วันอังคารที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2568

ถอดบทเรียน​ ​การตลาดเจนนี่100 ล้าน

[1] เมื่อสองสามวันก่อนผมได้มีโอกาสติดตามเรื่องราว
ของเจนนี่ ได้หมดถ้าสดชื่น เหมือนกับทุกคน 😂
ที่กลายเป็นปรากฏการณ์ระดับชาติในพริบตา 
ทำยอดขายเป็นร้อยล้านบาทใน 3 วัน 
ผ่านการไลฟ์ขายของบน TikTok
.
เรื่องราวของเจนนี่นี่ไม่ใช่แค่เรื่องของ
นักร้องคนหนึ่งที่ขายของเก่ง 
แต่เป็นบทเรียนการตลาดที่ซับซ้อนและ
ลึกซึ้งมากกว่าที่หลายคนคิด มีหลักจิตวิทยาผู้บริโภค
กลยุทธ์ที่ซ่อนอยู่เบื้องหลัง และการใช้เทคโนโลยี
อย่างชาญฉลาด 
.
ผมเลยอยากลองเล่ามุมความคิดที่ผมรวบรวมความสำเร็จ 2-3 วันนี้ของเจนนี่ออกมาให้ฟังกันครับ...
[2] บทเรียนที่ 1 พลิกวิกฤตสู่โอกาส
.
เรื่องราวเริ่มต้นจากดราม่าครอบครัว
ระหว่างเจนนี่กับแม่เกตุที่ระเบิดออกมาอย่างรุนแรง 
คนทั่วไปคงเลือกที่จะหลบซ่อนหรือเงียบเฉย 
.
แต่เจนนี่กลับเลือกที่จะเผชิญหน้าและ
ใช้ประโยชน์จากความสนใจที่เกิดขึ้น 
เธอไม่ได้หนีดราม่า แต่เธอควบคุมกระแส
ด้วยการออกมาเล่าเรื่องราวในมุมของตัวเอง

Timeline ที่น่าสนใจของการพลิกวิกฤตคือ 
วันที่ 9 ตุลาคม แม่เกตุขู่จะไลฟ์แฉ 
เจนนี่รีบโพสต์แชทก่อนเพื่อควบคุมกระแส 
พอถึงวันที่ 10 ตุลาคม แม่เกตุไลฟ์ตอน 11.00 น. 
เจนนี่ก็ไลฟ์ตอบทันที ไม่ให้กระแสเย็นตัวลง 
เลยเริ่มไลฟ์ขายของในทันที 
ผลลัพธ์ที่ตามมาคือยอดขาย 24 ล้านบาทในวันแรก
.
ในยุคที่ความสนใจคือสกุลเงินใหม่ สิ่งที่เรียกว่า Attention Economy นั้นมีกฎอยู่สามข้อ 
.
หนึ่งคือ ความสนใจเป็นของหายาก คนมีเวลาจำกัด 
ใครได้ความสนใจคนชนะ 
.
สองคือ ความสนใจในแง่ลบก็ยังเป็นความสนใจ สามารถพลิกได้ถ้าใช้เป็น 
.
และสามคือ ความเร็วสำคัญมาก 
ต้องใช้ประโยชน์จากความสนใจให้เร็วก่อน
ที่กระแสจะเย็นตัวลง
.
เจนนี่ทำได้ทั้งสามข้อนี้อย่างสมบูรณ์แบบ
บทเรียนสำหรับธุรกิจทั่วไปก็คือ 
เมื่อเกิดวิกฤต อย่าหนี แต่จงพลิกเป็นโอกาส 
แน่นอนว่าต้องทำด้วยความระมัดระวัง
แต่ถ้าทำถูกวิธี วิกฤตก็สามารถกลาย
เป็นจุดเปลี่ยนที่ยิ่งใหญ่ได้

