1. พูดด้วยน้ำเสียงที่ใจเย็น
เขาเข้าใจว่าคนฟังไม่ได้ต้องการแค่ คำแต่ต้องการความรู้สึก
ที่แฝงมากับน้ำเสียง เขาจึงไม่พูดด้วยความรีบเร่งหรืออารมณ์ แต่ใช้โทนเสียงสงบ ฟังแล้วอุ่นใจ เหมือนเวลาพ่อแม่ปลอบลูกให้หยุดร้อง คำพูดที่มาพร้อมความใจเย็นจึงเข้าถึงหัวใจได้ง่าย
2. พูดด้วยสายตาที่จริงใจ
เขารู้ว่าคำพูดที่ไม่มีสายตาสนับสนุนก็เหมือนจดหมายที่ไม่มีลายเซ็น เขาจึงมองตาคนตรงหน้าเสมอเมื่อพูด ทำให้ผู้ฟังรู้สึกว่าได้รับความสำคัญ เหมือนเวลาคนที่เรารักพูดกับเราโดยไม่ละสายตา มันจึงซึมลึกมากกว่าคำพูดธรรมดา
3. พูดด้วยภาษาง่ายๆ
เขาไม่ใช้ถ้อยคำซับซ้อนเพื่ออวดความรู้ แต่เลือกใช้ภาษาธรรมดาที่ใครก็เข้าใจ เพราะเขารู้ว่าความหมายสำคัญกว่าความหรูหรา เหมือนเพื่อนที่อธิบายเรื่องยากให้เราเข้าใจได้
ในไม่กี่คำ คำพูดแบบนี้จึงเข้าหูมากกว่าการพูดให้ดูฉลาด
4. พูดด้วยการเล่าเรื่อง
เขาไม่โยนข้อมูลก้อนใหญ่ให้ฟัง แต่เล่าผ่านเรื่องราวที่คน
เห็นภาพและเชื่อมโยงได้ทันที เหมือนนักเล่าที่ทำให้คนหัวเราะ ร้องไห้ และอินไปกับเหตุการณ์ เรื่องเล่าคือสะพานที่ทำให้ข้อความเดินทางตรงเข้าสู่ใจคนฟัง
5. พูดด้วยการฟังกลับ
เขาไม่เอาแต่พูดเพื่อตัวเอง แต่ฟังเพื่อเข้าใจอีกฝ่ายด้วย
แล้วจึงตอบกลับด้วยความใส่ใจ ทำให้บทสนทูกลายเป็นสองทาง เหมือนเวลาคุยกับคนที่พยักหน้า รับฟัง และทวนสิ่งที่เราเพิ่งพูด ความรู้สึกที่ได้รับการฟังนั้นมีค่ามากกว่าการพูดให้เก่งเสียอีก
6. พูดด้วยการยกตัวอย่าง
เขาไม่พูดลอยๆ แต่เสริมด้วยตัวอย่างที่จับต้องได้เหมือนการบอกว่า เก็บเงินวันละ 100 วันละปีคุณจะมี 36,500 บาท
คนฟังจึงเห็นภาพจริง ไม่ใช่แค่ทฤษฎีที่ลอยไปในอากาศ
7. พูดด้วยความจริงใจ
เขาไม่เสแสร้ง ไม่พูดเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว แต่พูดตรงไปตรงมา เพราะเขารู้ว่าความจริงใจคือภาษาสากลที่ทุกคนเข้าใจได้ คนฟังจึงสัมผัสได้ทันทีว่า นี่คือคำที่มาจากใจ ไม่ใช่การแสดง
8. พูดด้วยรอยยิ้ม
เขารู้ว่ารอยยิ้มคือเครื่องปรุงของทุกบทสนทนาคำพูดที่อาจ
ฟังดูธรรมดาก็กลายเป็นอบอุ่นขึ้นทันทีเมื่อมีรอยยิ้มประกอบ เหมือนพนักงานที่ทักทายลูกค้าด้วยความยิ้มแย้ม จนคำพูดธรรมดากลายเป็นเหตุผลที่ทำให้ลูกค้าอยากกลับมาอีกครั้ง
9. พูดด้วยความกระชับ
เขาไม่เอาคำพูดมาถ่วงเวลา แต่สื่อสารตรงประเด็นฟังแล้วเข้าใจในทันที คนจึงอยากฟังจนจบ เหมือนหัวหน้าที่ประชุมเพียง 5 นาที แต่ทีมได้ใจความครบถ้วนมากกว่าประชุมทั้งชั่วโมง
