรรมการดำเนินการตามข้อ 57 หรือข้อ 58 แล้วแต่กรณี”


จากการพิจารณาโดยคณะกรรมการพิจารณาผล เห็นว่า ควรเสนอให้ยกเลิกการประกวดราคาในครั้งนี้ เนื่องจาก:

 1. จำนวนผู้ผ่านคุณสมบัติที่ถูกต้องมีเพียงรายเดียว ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการแข่งขันที่เป็นธรรมและความโปร่งใสของกระบวนการจัดซื้อจัดจ้าง

 2. เงื่อนไขที่กำหนดในเอกสารประกวดราคาอาจเป็นปัจจัยที่จำกัดจำนวนผู้เสนอราคา ส่งผลให้มีผู้เข้าร่วมการแข่งขันได้น้อย ซึ่งอาจไม่ก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อทางราชการ

 3. หากเดินหน้าดำเนินการต่อโดยไม่มีการแข่งขันที่เพียงพอ อาจก่อให้เกิดข้อครหาเกี่ยวกับความโปร่งใสของกระบวนการจัดซื้อจัดจ้าง


ข้อเสนอของคณะกรรมการพิจารณาผล:


ด้วยเหตุผลข้างต้น คณะกรรมการพิจารณาผลการประกวดราคาจึงขอเสนอให้ หัวหน้าหน่วยงานของรัฐพิจารณายกเลิกการประกวดราคาครั้งนี้ ตามข้อ 56 ของระเบียบฯ และดำเนินการปรับปรุงเอกสารประกวดราคาให้เหมาะสมก่อนประกาศใหม่ เพื่อให้เกิดการแข่งขันที่เป็นธรรมและเกิดประโยชน์สูงสุดต่อทางราชการ


จึงเรียนมาเพื่อโปรดพิจารณา


ลงชื่อ ……………………………………

(ประธานคณะกรรมการพิจารณาผลการประกวดราคา)

วันที่ ……………………………………


~~~~~~~~~~

แชร์ได้ , save ไว้ศึกษาส่วนตัวได้ , ห้ามนำไปโพสซ้ำหรือใช้งานที่อื่นโดยไม่ได้รับอนุญาต สงวนสิทธิ์ตามกฎหมาย

~~~~~~~~~~


✏️✏️✏️✏️✏️

อบรมกับโยธาไทย

 1. อบรมราคากลางและค่า K

https://training.yotathai.com/con-k

 2. อบรมการจัดทำราคากลาง +ว452 +ว124

https://training.yotathai.com/w452

 3. อบรมหลักการควบคุมงาน บริหารสัญญา

https://training.yotathai.com/work

 4. อบรมกฎหมายปกครองกับงานจ้างก่อสร้าง หลักการควบคุมงาน บริหารสัญญา และตรวจรับ

https://training.yotathai.com/law-work

 5. อบรม AI กับงานก่อสร้างและบริหารงานก่อสร้าง

https://training.yotathai.com/ai

 6. อบรมราคากลางงานก่อสร้างและสัญญาจ้างก่อสร้าง

https://training.yotathai.com/contract

 7. อบรม SketchUp BIM + LayOut

https://training.yotathai.com/sketchup

.......... 

อบรมออนไลน์

https://yotathai.link/online-training อบรมออนไลน์

..........

https://yotathai.link/lecturer เชิญวิทยากรบรรยาย

https://yotathai.link/office ติดต่อทีมงานโยธาไทย (Line@)

https://yotathai.link/training สมัครอบรมกับโธาไทย

https://yotathai.link/chat กลุ่มสนทนาใน Line(ฟรี)

https://yotathai.link/news รับข่าวสารผ่าน Line(ฟรี)

https://yotathai.link/club กลุ่มปรึกษาปัญหาใน FB(ฟรี)

https://yotathai.link/fb-gp กลุ่มปรึกษาปัญหาจัดจ้างก่อสร้าง ใน FB (ฟรี)

https://yotathai.link/shop ร้านค้าโยธาไทย

https://yotathai.link/premix ยางมะตอยโยธาพรีมิกซ์

https://yotathai.link/alum สารส้ม-คลอรีน

https://yotathai.link/program โปรแกรมคอมพิวเตอร์

https://yotathai.link/program-k โปรแกรมค่า k

https://yotathai.link/program-factorf โปรแกรม Factor F

https://yotathai.link/program-unitcost โปรแกรมคำนวณวัสดุมวลรวม

https://yotathai.link/program-sketchup โปรแกรม SketchUp

https://roadprice.yotathai.com โปรแกรม ROAD PRICE ประมาณราคางานทาง

https://yotathai.link/rebars เขียนเหล็กเสริมใน SketchUp

https://yotathai.link/k-cal รับคำนวณค่า K

วันอาทิตย์ที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2568

แรงบันดาลใจจาก คุณชิโฮมิ ชิโมมุระ ผู้เชี่ยวชาญด้านการจัดระเบียบชีวิตจากญี่ปุ่น ที่แนะนำ