[3] บทเรียนที่ 2 พลังของความเปราะบาง
.
สิ่งที่ทำให้เจนนี่แตกต่างจากคนอื่นคือ
เธอไม่ได้พยายามสร้างภาพว่าตัวเองสมบูรณ์แบบ 
เธอยอมรับความเหนื่อยล้า ความเครียด 
แม้กระทั่งเรื่องที่เกือบแท้งลูก 
เธอแสดงความเปราะบางอย่างตรงไปตรงมา
.
ประโยคที่ทรงพลังที่สุดที่เจนนี่พูดคือ 
"ที่ผ่านมา เจนนี่แตกสลายกับเรื่องหนี้ของแม่มาตลอด 
เครียด ร้องไห้ เข้าโรงพยาบาล 
และหมอก็แนะนำไม่ให้ตั้งท้อง เพราะท้องก็จะแท้งอีก"
.
ประโยคนี้ทำให้คนรู้สึกสามอย่าง 
หนึ่งคือเห็นใจ เพราะเธอก็เป็นมนุษย์
ที่มีความทุกข์เหมือนกัน 
.
สองคือเชื่อมโยง 
เพราะหลายคนก็มีปัญหาครอบครัวเหมือนกัน 
.
และสามคืออยากช่วย 
การซื้อของจึงกลายเป็นการแสดงการสนับสนุนเธอ
.
ความเปราะบางสร้างความเชื่อมโยงมากกว่า
การแสดงความแข็งแกร่ง
.
ทำไมความอ่อนแอถึงขายได้? 
เพราะมีหลักจิตวิทยาสามประการที่ทำงานอยู่ 
.
หนึ่งคือ สมองคนชอบสิ่งที่ "จริง" มากกว่าสิ่งที่ "ปลอม" 
.
สองคือ Empathy Trigger ความเปราะบาง
กระตุ้นความเห็นอกเห็นใจ 
.
และสามคือ Underdog Effect 
คนชอบเชียร์คนที่กำลังสู้ชีวิต
.
เจนนี่ใช้หลักการนี้ได้อย่างดีเยี่ยม
เธอไม่ได้แสดงว่าตัวเองเก่ง แข็งแรง 
แต่เธอแสดงว่าตัวเองก็เหมือนคนทั่วไป 
มีปัญหา มีความทุกข์ และกำลังพยายามสู้
.
อย่ากลัวที่จะแสดงด้านที่ไม่สมบูรณ์แบบ 
คุณสามารถสร้างไอเดียคอนเทนต์
ที่ใช้ Vulnerability ได้หลายแบบ 
.
เช่น "วันที่ล้มเหลว" Series ที่เล่าถึง
วันที่เราเปิดร้านครั้งแรกมีลูกค้าแค่สองคน 
.
หรือครั้งหนึ่งเราทำผิดพลาดส่งของผิดคน 50 ออเดอร์ หรือเกือบปิดกิจการเพราะโควิด แต่ลูกค้าช่วยพยุง
.
หรือจะเป็น "เบื้องหลังความสำเร็จ" Content ที่เล่าว่า ก่อนที่จะขายได้ 1 ล้าน เราเคยขาดทุน 500,000 
.
หรือทุกคืนวันศุกร์ เราต้องนอนที่โรงงาน
เพื่อตรวจสอบคุณภาพ
.
แต่มีกฎสำคัญที่ต้องจำไว้ 
หนึ่งคือ ต้องแสดงความเปราะบางที่จริงใจ 
ต้องเป็นเรื่องจริง ไม่ใช่แต่ง 
.
สองคือ แสดงพร้อมทางออก ไม่ใช่แค่บ่น 
แต่แสดงว่ากำลังแก้ไข
.
สามคืออย่าโอเวอร์ อย่าร้องไห้ทุกวัน คนจะเบื่อ
[4] บทเรียนที่สาม 
“ต้องตอนนี้หรือรอก่อนจะไม่มีวันได้"
.
กลยุทธ์ที่เจนนี่ใช้สร้างความเร่งด่วนนั้นน่าสนใจ
และซับซ้อนมาก ไม่ใช่แค่บอกว่าของจำกัด 
แต่มีกลไกทั้งระบบที่บีบให้คนต้องตัดสินใจเร็ว
.
กลไกการสร้าง Urgency ทำงานแบบนี้ 
เจ้าของแบรนด์จ่ายเงินให้เจนนี่ตะกร้าละ 50,000 บาท ไลฟ์เพียง 5-10 นาที ตั้งเป้าหมาย 1,000 ออเดอร์ 
.
พอครบ 1,000 ออเดอร์ หรือนาฬิกาจับครบเวลา
ก็เอาสินค้าลงทันที 
.
ผลลัพธ์คือคนรีบสั่งเพราะกลัวพลาด
ตัวเลขที่พิสูจน์ความสำเร็จของกลยุทธ์นี้น่าทึ่งมาก 
กาละแมร์ใช้เวลา 10 นาทีทำยอดขาย 10 ล้านบาท 
นั่นคือ 1 ล้านบาทต่อนาที 
.
ต้นหอมไม่ถึง 5 นาทีได้ 5 ล้านบาท 
น้องฉัตร 3 นาทีได้ 2.6 ล้านบาท 
พี่หนุ่ม 10 นาทีได้ 19 ล้านบาท
.
"คนกลัวการสูญเสียมากกว่า ชอบการได้รับถึง 2 เท่า"
.
ถ้าจะสรุปเป็นสมการจิตวิทยาก็คือ 
เวลาจำกัด + จำนวนจำกัด = 
การซื้อแบบตื่นตระหนก 
หรือที่เรียกว่า Panic Buying นั่นเอง 
(ซึ่งแมนยูทีมรักของผมชอบทำ
ท้ายตลาดนักเตะวันสุดท้ายตลอด 😂)
.
สิ่งที่เกิดขึ้นคือความรู้สึก FOMO ที่รุนแรงมาก 
คนไม่กลัวว่าจะเสียเงิน แต่กลัวว่าจะพลาดโอกาส
.
แต่มีข้อควรระวังสำคัญ 
หนึ่งคือ ต้องจริง อย่าโกหกว่าเหลือ 5 ชิ้น แต่จริงๆ 
.
สองคือ อย่าใช้บ่อยเกินไป 
ถ้าทุกวันเป็น "วันสุดท้าย" คนจะเคยชินแล้วเบื่อ
.
และสามคือ ต้องเคารพลูกค้า 
ไม่ใช่หลอกให้ซื้อด้วยความตื่นตระหนก 
แต่เป็นการเสนอดีลดีจริงๆ ในเวลาจำกัด

