ของเจนนี่ ได้หมดถ้าสดชื่น เหมือนกับทุกคน 😂
ที่กลายเป็นปรากฏการณ์ระดับชาติในพริบตา
ทำยอดขายเป็นร้อยล้านบาทใน 3 วัน
ผ่านการไลฟ์ขายของบน TikTok
เรื่องราวของเจนนี่นี่ไม่ใช่แค่เรื่องของ
นักร้องคนหนึ่งที่ขายของเก่ง
แต่เป็นบทเรียนการตลาดที่ซับซ้อนและ
ลึกซึ้งมากกว่าที่หลายคนคิด มีหลักจิตวิทยาผู้บริโภค
กลยุทธ์ที่ซ่อนอยู่เบื้องหลัง และการใช้เทคโนโลยี
อย่างชาญฉลาด
.
ผมเลยอยากลองเล่ามุมความคิดที่ผมรวบรวมความสำเร็จ 2-3 วันนี้ของเจนนี่ออกมาให้ฟังกันครับ...
[2] บทเรียนที่ 1 พลิกวิกฤตสู่โอกาส
.
เรื่องราวเริ่มต้นจากดราม่าครอบครัว
ระหว่างเจนนี่กับแม่เกตุที่ระเบิดออกมาอย่างรุนแรง
คนทั่วไปคงเลือกที่จะหลบซ่อนหรือเงียบเฉย
.
แต่เจนนี่กลับเลือกที่จะเผชิญหน้าและ
ใช้ประโยชน์จากความสนใจที่เกิดขึ้น
เธอไม่ได้หนีดราม่า แต่เธอควบคุมกระแส
ด้วยการออกมาเล่าเรื่องราวในมุมของตัวเอง
Timeline ที่น่าสนใจของการพลิกวิกฤตคือ
วันที่ 9 ตุลาคม แม่เกตุขู่จะไลฟ์แฉ
เจนนี่รีบโพสต์แชทก่อนเพื่อควบคุมกระแส
พอถึงวันที่ 10 ตุลาคม แม่เกตุไลฟ์ตอน 11.00 น.
เจนนี่ก็ไลฟ์ตอบทันที ไม่ให้กระแสเย็นตัวลง
เลยเริ่มไลฟ์ขายของในทันที
ผลลัพธ์ที่ตามมาคือยอดขาย 24 ล้านบาทในวันแรก
.
ในยุคที่ความสนใจคือสกุลเงินใหม่ สิ่งที่เรียกว่า Attention Economy นั้นมีกฎอยู่สามข้อ
.
หนึ่งคือ ความสนใจเป็นของหายาก คนมีเวลาจำกัด
ใครได้ความสนใจคนชนะ
.
สองคือ ความสนใจในแง่ลบก็ยังเป็นความสนใจ สามารถพลิกได้ถ้าใช้เป็น
.
และสามคือ ความเร็วสำคัญมาก
ต้องใช้ประโยชน์จากความสนใจให้เร็วก่อน
ที่กระแสจะเย็นตัวลง
.
เจนนี่ทำได้ทั้งสามข้อนี้อย่างสมบูรณ์แบบ
บทเรียนสำหรับธุรกิจทั่วไปก็คือ
เมื่อเกิดวิกฤต อย่าหนี แต่จงพลิกเป็นโอกาส
แน่นอนว่าต้องทำด้วยความระมัดระวัง
แต่ถ้าทำถูกวิธี วิกฤตก็สามารถกลาย
เป็นจุดเปลี่ยนที่ยิ่งใหญ่ได้
[3] บทเรียนที่ 2 พลังของความเปราะบาง
.
สิ่งที่ทำให้เจนนี่แตกต่างจากคนอื่นคือ
เธอไม่ได้พยายามสร้างภาพว่าตัวเองสมบูรณ์แบบ
เธอยอมรับความเหนื่อยล้า ความเครียด
แม้กระทั่งเรื่องที่เกือบแท้งลูก
เธอแสดงความเปราะบางอย่างตรงไปตรงมา
.