แรงบันดาลใจจาก คุณชิโฮมิ ชิโมมุระ ผู้เชี่ยวชาญด้านการจัดระเบียบชีวิตจากญี่ปุ่น ที่แนะนำให้จัดบ้านด้วยการทิ้งสิ่งของที่ไม่จำเป็น เพื่อบ้านที่เป็นระเบียบและชีวิตที่เบาสบายยิ่งขึ้น โดยแบ่งเป็น 5 หมวดง่ายๆ
หมวดที่ 1: ของพัง ของที่ใช้งานไม่ได้แล้ว
 1. เครื่องใช้ไฟฟ้าที่พังแล้วและไม่คิดจะซ่อม
 2. เฟอร์นิเจอร์ที่ขวางประตูหรือทางเดิน
 3. ปากกาที่เขียนไม่ติด
 4. ต่างหูที่เหลือแค่ข้างเดียว
 5. ถุงเท้าเปื่อยที่ใส่อีกครั้งก็ขาดแน่
 6. รองเท้าที่ใส่แล้วเจ็บเท้าตลอด
 7. ไม้หนีบผ้าที่แห้งกรอบจนแตกหักง่าย
 8. เสื้อผ้าที่คิดว่าจะเก็บไว้ใส่ “ตอนผอม”
 9. ถ้วยจานที่ชำรุดหรือบิ่น
 10. ต้นไม้ดอกไม้ที่เหี่ยวเฉาแล้ว

หมวดที่ 2: ของที่ไม่เคยใช้เลย
 11. เสื้อผ้าที่ไม่ได้ใส่มานานกว่า 1 ปี
 12. กระเป๋าที่หนักจนไม่คิดจะใช้
 13. หม้อที่หนักจนไม่อยากหยิบ
 14. เครื่องใช้บนโต๊ะอาหารสำหรับแขก (ที่บ้านไม่เคยมีแขกมา!)
 15. ปากกาที่เขียนยากหรือหมึกเลอะ
 16. ผงซักฟอกที่ซื้อมาแล้วไม่ได้ใช้
 17. แจกันดอกไม้ที่ได้มาเป็นของขวัญ
 18. เสื้อผ้าที่เป็นขุยง่าย
 19. อุปกรณ์ทำอาหารที่ดูสะดวกแต่ใช้งานไม่ได้จริง
 20. หม้อหรือกระทะที่ไหม้ง่าย

หมวดที่ 3: ของที่มีปริมาณเกินความจำเป็น
 21. ถุงพลาสติกและถุงกระดาษที่เก็บจนล้น
 22. ถุงเจลเก็บความเย็นในตู้เย็น
 23. ถุงผ้าของแถมที่ไม่เคยใช้
 24. เศษผ้าที่เก็บไว้ทำผ้าขี้ริ้ว (แต่ยังไม่ได้ใช้สักที)
 25. แปรงสีฟันเก่าที่จะเก็บไว้ขัดโน่นนี่
 26. ถุงน่องหรือชุดรัดรูปที่ไม่ใส่แล้ว
 27. หนังสือใน “กองดอง” ที่ไม่ได้อ่าน
 28. อุปกรณ์เสริมที่มากับเฟอร์นิเจอร์ประกอบเอง
 29. สมุดบันทึกหรือกระดาษโน้ตที่ใช้ไม่หมด
 30. กล่องหรือกระป๋องที่เก็บเพราะ “มันน่ารัก”

หมวดที่ 4: ของหมดอายุ
 31. เครื่องปรุงหมดอายุในครัว
 32. เสบียงฉุกเฉินที่หมดอายุ
 33. อาหารแช่แข็งที่ทำไว้นานจนจำไม่ได้
 34. บัตรสะสมแต้มที่หมดอายุ
 35. ไกด์บุ๊กท่องเที่ยวที่พิมพ์เกิน 3 ปี
 36. ใบรับประกันสินค้าที่หมดอายุ
 37. ใบปลิวงานอีเวนต์ที่ผ่านไปแล้ว
 38. เครื่องสำอางที่เปิดใช้ไว้นานจนลืม
 39. จดหมายโฆษณาเก่าๆ
 40. เสื้อผ้าหรือแฟชั่นที่เด็กเกินวัย

