- ช่วงที่ผ่านมาเราจะเห็นการไลฟ์สดขายของ ที่สร้างยอดขายหลักหลาย 10 ล้านบาท หลาย 100 ล้านบาท จนกลายเป็นปรากฏการณ์
และส่วนสำคัญก็เป็นเพราะว่า ไลฟ์สดเหล่านั้น ถูกดันขึ้นหน้าฟีดเยอะ ทำให้ยิ่งเพิ่มโอกาสให้คนกดเข้าไปดูไลฟ์เยอะ และก็ยิ่งเพิ่มโอกาสการปิดการขายได้เยอะขึ้นตาม
เรื่องนี้เราไปถอดมาให้แล้วจากคำอธิบายของแพลตฟอร์ม TikTok เอง
ว่าในมุมอัลกอริทึมหรือระบบหลังบ้านการไลฟ์ของ TikTok ทำไมไลฟ์สดของบางคน ถูกดันขึ้นหน้าฟีดเยอะมาก
BrandCase สรุปมาให้แล้ว พร้อมโชว์ตัวอย่างการคำนวณให้ดู แบบเข้าใจง่าย ๆ
- ตัวเลขที่ตัดสินว่า TikTok จะดันไลฟ์เราขึ้นหน้าฟีดเยอะไหม ชื่อว่า “GPM”
GPM ย่อมาจาก Gross Performance Metric
ซึ่งสรุปความหมายง่าย ๆ เลยคือ “ในทุก ๆ ยอดผู้ชม 1,000 คน ไลฟ์เราขายสินค้าไปได้เป็นมูลค่ากี่บาท”
ยิ่ง GPM ของไลฟ์สดเรามีค่าสูง TikTok ก็จะยิ่งเพิ่มการดันไลฟ์สดของเรา ไปขึ้นหน้าฟีดของผู้ใช้งาน TikTok มากขึ้น
โดยมีสูตรการคำนวณคือ
GPM = (ERR × CTR × C_O × AOV) × 1,000
เก็บสมการนี้ไว้ในใจก่อน แล้วมาทำความเข้าใจตัวแปรแต่ละตัวในสมการกัน
1. ERR (Enter Room Rate) = อัตราคนที่เลื่อนฟีดมาเจอไลฟ์สด แล้วตัดสินใจคลิกเข้าชมจริง
อย่างเช่น ถ้ามีผู้ชมทั่วไป 3,000,000 คน เห็นทีเซอร์ของไลฟ์บนหน้าสำหรับคุณ (For You Page) และมี 300,000 คน คลิกเข้าห้องไลฟ์ก็จะมีอัตราเข้าห้องอยู่ที่ 15%
ยิ่ง ERR เยอะ แปลว่า ไลฟ์ของเราน่าดึงดูด คนเลยกดเข้ามาดูเยอะ
ถ้าน้อย ก็แปลว่า ไลฟ์ของเราไม่น่าสนใจ คนเลยเลื่อนผ่าน
เพราะฉะนั้น โจทย์ของคนที่ไลฟ์สดในข้อนี้คือ ทำอย่างไรให้คนที่เห็นไลฟ์สดขึ้นบนหน้าฟีด แล้วอยากกดเข้ามาดู
2. CTR (Click Through Rate) = อัตราคนที่คลิกเข้ามาดูสินค้าในตะกร้า ระหว่างไลฟ์สด
การไลฟ์บน TikTok เราสามารถตั้งสินค้าให้มาแสดงอยู่บนหน้าจอไลฟ์ เพื่อให้คนกดคลิกเข้าไปดูได้ เรียกว่า “การปักตะกร้า”
โดยตัวเลข CTR ยิ่งเยอะ แปลว่า คนที่เข้ามาดูไลฟ์กดดูตะกร้าสินค้าในไลฟ์ของเราเยอะ
ถ้าน้อย แปลว่า คนดูไลฟ์อย่างเดียว ไม่ค่อยสนใจสินค้าในตะกร้า
วิธีคำนวณ CTR = (จำนวนครั้งที่คลิก / จำนวนที่แสดงผล) x 100
