วันอาทิตย์ที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2568

สรุปวิธีพล็อตกราฟ Positioning Map หาจุดยืน ให้แบรนด์

สรุปวิธีพล็อตกราฟ Positioning Map หาจุดยืน ให้แบรนด์เรา ต่างจากคู่แข่ง ในตลาด - MarketThink
- คำว่า Positioning ในมุมของการตลาด และการสร้างแบรนด์ คือ การกำหนด “ตำแหน่ง” หรือ “จุดยืน” ของแบรนด์หรือสินค้า
ให้มีความแตกต่าง เป็นเอกลักษณ์ จนลูกค้าจดจำได้ รวมถึงรู้จุดเด่นของแบรนด์หรือสินค้าว่า มีความแตกต่าง หรือเหนือกว่าคู่แข่งที่อยู่ในตลาดเดียวกันอย่างไร

ซึ่งโดยทั่วไปแล้ว การกำหนด Positioning ทำได้หลายแบบ ไม่ว่าจะเป็น

กำหนดตามคุณประโยชน์ หรือคุณสมบัติของสินค้า
กำหนดตามราคา / คุณภาพ
กำหนดตามการใช้งาน
กำหนดตามค่านิยม และความเชื่อของลูกค้า
กำหนดตาม Pain Point หรือปัญหาที่ลูกค้าเจอ

แต่ถ้าเจาะลึกให้มากกว่านี้ หลายคนคงถามว่า แล้วเราจะมีวิธีในการกำหนด Positioning ให้กับทั้งแบรนด์และสินค้า ได้อย่างไร ?

MarketThink อธิบายให้อ่านกันในโพสต์นี้

หนึ่งในเครื่องมือที่ใช้กำหนด Positioning ให้กับแบรนด์ได้ ก็คือเครื่องมือที่ชื่อว่า “Positioning Map” ซึ่งกำหนด Positioning ให้กับแบรนด์แบบง่าย ๆ ด้วยการพล็อตกราฟ 

และที่สำคัญคือ ทำได้ทั้งการกำหนด Positioning ได้ทั้งแบรนด์และสินค้า

โดย Positioning Map จะมีลักษณะเป็นกราฟ 2 แกน คือ
- แกน X (แกนนอน)
- แกน Y (แกนตั้ง)

ซึ่งทั้งแกน X และแกน Y ใช้แทนค่าที่เป็นปัจจัยต่าง ๆ ซึ่งมีความเกี่ยวข้องกับการกำหนด Positioning ของทั้งแบรนด์และสินค้า ไม่ว่าจะเป็น

คุณภาพของสินค้า
คุณสมบัติ / ฟีเชอร์ของสินค้า
ประสิทธิภาพ / ความแรง / ความเร็ว ของสินค้า
นวัตกรรม / เทคโนโลยี ที่ใช้
ความเป็นมิตร / ความยาก-ง่าย ในการใช้งาน
ดิไซน์ / การออกแบบ / รูปลักษณ์ภายนอกของสินค้า
ความยั่งยืน / ความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
สถานะทางสังคม / ภาพลักษณ์ เมื่อใช้สินค้า
ความปลอดภัย

ทำให้ในอันดับแรก เราต้องเลือกก่อนว่าจะกำหนด Positioning ของแบรนด์ ด้วยปัจจัยในด้านใด

แล้วจึงเลือก “จับคู่” ปัจจัยที่ต้องการมาใส่ในแกน X และแกน Y

ตัวอย่างเช่น 
- จับคู่ระหว่าง ฟีเชอร์ (แกน X) และราคา (แกน Y)
- จับคู่ระหว่าง การออกแบบ (แกน X) และความยาก-ง่ายในการใช้งาน (แกน Y)
- จับคู่ระหว่าง นวัตกรรม (แกน X) และราคา (แกน Y)

โดยหลังจากที่เลือกจับคู่ปัจจัยที่ต้องการได้แล้ว ให้แบรนด์ให้คะแนนตัวเอง ในปัจจัยเหล่านั้น เช่น

หากแบรนด์เลือกกำหนด Positioning ด้วยฟีเชอร์และราคา ก็ให้คะแนนทั้ง 2 ปัจจัยนี้ ในสเกล 1-10 คือ

- ในปัจจัยด้านราคา

หากสินค้ามีราคาถูก ให้คะแนนโดยเริ่มจาก 0 ไปยัง 10 ซึ่งหมายถึงสินค้ามีราคาแพง

- ในปัจจัยด้านฟีเชอร์

หากสินค้ามีฟีเชอร์น้อย ให้คะแนนโดยเริ่มจาก 0 ไปยัง 10 ซึ่งหมายถึงสินค้ามีฟีเชอร์มาก

และเมื่อให้คะแนนตามสเกลเรียบร้อยแล้ว ก็ให้นำคะแนนเหล่านั้นมาพล็อตในกราฟ 

ซึ่งกราฟ Positioning Map จะแบ่งออกเป็น 4 ส่วน ได้แก่

1. ฟีเชอร์น้อย ราคาสูง
2. ฟีเชอร์มาก ราคาสูง
3. ฟีเชอร์น้อย ราคาต่ำ
4. ฟีเชอร์มาก ราคาต่ำ

ซึ่งหลังจากที่พล็อตกราฟเรียบร้อยแล้ว ก็จะทำให้รู้ว่า Positioning ของแบรนด์อยู่ในจุดใดของตลาด

รวมถึงเรายังสามารถเลือกพล็อตกราฟโดยการจับคู่ปัจจัยในด้านอื่น ๆ อีกหลายกราฟก็ได้ เพื่อทำให้รู้ภาพรวมของ Positioning ในด้านอื่น ๆ เพิ่มเติม

และยังสามารถเลือกพล็อตกราฟของคู่แข่งลงในกราฟเดียวกันอีกหลาย ๆ แบรนด์ เพื่อทำให้รู้ถึง Positioning ทั้งของตัวเองและคู่แข่ง รวมถึงจุดแข็ง-จุดอ่อน 

แล้วนำไปวางแผนกลยุทธ์การตลาด และการสร้างแบรนด์ ที่เหมาะสมกับ Positioning ได้

ทั้งหมดนี้ ก็คือ Positioning Map เครื่องมือพล็อตกราฟ เลือกจุดยืนในตลาด ให้กับแบรนด์แบบง่าย ๆ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

สรุปวิธีพล็อตกราฟ Positioning Map หาจุดยืน ให้แบรนด์

สรุปวิธีพล็อตกราฟ Positioning Map หาจุดยืน ให้แบรนด์เรา ต่างจากคู่แข่ง ในตลาด - MarketThink - คำว่า Positioning ในมุมของการตลาด และการสร้างแ...