หมวดที่ 5: ของที่เห็นแล้วรู้สึกแย่
 41. อุปกรณ์งานอดิเรกที่ซื้อเพราะตามกระแส
 42. หนังสือเตรียมสอบที่เลิกอ่านไปแล้ว
 43. อุปกรณ์ออกกำลังกายที่ไม่ได้ใช้งาน
 44. ของกินที่ได้รับมาแต่ไม่ชอบ
 45. กระเป๋าใบโปรดที่ขึ้นรา
 46. อุปกรณ์เสริมสวยราคาแพงที่ใช้ไม่ดี
 47. หนังสือคู่มือและใบเสร็จเก่า
 48. คอมพิวเตอร์หรือกล้องรุ่นเก่า
 49. ภาพถ่ายที่เห็นแล้วไม่มั่นใจในตัวเอง
 50. ของขวัญหรือจดหมายที่แฟนเก่าเคยให้
ถามตัวเองว่า “สิ่งนี้ทำให้ชีวิตฉันดีขึ้นไหม?” ถ้าคำตอบคือไม่ ก็ถึงเวลาปล่อยวางแล้ว!
ในลิสต์นี้คุณมีกี่ข้อ? 😅

ขอขอบคุณที่มาเนื้อหา และภาพ

วันเสาร์ที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2568

17 ไอเดียการทำเงินด้วย AI พร้อมคำแนะนำที่จะช่วยให้คุณเริ่มต้นธุรกิจบนโลกดิจิทัลได้อย่างมีประสิทธิภาพ

17 ไกด์วิธีใช้ AI

ช่วยสร้างรายได้

ในปี 2025

.


เมื่อเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) เข้ามามีบทบาทสำคัญในหลากหลายอุตสาหกรรม ทำให้เกิดโอกาสใหม่ๆ สำหรับผู้ประกอบการและผู้ที่ต้องการสร้างรายได้ออนไลน์

.

17 ไอเดียการทำเงินด้วย AI พร้อมคำแนะนำที่จะช่วยให้คุณเริ่มต้นธุรกิจบนโลกดิจิทัลได้อย่างมีประสิทธิภาพ

.

1. พัฒนาซอฟต์แวร์ AI

AI สามารถเขียนโค้ดที่ขับเคลื่อนแอปพลิเคชันซอฟต์แวร์หลายประเภท ช่วยประหยัดเวลาและลดภาระงานที่ซ้ำซากน่าเบื่อในการร่างโค้ด คุณสามารถทำงานเป็นนักพัฒนาซอฟต์แวร์อิสระโดยใช้เครื่องมือ AI เพื่อสร้างโปรแกรมให้กับลูกค้าได้

.

2. วิเคราะห์ข้อมูลด้วย AI

บริการวิเคราะห์ข้อมูลด้วย AI ใช้เทคโนโลยี Deep Learning, NLP และบางครั้งก็ใช้ Computer Vision คุณสามารถใช้เทคโนโลยี AI เพื่อรับข้อมูลเชิงลึก ปรับปรุงกระบวนการ สร้างภาพข้อมูล และสร้างโอกาสใหม่ ๆ ในอุตสาหกรรม

.

3. แชทบอทและผู้ช่วยเสมือนที่ขับเคลื่อนด้วย AI

ตลาดมีความต้องการแชทบอทสำหรับบริการลูกค้าสูง แชทบอท AI ที่ทรงพลังสามารถสร้างการตอบสนองได้หลายพันครั้งต่อนาที ช่วยให้คุณให้บริการลูกค้าออนไลน์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

.

4. สร้างเนื้อหา บทความ งานเขียน ด้วย AI

ด้วย NLP เครื่องมือการเขียนด้วย AI สามารถสร้างเนื้อหาที่เลียนแบบไวยากรณ์ของมนุษย์ได้อย่างแม่นยำ นักเขียนอิสระสามารถใช้เครื่องมือเหล่านี้เพื่อสร้างไอเดียและเขียนได้เร็วขึ้น

.

5. ออกแบบกราฟิกด้วย AI

เครื่องมือ AI สามารถสร้างศิลปะสำหรับโลโก้บริษัท การออกแบบเว็บไซต์ กราฟิกบนเสื้อยืด และอื่นๆ คุณสามารถใช้เครื่องมืออย่าง Midjourney หรือ DALL-E เพื่อเร่งกระบวนการสร้างศิลปะดิจิทัลให้กับลูกค้าของคุณ

.

6. สร้างเว็บไซต์ด้วย AI

เครื่องมือ AI สามารถออกแบบและสร้างเว็บไซต์ได้อย่างรวดเร็ว คุณสามารถสร้างเว็บไซต์ที่สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของคุณ เช่น เว็บไซต์อีคอมหรือพอร์ตภาพถ่าย

.