[5] บทเรียนที่สี่ Algorithm คือหุ้นส่วนเงียบ
.
สิ่งที่หลายคนมองข้ามและเป็นจุดที่ลึกลับที่สุด
ของความสำเร็จของเจนนี่นี่คือ 
.
เธอเข้าใจว่าไม่ใช่แค่เธอคนเดียวที่ขาย 
แต่มี TikTok Algorithm ช่วยขายด้วย
.
การที่เธอสร้างยอดขายสูงมหาศาลในช่วงเวลาสั้นๆ เป็นการส่งสัญญาณให้ระบบ AI รู้ว่า "สินค้านี้ขายดี" 
.
"ไลฟ์นี้คนสนใจ" 
"เจนนี่คนนี้สร้าง Engagement ได้สูง" 
และระบบก็จะช่วยดันต่อโดยอัตโนมัติ
.
จิตวิทยาเบื้องหลังคือ The Flywheel Effect 
ที่ Jim Collins นักเขียนหนังสือชื่อดังที่ผมชอบมาก 
.
“เมื่อวงล้อเริ่มหมุน มันจะหมุนเร็วขึ้นเรื่อยๆ 
โดยใช้แรงน้อยลง”
.
Flywheel ของเจนนี่ทำงานแบบนี้ 
เริ่มจากเจนนี่ไลฟ์ขายปัง ยอดสูงใน 10 นาที 
Algorithm ของ TikTok ตรวจจับว่า "สินค้านี้ขายดี" 
จึงดันสินค้าขึ้น For You และ Shop Feed 
.
ทำให้คนเห็นมากขึ้น คนซื้อมากขึ้น Algorithm 
ก็ดันต่อเนื่อง ส่งผลให้ยอดหลังไลฟ์
ของสินค้านั้นๆยังคงวิ่งต่อ
.
Creator คนอื่นเห็นว่าสินค้านี้ขายดี 
ก็เอาไปขายต่อ ระบบก็ดัน Creator เหล่านั้นด้วย 
เกิดเป็น Viral Loop ที่วนซ้ำไม่หยุด
.
แล้วที่สำคัญมากคือ AI ของ TikTok 
จดจำใบหน้าของเจนนี่ได้แล้วว่า 
คนนี้ทำให้คนดูมี Engagement ในไลฟ์
และคอนเทนต์สูงมาก ทำเกืดกระแสสังคม 
และมีคนดังร่วมไลฟ์ มีคนทำคอนเทนต์
พูดถึงเจนนี่เป็นจำนวนมาก
.
ทำให้คะแนนที่ AI ใน TikTok ให้กับเจนนี่สูงมากๆ 
และไม่ใช่แค่ TikTok รวมไปถึงแพลตฟอร์มอื่น
อย่าง Facebook ด้วย 
.
เมื่อมีหน้าเจนนี่ปรากฏในคอนเทนต์ AI 
ก็ให้คะแนนสูง ชอบ ดันการเข้าถึง
และเป็นกระแสในสังคม
.
คนที่เสพคอนเทนต์ก็ยิ่งหยุดดูคอนเทนต์
หรือไลฟ์ของเจนนี่ไว้ตลอด 
.
เป็นผลทำให้การเข้าถึงของเจนนี่ทะลุโลกไปเลย 
จากการพลิกเรื่องดราม่าที่เป็นเรื่องอารมณ์ 
สร้างยอดขายมหาศาลให้กับตัวเจนนี่และแบรนด์ต่างๆ 
ที่ได้ร่วมงานกัน
.
นี่คือสิ่งที่คนส่วนใหญ่มองไม่เห็น 
Algorithm ไม่ใช่ศัตรู 
แต่เป็นหุ้นส่วนที่ทรงพลัง ถ้าคุณรู้วิธีทำงานร่วมกับเขา