ตัวอย่างเช่น มีคนเข้ามาดูไลฟ์เรา 100 คน มีคนกดดูสินค้าในตะกร้าในไลฟ์ทั้งหมด 3 ครั้ง แบบนี้ CTR คือ = 3%
เพราะฉะนั้น โจทย์ของคนที่ไลฟ์สดในข้อนี้คือ ทำอย่างไรให้คนที่เข้ามาดูไลฟ์แล้ว อยากกดดูสินค้าในตะกร้าเยอะ ๆ ด้วย
3. C_O (Click to Order) = อัตราคนที่ซื้อสินค้าระหว่างไลฟ์สด
เป็นตัวเลขที่สะท้อนว่า ในจำนวนคนที่เข้ามาดูไลฟ์ มีคนกดซื้อสินค้ามากแค่ไหน
เช่น ถ้ามีคนเข้ามาดูไลฟ์ 100 คน มีคนซื้อสินค้า 5 คน C_O ก็คือ = 5%
หรือในมุมกลับกัน ถ้าในวันนั้นมีผู้ชม 4,260,000 คน แล้วเรามี C_O = 2.27%
ก็หมายความว่า มีจำนวนคนกดซื้อสินค้าในไลฟ์ทั้งหมด ประมาณ 96,700 คน นั่นเอง
ตัวเลข C_O ยิ่งเยอะ ก็ยิ่งดี
เพราะฉะนั้น โจทย์ของคนที่ไลฟ์สดในข้อนี้คือ ทำอย่างไรให้คนที่เข้ามาดูไลฟ์แล้ว กดดูสินค้าในตะกร้า แล้วกดซื้อด้วย..
4. AOV (Average Order Value) = ยอดขายเฉลี่ยต่อออร์เดอร์ ของไลฟ์นั้น ๆ
ถ้าตัวเลขตรงนี้เยอะ แปลว่า ในไลฟ์เราสามารถขายของต่อออร์เดอร์ได้มูลค่าเยอะ ดังนั้นยิ่งเยอะยิ่งดี
เพราะฉะนั้น โจทย์ของคนที่ไลฟ์สดในข้อนี้คือ ทำอย่างไรให้คนที่เข้ามาดูไลฟ์แล้ว กดดูสินค้าในตะกร้า แล้วกดซื้อ และ Upselling ให้คนซื้อในมูลค่าที่สูงด้วย
ซึ่งวิธีการก็มีหลากหลายและไม่ตายตัว เช่น เสนอคูปองส่วนลดเมื่อซื้อถึงยอด, ขายสินค้าเป็นชุดแล้วทำให้ดูคุ้มค่ากว่าซื้อแค่ชิ้นเดียว, กิจกรรม Flash Sale เพื่อกระตุ้นให้คนซื้อต่อครั้งเยอะขึ้น
คราวนี้ลองมาคำนวณตัวเลขกันให้เห็นภาพ..
จากสมการที่เราพูดไปตอนแรก
GPM = (ERR × CTR × C_O × AOV) × 1,000
สมมติให้ไลฟ์ของเรามี
- ERR (Enter Room Rate) = 15%
- CTR (Click Through Rate) = 60%
- C_O (Click to Order) = 2%
- AOV (Average Order Value) = 300 บาท
เอามาคำนวณในสมการจะได้ว่า
(0.15 x 0.60 x 0.02 x 300) x 1,000 = 540 บาท
ความหมายคือ ในทุก ๆ ยอดผู้ชม 1,000 คน ไลฟ์เราขายสินค้าไปได้เป็นมูลค่า 540 บาท
ซึ่งตัวเลข GPM ตัวนี้แหละ ที่ถ้ายิ่งเยอะ ไลฟ์ของเราจะยิ่งโดนดันให้ขึ้นหน้าฟีดคนใน TikTok มาก ๆ
เพราะฉะนั้น โจทย์ของคนทำไลฟ์สดขายของ คือทำอย่างไร ให้ตัวเลข GPM ตัวนี้ ออกมาสูง ๆ นั่นเอง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น