7. ตัดต่อวิดีโอด้วย AI

เครื่องมือ AI สามารถตัดและแก้ไขวิดีโอตามชุดของข้อมูลเขียน ซอฟต์แวร์การตัดต่อวิดีโอด้วย AI เช่น PictoryAI และ Animoto ใช้งานได้กับทุกอย่างตั้งแต่วิดีโอ YouTube งบประมาณต่ำไปจนถึงภาพยนตร์ รายการทีวี และโฆษณา

.

8. ทำการตลาดดิจิทัลด้วย AI

มีเครื่องมือ AI ที่สามารถจัดการแทบทุกด้านของการตลาดดิจิทัลและช่วยในการจัดการแบรนด์บนโซเชียลมีเดีย สามารถใช้โซลูชัน AI ที่ช่วยในการสร้างเนื้อหา จัดกำหนดการโฆษณา เขียนบล็อกโพสต์ และอื่น ๆ อีกมากมาย

.

9. ทำตลาด Affiliate ด้วย AI

ทำเงินด้วยเครื่องมือ AI โดยการเข้าสู่ธุรกิจการตลาดแบบ Affiliate เครื่องมือ AI สามารถช่วยตั้งค่าเว็บไซต์ โดยสังเกตแนวโน้มการค้นหาเพื่อหาผลิตภัณฑ์ที่คุ้มค่าแก่การนำเสนอ

.

10. บริการแปลภาษาด้วย AI

โมเดลภาษาขนาดใหญ่ (LLMs) มีความเข้าใจภาษาต่างๆ อย่างลึกซึ้ง ทำให้เป็นเครื่องมือแปลภาษาที่มีประสิทธิภาพ หากคุณเป็นคนที่รู้หลายภาษา สามารถให้บริการแปลและปรับเนื้อหาให้เข้ากับท้องถิ่นด้วย AI ได้

.

11. วิเคราะห์เชิงคาดการณ์ในการเงินด้วย AI

นักวิเคราะห์การเงินปัจจุบันใช้ AI สำหรับการสร้างแบบจำลองเชิงคาดการณ์ เช่น การสร้างอัลกอริทึม AI สำหรับการคาดการณ์ตลาดหุ้น การประเมินความเสี่ยง หรือการตรวจจับการฉ้อโกงในธุรกรรมทางการเงิน

.

12. โปรแกรมฝึกอบรมด้วย AI

ใช้ AI สร้างหลักสูตรออนไลน์ โปรแกรมฝึกอบรม และเวิร์คช็อป AI สามารถสร้างโครงร่างหลักสูตรและเติมเต็มด้วยเนื้อหาที่ไม่ซ้ำใคร โดยอาศัยความเชี่ยวชาญเพื่อปรับแต่งผลลัพธ์ของ AI

.

13. สรรหาและการจ้างงานด้วย AI

พัฒนาโซลูชัน AI ที่กำหนดเองสำหรับการอัตโนมัติกระบวนการจ้างงาน รวมถึงการคัดกรองประวัติ การจับคู่ผู้สมัคร และการสัมภาษณ์ ซึ่งช่วยประหยัดเวลาและทรัพยากรของฝ่ายทรัพยากรบุคคล

.

14. ความปลอดภัยทางไซเบอร์ด้วย AI

โซลูชันความปลอดภัยทางไซเบอร์ที่ขับเคลื่อนด้วย AI ช่วยให้ธุรกิจตรวจจับภัยคุกคามและความผิดปกติ และตรวจสอบสิ่งเหล่านี้ในเวลาจริง ด้วยการโจมตีทางไซเบอร์ที่เพิ่มขึ้น ธุรกิจต่าง ๆ จึงเต็มใจที่จะลงทุนในมาตรการรักษาความปลอดภัยขั้นสูง

.

15. จัดการสต๊อก สินค้าคงคลังด้วย AI

การจัดการสินค้าคงคลังเป็นกระบวนการที่ซับซ้อนซึ่งเครื่องมือ AI สามารถทำให้ง่ายขึ้นและช่วยประหยัดเวลา ด้วยซอฟต์แวร์ที่ขับเคลื่อนด้วย AI สามารถติดตามการเคลื่อนไหวของผลิตภัณฑ์ผ่านห่วงโซ่อุปทาน คาดการณ์ความต้องการสินค้าตามพฤติกรรมของลูกค้า และอัปเดตบันทึกสินค้าคงคลัง

.

16. จัดการเกษตรกรรมด้วย AI

แอปพลิเคชัน AI สามารถช่วยในเกษตรกรรมแม่นยำ การตรวจสอบพืชผล และการคาดการณ์ผลผลิต โซลูชันเหล่านี้ช่วยให้เกษตรกรเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานและปรับปรุงผลผลิต

.