ประโยคที่ทรงพลังที่สุดที่เจนนี่พูดคือ
"ที่ผ่านมา เจนนี่แตกสลายกับเรื่องหนี้ของแม่มาตลอด
เครียด ร้องไห้ เข้าโรงพยาบาล
และหมอก็แนะนำไม่ให้ตั้งท้อง เพราะท้องก็จะแท้งอีก"
.
ประโยคนี้ทำให้คนรู้สึกสามอย่าง
หนึ่งคือเห็นใจ เพราะเธอก็เป็นมนุษย์
ที่มีความทุกข์เหมือนกัน
.
สองคือเชื่อมโยง
เพราะหลายคนก็มีปัญหาครอบครัวเหมือนกัน
.
และสามคืออยากช่วย
การซื้อของจึงกลายเป็นการแสดงการสนับสนุนเธอ
.
ความเปราะบางสร้างความเชื่อมโยงมากกว่า
การแสดงความแข็งแกร่ง
.
ทำไมความอ่อนแอถึงขายได้?
เพราะมีหลักจิตวิทยาสามประการที่ทำงานอยู่
.
หนึ่งคือ สมองคนชอบสิ่งที่ "จริง" มากกว่าสิ่งที่ "ปลอม"
.
สองคือ Empathy Trigger ความเปราะบาง
กระตุ้นความเห็นอกเห็นใจ
.
และสามคือ Underdog Effect
คนชอบเชียร์คนที่กำลังสู้ชีวิต
.
เจนนี่ใช้หลักการนี้ได้อย่างดีเยี่ยม
เธอไม่ได้แสดงว่าตัวเองเก่ง แข็งแรง
แต่เธอแสดงว่าตัวเองก็เหมือนคนทั่วไป
มีปัญหา มีความทุกข์ และกำลังพยายามสู้
.
อย่ากลัวที่จะแสดงด้านที่ไม่สมบูรณ์แบบ
คุณสามารถสร้างไอเดียคอนเทนต์
ที่ใช้ Vulnerability ได้หลายแบบ
.
เช่น "วันที่ล้มเหลว" Series ที่เล่าถึง
วันที่เราเปิดร้านครั้งแรกมีลูกค้าแค่สองคน
.
หรือครั้งหนึ่งเราทำผิดพลาดส่งของผิดคน 50 ออเดอร์ หรือเกือบปิดกิจการเพราะโควิด แต่ลูกค้าช่วยพยุง
.
หรือจะเป็น "เบื้องหลังความสำเร็จ" Content ที่เล่าว่า ก่อนที่จะขายได้ 1 ล้าน เราเคยขาดทุน 500,000
.
หรือทุกคืนวันศุกร์ เราต้องนอนที่โรงงาน
เพื่อตรวจสอบคุณภาพ
.
แต่มีกฎสำคัญที่ต้องจำไว้
หนึ่งคือ ต้องแสดงความเปราะบางที่จริงใจ
ต้องเป็นเรื่องจริง ไม่ใช่แต่ง
.
สองคือ แสดงพร้อมทางออก ไม่ใช่แค่บ่น
แต่แสดงว่ากำลังแก้ไข
.
สามคืออย่าโอเวอร์ อย่าร้องไห้ทุกวัน คนจะเบื่อ
[4] บทเรียนที่สาม
“ต้องตอนนี้หรือรอก่อนจะไม่มีวันได้"
.
กลยุทธ์ที่เจนนี่ใช้สร้างความเร่งด่วนนั้นน่าสนใจ
และซับซ้อนมาก ไม่ใช่แค่บอกว่าของจำกัด
แต่มีกลไกทั้งระบบที่บีบให้คนต้องตัดสินใจเร็ว
.
กลไกการสร้าง Urgency ทำงานแบบนี้
เจ้าของแบรนด์จ่ายเงินให้เจนนี่ตะกร้าละ 50,000 บาท ไลฟ์เพียง 5-10 นาที ตั้งเป้าหมาย 1,000 ออเดอร์
.
พอครบ 1,000 ออเดอร์ หรือนาฬิกาจับครบเวลา
ก็เอาสินค้าลงทันที
.
ผลลัพธ์คือคนรีบสั่งเพราะกลัวพลาด
ตัวเลขที่พิสูจน์ความสำเร็จของกลยุทธ์นี้น่าทึ่งมาก
กาละแมร์ใช้เวลา 10 นาทีทำยอดขาย 10 ล้านบาท
นั่นคือ 1 ล้านบาทต่อนาที
.