[6] บทเรียนที่ห้า Social Proof หลายชั้น
ทำคนดูไลฟ์รู้สึกสนุกและติดตามต่อ
.
เจนนี่ไม่ได้ขายคนเดียว 
เธอสร้าง Social Proof หลายชั้นที่ทำงานพร้อมกัน
.
ขั้นแรกคือ Celebrity Endorsement 
เจนนี่เองก็เป็นคนดัง คนรู้จัก มีฐานแฟนคลับอยู่แล้ว
.
ขั้นที่สองคือ Influencer Endorsement 
มีดาราคนอื่นมาร่วมไลฟ์ 
เช่น เจนนี่ไลฟ์กับกาลาแม พี่หนุ่ม คุณณวัฒน์
.
ขั้นที่สามคือ Emotional Testimonial 
เจ้าของแบรนด์น้ำตาแตกขณะที่เห็นยอดขายพุ่งสูง 
นี่คือ Social Proof ที่ทรงพลังมาก
.
ขั้นที่สี่คือ Crowd Validation คนดูแสนคน 
เมื่อคนเห็นว่ามีคนดูเยอะ พวกเขาก็จะคิดว่า 
"ถ้าคนเยอะขนาดนี้มาดู แสดงว่าน่าสนใจแน่"
.
ขั้นที่ห้าคือ Purchase Proof คนสั่งซื้อเป็นพัน 
เจนนี่แสดงยอดออเดอร์แบบเรียลไทม์ 
ทำให้คนที่กำลังดูคิดว่า 
"คนอื่นเขาซื้อกันเยอะ ของคงดีแน่"
.
"คนมักทำตามสิ่งที่คนอื่นทำ โดยเฉพาะเมื่อไม่แน่ใจ"
.
ความไม่แน่ใจ + Social Proof = การตัดสินใจทำตาม
.
แต่มีกฎสำคัญ Social Proof ต้องจริง ถ้าปลอม เค
เมื่อโดนจับได้ จะเสียความเชื่อถือทั้งหมดในพริบตา
.
ที่สำคัญถึงทุกอย่างจะมี Social Proof มาก็ตาม
แต่ถ้าเจนนี่ไม่ไลฟ์ให้สนุก คือ แทบจบเลย
.
ซึ่งเจนนี่สามารถทำสิ่งนี้ได้ดีมาก
ทำให้คนดูสนุก อยากมีส่วนร่วมตลอดเวลา
ทำให้ไม่รู้สึกน่าเบื่อ และน่าติดตามต่อ