17. ปรับปรุงห่วงโซ่อุปทานด้วย AI

ตามการสำรวจของ McKinsey & Company ปี 2024 พบว่า 53% ของผู้ตอบแบบสอบถามเห็นการเพิ่มขึ้นของรายได้มากกว่า 5% เมื่อใช้เครื่องมือ AI สำหรับห่วงโซ่อุปทานและการจัดการสินค้าคงคลัง

.

O เคล็ดลับสำหรับการทำเงินด้วยเครื่องมือ AI

.

o หาจุดปวดหรือความไม่มีประสิทธิภาพ : วิจัยตลาดของเรา และอุตสาหกรรมที่กว้างขึ้นเพื่อหากรณีการใช้งานที่บริการ AI สามารถเพิ่มมูลค่าและแก้ไขปัญหาของลูกค้า

.

o ทดลองใช้ : ขึ้นอยู่กับไอเดียธุรกิจของคุณ ใช้แพลตฟอร์ม no-code หรือ API ที่ขับเคลื่อนด้วย AI เพื่อออกแบบต้นแบบผลิตภัณฑ์อย่างง่าย

.

o ขอข้อเสนอแนะและปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง : โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อคุณเพิ่งเริ่มต้น การขอข้อเสนอแนะและปรับปรุงผลิตภัณฑ์หรือบริการ ตามคำวิจารณ์ที่สร้างสรรค์นั้นเป็นสิ่งสำคัญ

.

.

เขียนและเรียบเรียงโดย 100WEALTH

———

100WEALTH l ไปให้ถึง100ล้าน

.

#Business #AI

#100WEALTH

#ไปให้ถึง100ล้าน

.

อ้างอิง

https://bit .ly/4kw1RtL

วันศุกร์ที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2568

10 ข้อ เปลี่ยนตัวเองเป็นคนใหม่ จัดการเวลาได้อย่างมีประสิทธิภาพ

⏰สรุป 10 ข้อ "วิธีบริหารเวลา ให้คุ้มค่าที่สุดในแต่ละวัน" 
รวมเทคนิคการจัดการเวลาแบบมือโปร เพิ่ม Productivity  
ทำงานได้มากขึ้น ใช้ชีวิตได้คุ้มค่ากว่าเดิม 

.
สรุป 10 ข้อ เปลี่ยนตัวเองเป็นคนใหม่ จัดการเวลาได้อย่างมีประสิทธิภาพ
 .
⏰1. **กำหนดเป้าหมาย**: เริ่มต้นด้วยการตั้งเป้าหมายในแต่ละวัน สัปดาห์ และเดือน เพื่อให้เห็นภาพรวมและทิศทางที่ชัดเจน
⏰2. **จัดลำดับความสำคัญ**: แยกแยะภารกิจสำคัญ เร่งด่วน และสิ่งที่สามารถละเลยได้ เพื่อจัดสรรเวลาให้เหมาะสม
⏰3. **วางแผน**: จัดทำตารางเวลา To-do-list หรือใช้แอปพลิเคชัน เพื่อช่วยในการบริหารจัดการเวลา
⏰4. **แบ่งเวลาเป็นช่วงๆ**: แบ่งเวลาทำงานเป็นช่วงๆ สลับกับการพักผ่อน เพื่อป้องกันความเหนื่อยล้า และเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน
⏰5. **หลีกเลี่ยงสิ่งรบกวน**: ปิดการแจ้งเตือน โซเชียลมีเดีย หรือสิ่งต่างๆ ที่ทำให้เสียสมาธิ  
⏰6. **มอบหมายงาน**: เรียนรู้การมอบหมายงานให้ผู้อื่น เมื่อมีโอกาส เพื่อลดภาระงานของตนเอง
⏰7. **จัดการกับงานที่ใช้เวลาน้อย**: จัดการกับงานเล็กๆ น้อยๆ ที่ใช้เวลาไม่นาน ให้เสร็จสิ้น เพื่อไม่ให้กลายเป็นภาระสะสม
⏰8. **พักผ่อนให้เพียงพอ**: การนอนหลับพักผ่อนอย่างเพียงพอ ช่วยให้ร่างกายและสมอง พร้อมสำหรับการทำงานในวันต่อไป
⏰9. **ทบทวน**: ประเมินผลการทำงาน และทบทวน เพื่อปรับปรุงวิธีการบริหารเวลาให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
⏰10. **อย่าลืมเวลาสำหรับตัวเอง**: จัดสรรเวลาสำหรับพักผ่อน ผ่อนคลาย และทำกิจกรรมที่ชื่นชอบ เพื่อเติมเต็มความสุขในชีวิต
.