ต้นหอมไม่ถึง 5 นาทีได้ 5 ล้านบาท
น้องฉัตร 3 นาทีได้ 2.6 ล้านบาท
พี่หนุ่ม 10 นาทีได้ 19 ล้านบาท
.
"คนกลัวการสูญเสียมากกว่า ชอบการได้รับถึง 2 เท่า"
.
ถ้าจะสรุปเป็นสมการจิตวิทยาก็คือ
เวลาจำกัด + จำนวนจำกัด =
การซื้อแบบตื่นตระหนก
หรือที่เรียกว่า Panic Buying นั่นเอง
(ซึ่งแมนยูทีมรักของผมชอบทำ
ท้ายตลาดนักเตะวันสุดท้ายตลอด 😂)
.
สิ่งที่เกิดขึ้นคือความรู้สึก FOMO ที่รุนแรงมาก
คนไม่กลัวว่าจะเสียเงิน แต่กลัวว่าจะพลาดโอกาส
.
แต่มีข้อควรระวังสำคัญ
หนึ่งคือ ต้องจริง อย่าโกหกว่าเหลือ 5 ชิ้น แต่จริงๆ
.
สองคือ อย่าใช้บ่อยเกินไป
ถ้าทุกวันเป็น "วันสุดท้าย" คนจะเคยชินแล้วเบื่อ
.
และสามคือ ต้องเคารพลูกค้า
ไม่ใช่หลอกให้ซื้อด้วยความตื่นตระหนก
แต่เป็นการเสนอดีลดีจริงๆ ในเวลาจำกัด
[5] บทเรียนที่สี่ Algorithm คือหุ้นส่วนเงียบ
.
สิ่งที่หลายคนมองข้ามและเป็นจุดที่ลึกลับที่สุด
ของความสำเร็จของเจนนี่นี่คือ
.
เธอเข้าใจว่าไม่ใช่แค่เธอคนเดียวที่ขาย
แต่มี TikTok Algorithm ช่วยขายด้วย
.
การที่เธอสร้างยอดขายสูงมหาศาลในช่วงเวลาสั้นๆ เป็นการส่งสัญญาณให้ระบบ AI รู้ว่า "สินค้านี้ขายดี"
.
"ไลฟ์นี้คนสนใจ"
"เจนนี่คนนี้สร้าง Engagement ได้สูง"
และระบบก็จะช่วยดันต่อโดยอัตโนมัติ
.
จิตวิทยาเบื้องหลังคือ The Flywheel Effect
ที่ Jim Collins นักเขียนหนังสือชื่อดังที่ผมชอบมาก
.
“เมื่อวงล้อเริ่มหมุน มันจะหมุนเร็วขึ้นเรื่อยๆ
โดยใช้แรงน้อยลง”
.
Flywheel ของเจนนี่ทำงานแบบนี้
เริ่มจากเจนนี่ไลฟ์ขายปัง ยอดสูงใน 10 นาที
Algorithm ของ TikTok ตรวจจับว่า "สินค้านี้ขายดี"
จึงดันสินค้าขึ้น For You และ Shop Feed
.
ทำให้คนเห็นมากขึ้น คนซื้อมากขึ้น Algorithm
ก็ดันต่อเนื่อง ส่งผลให้ยอดหลังไลฟ์
ของสินค้านั้นๆยังคงวิ่งต่อ
.
Creator คนอื่นเห็นว่าสินค้านี้ขายดี
ก็เอาไปขายต่อ ระบบก็ดัน Creator เหล่านั้นด้วย
เกิดเป็น Viral Loop ที่วนซ้ำไม่หยุด
.
แล้วที่สำคัญมากคือ AI ของ TikTok
จดจำใบหน้าของเจนนี่ได้แล้วว่า
คนนี้ทำให้คนดูมี Engagement ในไลฟ์
และคอนเทนต์สูงมาก ทำเกืดกระแสสังคม
และมีคนดังร่วมไลฟ์ มีคนทำคอนเทนต์
พูดถึงเจนนี่เป็นจำนวนมาก
.