10. พูดด้วยการใส่อารมณ์พอดี
เขาไม่พูดเรียบเสียจนจืด และไม่โอเวอร์เกินจนดูแสดง
แต่เล่าให้มีน้ำหนักพอดี ทำให้ผู้ฟังอินตาม เหมือนนักพูดที่ใช้โทนเสียงสูงต่ำสอดคล้องกับเนื้อหา คำพูดจึงติดหูและติดใจ
11. พูดด้วยการเลือกจังหวะ
เขาเข้าใจว่าคำพูดที่ถูกต้อง แต่พูดผิดเวลา ก็กลายเป็นไร้ค่า เขาจึงเลือกพูดเมื่อบรรยากาศเหมาะสม เหมือนการบอกข่าวดีในช่วงที่คนพร้อมจะยิ้ม และเลือกเงียบเมื่ออีกฝ่ายยังไม่พร้อมฟัง
12. พูดด้วยคำชมก่อนตักเตือน
เขาไม่รีบบอกข้อผิดพลาดทันที แต่เริ่มด้วยคำชื่นชมเล็กๆ
เพื่อทำให้อีกฝ่ายรู้สึกดี จากนั้นค่อยให้คำแนะนำอย่างอ่อนโยน เหมือนครูที่บอกว่า เธอทำได้ดีมาก แต่ถ้าเพิ่มตรงนี้จะสุดยอดไปเลยคนฟังยอมรับด้วยรอยยิ้มมากกว่าการต่อต้าน
13. พูดด้วยการยอมรับความรู้สึก
เขาไม่รีบปฏิเสธความคิดต่าง แต่เริ่มด้วยการบอกว่าฉันเข้าใจว่าคุณรู้สึกยังไงก่อนจะเสนอความเห็นของตัวเอง คำพูดแบบนี้ทำให้คนฟังรู้สึกว่าตัวเองมีค่า และพร้อมจะฟังต่อ
14. พูดด้วยการใช้คำถาม
เขาไม่พูดแบบยัดเยียด แต่ถามกลับให้คนคิดตาม เช่น แล้วคุณคิดว่าแบบไหนเวิร์กกว่ากันการตั้งคำถามทำให้ผู้ฟังมีส่วนร่วม และเปิดใจมากกว่าการถูกสั่ง
15. พูดด้วยการลดอัตตา
เขาไม่พูดในแบบที่ทำให้ตัวเองเหนือกว่า แต่ใช้คำที่เสมอภาค ฟังแล้วไม่รู้สึกถูกกดทับ เหมือนเพื่อนที่คุยกันอย่างเท่าเทียม ไม่ใช่เจ้านายสั่งลูกน้อง คนจึงยอมฟังโดยไม่รู้สึกต่อต้าน
16. พูดด้วยความมั่นใจ
เขาไม่พูดแบบสั่นคลอน แต่ใช้โทนที่หนักแน่นและมั่นคง
ทำให้ผู้ฟังเชื่อมั่นในสิ่งที่ได้ยิน เหมือนผู้นำที่ประกาศแผน
การอย่างชัดเจน จนทุกคนพร้อมเดินตามโดยไม่ลังเล
17. พูดด้วยความเคารพ
เขาไม่พูดห้วน ไม่พูดดูถูก แต่ใช้ถ้อยคำสุภาพแม้จะเห็นต่าง เพราะเขารู้ว่าความเคารพคือรากฐานของการสื่อสารถ้อยคำสุภาพจึงกลายเป็นเกราะป้องกันความขัดแย้ง
18. พูดด้วยความสม่ำเสมอ
เขาไม่ได้พูดดีเฉพาะตอนอยากได้ประโยชน์ แต่พูดด้วยท่าทีจริงใจแบบเดียวกันทุกครั้ง เมื่อเวลาผ่านไป คนฟังจึงเชื่อว่า คำพูดของเขามีค่าเพราะมันไม่เปลี่ยนไปตามสถานการณ์
แนะนำให้อ่าน
https://s.shopee.co.th/10sm4GgnGn
https://s.lazada.co.th/s.zbVOS?cc
#พูดยังไงให้เข้าหู
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น