.
📒ที่มา หนังสือ วิธีบริหารเวลา ให้คุ้มค่าที่สุดในแต่ละวัน
.
#อ่านไปเรื่อยๆจนกว่าชีวิตจะดีขึ้น #ฮิลใจ #ปรัญาชีวิต #พัฒนาตนเอง #หนังสือพัฒนาตนเอง #หนังสือน่าอ่าน
#หนังสือขายดี #หนังสือที่ควรอ่านก่อนอายุ30

สรุป 4 นิสัยที่เหมือนกัน ของคนที่สร้างกิจการ 1,000 ล้าน

สรุป 4 นิสัยที่เหมือนกัน ของคนที่สร้างกิจการ 1,000 ล้าน /โดย ลงทุนแมน
- เมื่อวานงาน The Entrepreneur Forum ลงทุนแมนได้พบและพูดคุยคุยกับ ผู้ก่อตั้งกิจการที่มาขึ้นเวทีในงานทุกคน ลงทุนแมนได้เชื่อมโยงว่า หลาย ๆ คนมีนิสัย และ character บางอย่างที่คล้ายกัน ที่ลงทุนแมนสามารถเชื่อมโยงได้
อะไรคือ Character ของคนที่สร้างกิจการ 1,000 ล้าน ?

1) ผู้ประกอบการ 1,000 ล้าน อาศัยความเก่งในการประกอบการ ไม่ใช่ความโชคดี

คุณปลา iberry กล่าวว่า ก่อนที่จะขยายสาขาแต่ละครั้งเขาทำ Project Feasibility เขารู้หมดว่าร้านหนึ่งใช้พื้นที่กี่ตารางเมตรและจะมีกี่ที่นั่ง ที่นั่งต่อหัวเท่าไร รายได้เมื่อเทียบกับค่าใช้จ่ายพนักงาน ค่าเช่า ค่าก่อสร้างเท่าไร รู้ตั้งแต่ยังไม่เริ่มสร้างว่ากี่ปีจะคืนทุน

คุณแอน Lucky สุกี้ ใช้ข้อมูลในการวิเคราะห์พฤติกรรมลูกค้า ว่าคนมาที่ร้านชอบอะไร คนไทยชอบเรื่องดวง เลยตั้งชื่อว่า Lucky แต่หลังบ้านคุณแอนไม่ใช้โชคหรือดวง แต่เป็น Data

คุณหนุย MizuMi รู้ว่าอะไรที่เป็น ตัว block ที่ทำให้ยอดขายไปไม่ถึงพันล้าน เขามองตัว block นั้นคือการกระจายไปสินค้าทุกช่องทางทั่วประเทศ พอปลดตัว block นั้นก็ทำให้สินค้าไปต่อได้ การเลือกเส้นทางของธุรกิจนั้นสำคัญมาก

ลงทุนแมนคิดว่าคำว่า “ผู้ประกอบการ” ที่สำเร็จมี Character ที่คล้ายกันคือ รู้ว่า กิจการตัวเองขายให้ใคร รายได้ ต้นทุนคืออะไร และจะวิเคราะห์ว่าอะไรที่ทำให้ตัวเองไปต่อได้

2) ผู้ประกอบการ 1,000 ล้าน รู้จักปฏิเสธ เลือกแข่งเฉพาะในเกมที่ถนัด

ลงทุนแมนถามกับคุณตันอิชิตันว่าทำไมไม่ทำน้ำมะพร้าว น่าจะส่งออกได้ดี คุณตันบอกว่าเขาเล่นคนละเกม เครื่องจักรของเขาถูกออกแบบให้ผลิตออกมาได้เร็ว แบบง่าย ๆ เขาเลือกที่จะไม่ทำน้ำมะพร้าว เพราะมีขั้นตอนมากไม่เหมาะกับโรงงานที่เป็นระบบอัตโนมัติ

คุณตัน บอกหลังเวที และย้ำอีกครั้งบนเวทีถึงจุดนี้ “เขารู้เยอะว่าแต่ละอย่างทำยังไง แต่เขาเลือกที่จะไม่ทำของยาก ตอนนี้เป็นหล่อเลือกได้ ไม่จำเป็นต้องทำทุกอย่าง”

คุณตันรู้ว่า ธุรกิจร้านอาหารบุฟเฟต์ ทำอย่างไร แต่เขาไม่อยากบริหารร้านอาหารแล้ว เพราะต้องยุ่งกับคนจำนวนมาก

เขาเปรียบเทียบโออิชิมีพนักงานเป็นหมื่นคน รายได้หมื่นล้าน
ตอนนี้อิชิตันมีรายได้หมื่นล้านเหมือนกัน แต่มีพนักงานหลักร้อยคน..