[7] บทเรียนที่หก ความสม่ำเสมอชนะความสมบูรณ์แบบ
.
เจนนี่ไลฟ์มาราธอน 17-18 ชั่วโมงต่อเนื่อง
เป็นเวลา 3 วันติด นี่ไม่ใช่เรื่องง่าย 
.
ลองจินตนาการดูว่าคุณต้องพูดขายของติดต่อกัน
เกือบ 20 ชั่วโมงโดยไม่หยุด ต้องใช้ทั้งพลังกาย 
พลังใจ และความมุ่งมั่นอย่างสูง
.
Timeline การไลฟ์ที่น่าทึ่ง 
วันที่ 1 ไลฟ์ 18 ชั่วโมงได้ 24 ล้านบาท 
วันที่ 2 ไลฟ์ 17 ชั่วโมงได้ 33 ล้านบาท 
วันที่ 3 ไม่รู้ไปจบที่กี่ชั่วโมง
แต่ยอดพุ่งไปที่ 100 ล้านบาทแล้ว
(ถ้าตัวเลขผิดขออภัยด้วยนะครับ)
.
การทำนี้แสดงให้เห็นถึงสามสิ่ง 
หนึ่งคือความตั้งใจจริง ไม่ใช่แค่มาเล่นๆ 
สองคือความทุ่มเท ยอมเหนื่อยเพื่อลูกค้า 
และสามคือความน่าเชื่อถือ ทำจริง ไม่ใช่แค่พูด
.
"ความสำเร็จคือผลรวมของการกระทำเล็กๆ 
ที่ทำซ้ำๆ อย่างสม่ำเสมอ"
.
การตัดสินใจเล็กๆ ที่ฉลาด + ความสม่ำเสมอ
+ เวลา = ความแตกต่างอย่างมหาศาล
.
“คนที่ประสบความสำเร็จคือคนที่รู้จักทุ่มสุดตัวในโอกาสทอง 
คนที่ประสบความสำเร็จมักจะ "all in" 
ในจังหวะที่ถูกต้อง”
.
เจนนี่ทำทั้งสองอย่าง ทั้งทำงานหนักอย่างสม่ำเสมอ 
และ all in ในโอกาสที่มาถึง​

[8] บทเรียนที่เจ็ด สร้างความไว้วางใจ
.
เมื่อมีคนแซะว่า "ดราม่าเป็นคอนเทนต์" 
"ทำละครกันอยู่" เจนนี่ไม่ได้เงียบหรือโมโห 
.
แต่เธอประกาศพร้อม เพื่อพิสูจน์ว่าไม่ใช่แค่ละคร
ลงมือทำเพื่แแสดงความโปร่งใส
.
"ยิ่งโปร่งใส ยิ่งน่าเชื่อถือ แม้จะมีข้อบกพร่อง"
.
คนยอมรับข้อบกพร่องได้ ถ้ารู้ความจริง 
มากกว่าถูกหลอก
.
แต่มีข้อควรระวัง ความโปร่งใสต้องมีขอบเขต 
ไม่ใช่ทุกอย่างต้องเปิดเผยหมด 
บางอย่างเป็นความลับทางธุรกิจ 
บางอย่างเป็นความเป็นส่วนตัว ต้องรู้จักสมดุล
.
และความโปร่งใสต้องมาพร้อมความรับผิดชอบ 
ถ้าเปิดเผยแล้วมีปัญหา ต้องรับผิดชอบและแก้ไข 
ไม่ใช่เปิดเผยแล้วทิ้ง

[9] สูตรความสำเร็จของเจนนี่
ผมสามารถสรุปเป็นสูตรความสำเร็จของเจนนี่ได้ดังนี้
.
วิกฤต × ความเปราะบาง × ความเร่งด่วน × Algorithm × Social Proof × ความสม่ำเสมอ × ความโปร่งใส 
= ความสำเร็จแบบไวรัลชั่วข้ามคืน
.
แต่ถ้าจะอธิบายแบบละเอียดก็คือ
วิกฤต ไม่ใช่สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยง 
แต่เป็นโอกาสที่ควรใช้ประโยชน์ 
ถ้าเรารู้วิธีพลิกกระแส
.
ความเปราะบาง ไม่ใช่จุดอ่อน 
แต่เป็นพลังที่สร้างความเชื่อมโยงกับผู้คน
.
ความเร่งด่วน (Urgency) 
สร้างแรงจูงใจให้คนตัดสินใจเร็ว 
ด้วยการจำกัดเวลาและจำนวน
.
Algorithm คือหุ้นส่วนเงียบที่จะช่วยดันให้เรา 
ถ้าเรารู้วิธีส่งสัญญาณที่ถูกต้อง
.
Social Proof สร้างความน่าเชื่อถือแบบทวีคูณ 
เมื่อคนเห็นคนอื่นทำ พวกเขาก็จะทำตาม
และต้องมีอารมณ์ความรู้สึกร่วมกัน
.
ความสม่ำเสมอ สร้างความมั่นใจว่าเราจริงจัง 
ไม่ใช่มาเล่นๆ
.
ความโปร่งใส สร้างความไว้วางใจที่แท้จริง 
ไม่ใช่แค่พูด แต่ทำให้เห็น
.
แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดที่ผมอยากเน้นก็คือ 
เจนนี่ไม่ได้ประสบความสำเร็จ
เพราะเธอเลียนแบบใคร 
แต่เพราะเธอเป็นตัวของตัวเองอย่างเต็มที่
.
เธอมีความเป็นตัวของตัวเอง ที่ไม่สามารถเลียนแบบได้