ทำให้คะแนนที่ AI ใน TikTok ให้กับเจนนี่สูงมากๆ
และไม่ใช่แค่ TikTok รวมไปถึงแพลตฟอร์มอื่น
อย่าง Facebook ด้วย
.
เมื่อมีหน้าเจนนี่ปรากฏในคอนเทนต์ AI
ก็ให้คะแนนสูง ชอบ ดันการเข้าถึง
และเป็นกระแสในสังคม
.
คนที่เสพคอนเทนต์ก็ยิ่งหยุดดูคอนเทนต์
หรือไลฟ์ของเจนนี่ไว้ตลอด
.
เป็นผลทำให้การเข้าถึงของเจนนี่ทะลุโลกไปเลย
จากการพลิกเรื่องดราม่าที่เป็นเรื่องอารมณ์
สร้างยอดขายมหาศาลให้กับตัวเจนนี่และแบรนด์ต่างๆ
ที่ได้ร่วมงานกัน
.
นี่คือสิ่งที่คนส่วนใหญ่มองไม่เห็น
Algorithm ไม่ใช่ศัตรู
แต่เป็นหุ้นส่วนที่ทรงพลัง ถ้าคุณรู้วิธีทำงานร่วมกับเขา
[6] บทเรียนที่ห้า Social Proof หลายชั้น
ทำคนดูไลฟ์รู้สึกสนุกและติดตามต่อ
.
เจนนี่ไม่ได้ขายคนเดียว
เธอสร้าง Social Proof หลายชั้นที่ทำงานพร้อมกัน
.
ขั้นแรกคือ Celebrity Endorsement
เจนนี่เองก็เป็นคนดัง คนรู้จัก มีฐานแฟนคลับอยู่แล้ว
.
ขั้นที่สองคือ Influencer Endorsement
มีดาราคนอื่นมาร่วมไลฟ์
เช่น เจนนี่ไลฟ์กับกาลาแม พี่หนุ่ม คุณณวัฒน์
.
ขั้นที่สามคือ Emotional Testimonial
เจ้าของแบรนด์น้ำตาแตกขณะที่เห็นยอดขายพุ่งสูง
นี่คือ Social Proof ที่ทรงพลังมาก
.
ขั้นที่สี่คือ Crowd Validation คนดูแสนคน
เมื่อคนเห็นว่ามีคนดูเยอะ พวกเขาก็จะคิดว่า
"ถ้าคนเยอะขนาดนี้มาดู แสดงว่าน่าสนใจแน่"
.
ขั้นที่ห้าคือ Purchase Proof คนสั่งซื้อเป็นพัน
เจนนี่แสดงยอดออเดอร์แบบเรียลไทม์
ทำให้คนที่กำลังดูคิดว่า
"คนอื่นเขาซื้อกันเยอะ ของคงดีแน่"
.
"คนมักทำตามสิ่งที่คนอื่นทำ โดยเฉพาะเมื่อไม่แน่ใจ"
.
ความไม่แน่ใจ + Social Proof = การตัดสินใจทำตาม
.
แต่มีกฎสำคัญ Social Proof ต้องจริง ถ้าปลอม เค
เมื่อโดนจับได้ จะเสียความเชื่อถือทั้งหมดในพริบตา
.
ที่สำคัญถึงทุกอย่างจะมี Social Proof มาก็ตาม
แต่ถ้าเจนนี่ไม่ไลฟ์ให้สนุก คือ แทบจบเลย
.
ซึ่งเจนนี่สามารถทำสิ่งนี้ได้ดีมาก
ทำให้คนดูสนุก อยากมีส่วนร่วมตลอดเวลา
ทำให้ไม่รู้สึกน่าเบื่อ และน่าติดตามต่อ
[7] บทเรียนที่หก ความสม่ำเสมอชนะความสมบูรณ์แบบ
.
เจนนี่ไลฟ์มาราธอน 17-18 ชั่วโมงต่อเนื่อง
เป็นเวลา 3 วันติด นี่ไม่ใช่เรื่องง่าย
.
ลองจินตนาการดูว่าคุณต้องพูดขายของติดต่อกัน
เกือบ 20 ชั่วโมงโดยไม่หยุด ต้องใช้ทั้งพลังกาย
พลังใจ และความมุ่งมั่นอย่างสูง
.