คุณตันบอกว่า ธุรกิจที่มีแต่คนบอกว่าดี คือไม่ดี แต่ธุรกิจที่ยังไม่มีใครเห็นและมีเชื้อว่าจะดี คือสิ่งที่น่าทำกว่า

การเลือกที่จะไม่ทำสำคัญมาก สอดคล้องกับคุณรวิศ SRICHAND ที่บอกว่าในยุค AI ที่ช่วยทุ่นแรงเรามาก เราต้องเลือกที่จะไม่ทำงานที่มี Value น้อย แล้วเหลือเวลาไปทำงานที่มี Value มากแทน

3) ผู้ประกอบการ 1,000 ล้าน เก่งในการสร้างภาพจำของตัวสินค้า

คุณปุ๋ย PAÑPURI เล่ากว่าการตั้งชื่อกลิ่นหอม ชื่อคอลเลกชัน ทุกอย่างต้องมี Storytelling ให้ลูกค้าจดจำเรื่องราวของแบรนด์ได้

คุณอู๋ โอ้กะจู๋ บอกเบื้องหลัง Oh! Juice ที่เน้นการเป็นที่จดจำของของเมนู เพื่อแข่งขันในตลาดนี้

คุณเคน 1:2 Coffee บอกว่าสิ่งที่เป็นภาพจำของร้านคือ เครื่องชงกาแฟราคาสูง โถกาแฟ 5 โถ และไฟ 3 เส้น ที่ทำให้ทุกคนที่เข้ามาร้านจะรู้ว่านี่คือ 1:2 Coffee

คุณปลา iberry บอกว่า อาหารนอกจากรสชาติอร่อยแล้ว ต้องขึ้นกล้อง และคนจะมาทานอาหารที่ร้านต้องมีภาพตั้งแต่ก่อนเข้าร้านแล้วว่านึกถึงร้านนี้จะนึกถึงเมนูอะไร

คุณหนุ่ย ณัฐพล นักการตลาดบอกว่า สิ่งสำคัญคือประสบการณ์ที่ลูกได้รับทั้งหมดจาก Journey การใช้สินค้าหรือบริการนั้น

คุณดลชัย นักสร้างแบรนด์บอกว่า เราต้องรู้จักตัวตนของเราว่าอยากเป็นใครในสายตาลูกค้า และทำภาพให้ชัดเจนกับลูกค้าในสิ่งนั้น

4) ผู้ประกอบการ 1,000 ล้าน ชอบเรียนรู้ จากความล้มเหลว หรือจุดอ่อนของตัวเอง

คุณเฟมจาก Aura Bangkok Clinic บอกว่าในช่วงแรกพนักงานลาออกพร้อมกัน ด้วยการกดออกจากลุ่มไลน์ รวมถึง Cofounder ก็ตัดสินใจแยกทางกัน เป็นช่วงที่ fail ที่สุด แต่เขาก็เรียนรู้และสร้างขึ้นมาใหม่

คุณชาร์ป Shinkanzen เรียนรู้ว่าร้านอาหารในมหาวิทยาลัย มีจุดอ่อนคือ ช่วงเวลาปิดเทอมจะยอดขายหายไปเลย เขาจึงขยายไปในเมือง ที่ที่จะขายอาหารได้ตลอดเวลา

คุณเคน 1:2 Coffee บอกว่าในตอนแรกเริ่มจากเปิดร้านคาเฟ่แมว แล้วก็มาเปิดร้านกาแฟในร้านวัสดุก่อสร้าง ชื่อ Half Ounce ก็ไม่ได้ขายดีนัก จนเรียนรู้ว่าต้องปรับอะไร และกลายมาเป็น 1:2 Coffee

สรุปแล้ว การที่จะเป็นผู้ประกอบการให้สำเร็จนั้น มันไม่ใช่การนั่งอยู่เฉย ๆ รอลูกค้าเดินเข้ามา
แต่ลงทุนแมนคิดว่าเป็นการ..
1.รู้จักเพิ่มความเก่ง ความเชี่ยวชาญในธุรกิจของเรา
2.รู้จักว่าตัวเองจะสู้ในการแข่งขันไหน
3.รู้จักการทำสินค้าและบริการของเรา “ชัดเจนและประทับใจ” ในความรู้สึกลูกค้า
4.และสุดท้ายคือรู้จักเรียนรู้จากสิ่งผิดพลาด นำสิ่งนั้นมาต่อยอดปรับปรุงไปเรื่อย ๆ

ปิดท้ายด้วยคำพูดของ ดร.แสงสุข จาก DENTISTE' และ SmoothE บอกว่า สิ่งสำคัญที่สุดของการทำธุรกิจ คือการที่เรามี “จิตวิญญาณของความเป็นผู้ประกอบการ” หรือ Entrepreneurship นั่นเอง..