[10] ดังนั้นทุกคนที่อ่านถึงตรงนี้
.
จงเป็น "เจนนี่" ในแบบของคุณ
.
ธุรกิจของคุณก็เช่นกัน อย่าพยายามเป็น 
"เจนนี่คนที่สอง" เพราะเจนนี่มีแค่คนเดียว 
และคนจะเปรียบเทียบคุณกับเจนนี่ตัวจริงเสมอ
.
แต่จงเรียนรู้หลักการเบื้องหลังความสำเร็จของเธอ 
แล้วนำมาปรับใช้ในแบบที่เหมาะกับบริบทของคุณ
.
ถ้าธุรกิจคุณไม่มีดราม่า ก็ไม่ต้องไปสร้างดราม่า 
แต่จงหาวิกฤตหรือปัญหาที่คุณมี 
แล้วพลิกมันเป็นเรื่องเล่า (แต่ไม่มีวิกฤตได้จะดีสุด 🥹)
.
ถ้าคุณไม่ใช่คนดัง ก็ไม่ต้องเป็นคนดัง 
แต่จงแสดงความเป็นตัวตนที่จริงใจ คนจะรู้สึกได้
.
ถ้าคุณไม่สามารถไลฟ์ 18 ชั่วโมง 
ก็ไม่ต้องไลฟ์ 18 ชั่วโมง 
แต่จงทำในสิ่งที่คุณถนัดทำอย่างสม่ำเสมอและตั้งใจ
สิ่งสำคัญคือ จงหาจุดแข็งของตัวเอง แล้วใช้มันให้เต็มที่
.
จงจำไว้ว่า 
"การตลาดที่ดีที่สุด ไม่ใช่การหลอกให้คนซื้อ 
แต่เป็นการเล่าเรื่องราวที่จริงใจ 
จนคนอยากเป็นส่วนหนึ่งของเรื่องราวนั้น"
.
นี่คือบทเรียนจากปรากฏการณ์เจนนี่ที่ผมอยากฝากไว้ให้ทุกคนครับ...

เป็นคอนเทนต์ที่ผมใช้เวลาเขียนนานมากเกือบ 2 วัน ลบเขียนแก้ไขเยอะมากจริงๆ 😂
ยิ่งเขียนยิ่งมันส์ 
.
ตามไปนั่งดูไลฟ์สดเอง (ปกติไม่เคยดูไลฟ์ขายของเลย
แถมเกือบซื้อของตามด้วย 55555)
.
นั่งเรียบเรียงสิ่งได้ดูได้เห็นมา
แล้วมาวิเคราะห์กันหลายตลบเลย
การตลาดแบบเจนนี่จะทำตามคือ “ไม่ง่ายแน่นอน” 
แต่ก็มีบางอย่างที่สามารถประยุกต์
ใช้กับธุรกิจได้เยอะจริงๆ
.
ลองหาจุดสมดุลนี้ให้เจอกับธุรกิจของคุณ
คุณอาจทำธุรกิจให้ประสบความสำเร็จ
ในช่วงวิฤกตเศรษฐกิจแบบนี้ได้เหมือนเจนนี่ก็เป็นได้..

ขอบคุณที่อ่านมาถึงตรงนี้นะครับ 🙏🏻

#หัวหน้าแบงค์fullfunnel #เจนนี่สดชื่นได้หมด


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

“แบบฝึกซ้อมฟุตบอลวันหยุดที่บ้าน” เหมาะสำหรับเด็กหรือเยาวชนทุกวัย

“แบบฝึกซ้อมฟุตบอลวันหยุดที่บ้าน” เหมาะสำหรับเด็กหรือเยาวชนทุกวัย ใช้พื้นที่เล็ก ๆ ก็ทำได้ (หน้าบ้าน / ลาน / สนามเล็ก ๆ) ใช้เวลาเพียง 45–60 น...