Timeline การไลฟ์ที่น่าทึ่ง
วันที่ 1 ไลฟ์ 18 ชั่วโมงได้ 24 ล้านบาท
วันที่ 2 ไลฟ์ 17 ชั่วโมงได้ 33 ล้านบาท
วันที่ 3 ไม่รู้ไปจบที่กี่ชั่วโมง
แต่ยอดพุ่งไปที่ 100 ล้านบาทแล้ว
(ถ้าตัวเลขผิดขออภัยด้วยนะครับ)
.
การทำนี้แสดงให้เห็นถึงสามสิ่ง
หนึ่งคือความตั้งใจจริง ไม่ใช่แค่มาเล่นๆ
สองคือความทุ่มเท ยอมเหนื่อยเพื่อลูกค้า
และสามคือความน่าเชื่อถือ ทำจริง ไม่ใช่แค่พูด
.
"ความสำเร็จคือผลรวมของการกระทำเล็กๆ
ที่ทำซ้ำๆ อย่างสม่ำเสมอ"
.
การตัดสินใจเล็กๆ ที่ฉลาด + ความสม่ำเสมอ
+ เวลา = ความแตกต่างอย่างมหาศาล
.
“คนที่ประสบความสำเร็จคือคนที่รู้จักทุ่มสุดตัวในโอกาสทอง
คนที่ประสบความสำเร็จมักจะ "all in"
ในจังหวะที่ถูกต้อง”
.
เจนนี่ทำทั้งสองอย่าง ทั้งทำงานหนักอย่างสม่ำเสมอ
และ all in ในโอกาสที่มาถึง
[8] บทเรียนที่เจ็ด สร้างความไว้วางใจ
.
เมื่อมีคนแซะว่า "ดราม่าเป็นคอนเทนต์"
"ทำละครกันอยู่" เจนนี่ไม่ได้เงียบหรือโมโห
.
แต่เธอประกาศพร้อม เพื่อพิสูจน์ว่าไม่ใช่แค่ละคร
ลงมือทำเพื่แแสดงความโปร่งใส
.
"ยิ่งโปร่งใส ยิ่งน่าเชื่อถือ แม้จะมีข้อบกพร่อง"
.
คนยอมรับข้อบกพร่องได้ ถ้ารู้ความจริง
มากกว่าถูกหลอก
.
แต่มีข้อควรระวัง ความโปร่งใสต้องมีขอบเขต
ไม่ใช่ทุกอย่างต้องเปิดเผยหมด
บางอย่างเป็นความลับทางธุรกิจ
บางอย่างเป็นความเป็นส่วนตัว ต้องรู้จักสมดุล
.
และความโปร่งใสต้องมาพร้อมความรับผิดชอบ
ถ้าเปิดเผยแล้วมีปัญหา ต้องรับผิดชอบและแก้ไข
ไม่ใช่เปิดเผยแล้วทิ้ง
[9] สูตรความสำเร็จของเจนนี่
ผมสามารถสรุปเป็นสูตรความสำเร็จของเจนนี่ได้ดังนี้
.
วิกฤต × ความเปราะบาง × ความเร่งด่วน × Algorithm × Social Proof × ความสม่ำเสมอ × ความโปร่งใส
= ความสำเร็จแบบไวรัลชั่วข้ามคืน
.
แต่ถ้าจะอธิบายแบบละเอียดก็คือ
วิกฤต ไม่ใช่สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยง
แต่เป็นโอกาสที่ควรใช้ประโยชน์
ถ้าเรารู้วิธีพลิกกระแส
.
ความเปราะบาง ไม่ใช่จุดอ่อน
แต่เป็นพลังที่สร้างความเชื่อมโยงกับผู้คน
.
ความเร่งด่วน (Urgency)
สร้างแรงจูงใจให้คนตัดสินใจเร็ว
ด้วยการจำกัดเวลาและจำนวน
.
Algorithm คือหุ้นส่วนเงียบที่จะช่วยดันให้เรา
ถ้าเรารู้วิธีส่งสัญญาณที่ถูกต้อง
.