#TheEntrepreneurForum2025 #ลงทุนแมน

ใครพลาดบัตรวันงาน The Entrepreneur Forum 2025 สามารถจองบัตร RERUN ONLINE เพื่อรับชมย้อนหลังได้ที่ลิงก์นี้ https://www.zipeventapp.com/e/The-Entrepreneur-Forum-2025 (จำนวนจำกัด) 

🎫 บัตร Rerun Online ราคา 1,490 บาท 
สามารถรับชมย้อนหลังได้ ทั้งในห้อง Main stage ทั้งหมด 8 Session รวมถึงสามารถรับชม Workshop ทั้งหมด 5 ห้อง

The Entrepreneur Forum 2025 งานนี้เหมาะสำหรับใคร ?
✅ ผู้ประกอบการ-ผู้บริหาร ธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก
✅ ผู้ที่สนใจมีธุรกิจเป็นของตัวเอง
✅ ผู้หาความรู้เกี่ยวกับการทำธุรกิจ
✅ ผู้ที่ต้องการสร้างแบรนด์เป็นของตัวเอง

จองบัตร RERUN เพื่อรับชมย้อนหลังได้ที่ลิงก์นี้ https://www.zipeventapp.com/e/The-Entrepreneur-Forum-2025 (จำนวนจำกัด)

ที่มา
ลงทุนแมน

การใช้เกียร์ D ขึ้นเขาและลงเขามีข้อควรระวังและข้อห้ามที่สำคัญดังนี้:

ใครที่ขับรถเกียร์ออโต้ ขึ้นเขาและลงเขา ใช้แต่เกียร์ D ต้องเปลี่ยนพฤติกรรม ในการขับแบบนี้เสียนะครับ ❗🔥

การใช้เกียร์ D ขึ้นเขาและลงเขามีข้อควรระวังและข้อห้ามที่สำคัญดังนี้:
ขึ้นเขา ↗️

ข้อห้ามและข้อควรระวัง:

1. ห้ามเหยียบคันเร่งหนักๆ และลากรอบสูงตลอดเวลา เพราะจะทำให้เกียร์และเครื่องยนต์ร้อนจัด เสี่ยงต่อการเสียหาย

2. อย่าใช้ความเร็วสูงต่อเนื่อง เพราะการขึ้นเขาใช้แรงบิดมาก การเร่งแรงๆ ต่อเนื่องจะทำให้ระบบระบายความร้อนทำงานหนัก

3. อย่าใช้เกียร์ D อย่างเดียวตลอดทาง หากชันมากควรเปลี่ยนเป็นเกียร์ต่ำ (L หรือ S หรือ B แล้วแต่รถ) เพื่อให้เครื่องยนต์ช่วยดึงกำลังได้ดีขึ้น

---

ลงเขา ↘️

ข้อห้ามและข้อควรระวัง:

1. ห้ามเหยียบเบรกค้างยาวๆ เพราะจะทำให้เบรกไหม้ เบรกไม่อยู่

2. อย่าใช้เกียร์ D ลงทางชันยาวๆ เพราะเกียร์ D จะเปลี่ยนเกียร์สูงเอง ทำให้เบรกทำงานหนักมาก ควรเปลี่ยนเป็นเกียร์ต่ำ (L หรือ S หรือ B)

3. ห้ามปลดเกียร์ว่าง (N) เพราะจะทำให้รถไหลเร็วขึ้นและควบคุมยาก

4. อย่าใช้ความเร็วสูงเกินไป โดยเฉพาะทางโค้งหรือลาดชัน

สรุปง่ายๆ: 🌐

↗️ ขึ้นเขา: เน้นใช้เกียร์ต่ำ ช่วยเพิ่มแรงดึง

↘️ ลงเขา: ใช้เกียร์ต่ำ ให้เครื่องยนต์ช่วยหน่วง ไม่ใช้เบรกอย่างเดียว

ถ้าขับเกียร์ออโต้รุ่นใหม่ บางรุ่นอาจมีระบบช่วยลงเขา (Hill Descent Control) ถ้ามีก็เปิดใช้ได้เลย จะช่วยได้เยอะ


#ขับรถขึ้นเขา #ขับรถลงเขา #ขับรถเกียร์ออโต้ #รถเกียร์ออโต้

สวนเกษตร “โคก–หนอง–นา โมเดล” เกษตรผสมผสาน–พอเพียง “กิน–เหลือ–ขาย”

📗 สวนเกษตร “โคก–หนอง–นา โมเดล” เกษตรผสมผสาน–พอเพียง “กิน–เหลือ–ขาย” ไอเดียการผสมผสานทรัพยากรให้คุ้มค่า มีที่ดอน (โคก) มีแหล่งน้...