Social Proof สร้างความน่าเชื่อถือแบบทวีคูณ
เมื่อคนเห็นคนอื่นทำ พวกเขาก็จะทำตาม
และต้องมีอารมณ์ความรู้สึกร่วมกัน
.
ความสม่ำเสมอ สร้างความมั่นใจว่าเราจริงจัง
ไม่ใช่มาเล่นๆ
.
ความโปร่งใส สร้างความไว้วางใจที่แท้จริง
ไม่ใช่แค่พูด แต่ทำให้เห็น
.
แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดที่ผมอยากเน้นก็คือ
เจนนี่ไม่ได้ประสบความสำเร็จ
เพราะเธอเลียนแบบใคร
แต่เพราะเธอเป็นตัวของตัวเองอย่างเต็มที่
.
เธอมีความเป็นตัวของตัวเอง ที่ไม่สามารถเลียนแบบได้
[10] ดังนั้นทุกคนที่อ่านถึงตรงนี้
.
จงเป็น "เจนนี่" ในแบบของคุณ
.
ธุรกิจของคุณก็เช่นกัน อย่าพยายามเป็น
"เจนนี่คนที่สอง" เพราะเจนนี่มีแค่คนเดียว
และคนจะเปรียบเทียบคุณกับเจนนี่ตัวจริงเสมอ
.
แต่จงเรียนรู้หลักการเบื้องหลังความสำเร็จของเธอ
แล้วนำมาปรับใช้ในแบบที่เหมาะกับบริบทของคุณ
.
ถ้าธุรกิจคุณไม่มีดราม่า ก็ไม่ต้องไปสร้างดราม่า
แต่จงหาวิกฤตหรือปัญหาที่คุณมี
แล้วพลิกมันเป็นเรื่องเล่า (แต่ไม่มีวิกฤตได้จะดีสุด 🥹)
.
ถ้าคุณไม่ใช่คนดัง ก็ไม่ต้องเป็นคนดัง
แต่จงแสดงความเป็นตัวตนที่จริงใจ คนจะรู้สึกได้
.
ถ้าคุณไม่สามารถไลฟ์ 18 ชั่วโมง
ก็ไม่ต้องไลฟ์ 18 ชั่วโมง
แต่จงทำในสิ่งที่คุณถนัดทำอย่างสม่ำเสมอและตั้งใจ
สิ่งสำคัญคือ จงหาจุดแข็งของตัวเอง แล้วใช้มันให้เต็มที่
.
จงจำไว้ว่า
"การตลาดที่ดีที่สุด ไม่ใช่การหลอกให้คนซื้อ
แต่เป็นการเล่าเรื่องราวที่จริงใจ
จนคนอยากเป็นส่วนหนึ่งของเรื่องราวนั้น"
.
นี่คือบทเรียนจากปรากฏการณ์เจนนี่ที่ผมอยากฝากไว้ให้ทุกคนครับ...
เป็นคอนเทนต์ที่ผมใช้เวลาเขียนนานมากเกือบ 2 วัน ลบเขียนแก้ไขเยอะมากจริงๆ 😂
ยิ่งเขียนยิ่งมันส์
.
ตามไปนั่งดูไลฟ์สดเอง (ปกติไม่เคยดูไลฟ์ขายของเลย
แถมเกือบซื้อของตามด้วย 55555)
.
นั่งเรียบเรียงสิ่งได้ดูได้เห็นมา
แล้วมาวิเคราะห์กันหลายตลบเลย
การตลาดแบบเจนนี่จะทำตามคือ “ไม่ง่ายแน่นอน”
แต่ก็มีบางอย่างที่สามารถประยุกต์
ใช้กับธุรกิจได้เยอะจริงๆ
.
ลองหาจุดสมดุลนี้ให้เจอกับธุรกิจของคุณ
คุณอาจทำธุรกิจให้ประสบความสำเร็จ
ในช่วงวิฤกตเศรษฐกิจแบบนี้ได้เหมือนเจนนี่ก็เป็นได้..
ขอบคุณที่อ่านมาถึงตรงนี้นะครับ 🙏🏻
#หัวหน้าแบงค์fullfunnel #เจนนี่สดชื่นได้หมด
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น