แล้วที่ผ่านมา ทำไมบางคนถึงไม่ยื่นภาษี
---
◾️ยื่นภาษี ไม่ใช่ เสียภาษี
.
คำว่า ยื่นภาษี หมายถึง
เราต้องยื่นเมื่อรายได้เกินกว่าที่กฎหมายกำหนด
สำหรับคนโสด
หน้าที่ในการยื่นภาษี จะเริ่มตั้งแต่มีเงินได้เงินเดือนประเภทเดียว เกิน 120,000 บาท
มีเงินได้ประเภทอื่นนอกจากเงินเดือน เกิน 60,000 บาท
สำหรับคนที่มีคู่สมรส
(จดทะเบียนตามกฎหมาย)
หน้าที่ในการยื่นภาษี จะเริ่มตั้งแต่มีเงินได้เงินเดือนประเภทเดียว เกิน 220,000 บาท
มีเงินได้ประเภทอื่นนอกจากเงินเดือน เกิน 120,000 บาท
.
คำว่า เสียภาษี หมายถึง
เมื่อคำนวณภาษีแล้วมียอดภาษีที่ต้องจ่าย
ซึ่งหลายคนอาจจะคุ้นเคยกับคำว่า คำนวณแล้วมีเงินได้สุทธิตั้งแต่ 150,000 บาทขึ้นไป
ดังนั้น คนที่มีหน้าที่ยื่นภาษี
ต้องยื่นเมื่อมีรายได้เกินเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด
ส่วนจะต้องเสียภาษีหรือไม่
ขึ้นอยู่กับผลการคำนวณภาษี
---
◾️แนวคิดใหม่ของกระทรวงการคลัง
ตอนนี้กระทรวงการคลังสร้างฐานข้อมูลขนาดใหญ่ (Data Lake) ครอบคลุมข้อมูลประชาชนกว่า 60.8 ล้านคน และธุรกิจกว่า 6 แสนกิจการ เชื่อมโยงกับข้อมูลจากหลายหน่วยงาน รวมถึงกระทรวงสาธารณสุข
.
เพื่อพัฒนา Ari Score หรือ ระบบเครดิตสกอริ่งของประชาชน เพื่อใช้เป็นคะแนนเครดิตสำหรับผู้มีรายได้น้อย และผู้ประกอบการรายย่อยที่เข้าไม่ถึงสินเชื่อในระบบ แทนที่จะพึ่งพาข้อมูลจาก เครดิตบูโร เพียงอย่างเดียว
.
ซึ่งระบบดังกล่าวจะช่วยสนับสนุนสวัสดิการในรูปแบบ Negative Income Tax เพื่อให้ ผู้ที่มีรายได้ต่ำกว่าเกณฑ์ จะได้รับ “เงินชดเชย” ให้ แทนที่จะเก็บภาษี
นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ปี 2570 เป็นต้นไป ทุกคนต้อง "ยื่นภาษีเงินได้" เพื่อให้ได้รับสิทธิ์ และรัฐก็จะได้รับข้อมูลส่วนนี้มากขึ้นเช่นเดียวกัน
---
◾️Negative income TAX
Negative Income Tax (NIT) คือ ระบบภาษีที่คนทุกคนต้องยื่นภาษี แต่ถ้ารายได้ต่ำกว่าเกณฑ์ที่กำหนดไว้ รัฐจะ “จ่ายเงินชดเชย” ให้
ซึ่งแนวคิดนี้ต้องการสนับสนุนให้คนที่มีรายได้ต่ำมีรายได้เพิ่มขึ้น จากการช่วยเหลือของรัฐ เพื่อให้มีโอกาสที่มากขึ้น หรือมีรายได้ในระดับที่เพียงพอในการใช้ชีวิต
.
วิธีการคือ กำหนดระดับรายได้ขั้นต่ำไว้
และเงื่อนไขที่ได้รับเงินชดเชยจากรัฐเป็นอัตราส่วน
เช่น รายได้ขั้นต่ำ คือ 100,000 บาทต่อปี โดยถ้าหากใครมีเงินได้ต่ำกว่าที่กฎหมายกำหนด จะได้รับเงินชดเชยในอัตรา 50% แต่ถ้ามีรายได้มากกว่า 100,000 บาท จะลดลงเหลือ 20% และถ้าใครที่มีรายได้เกิด 200,000 บาทต่อปีแล้ว จะไม่ได้รับสิทธิ์
สมมติว่า นายบักหนอมมีรายได้อยู่ที่ 60,000 บาทต่อปี เขาจะได้รับเงินชดเชยจำนวน 20,000 บาท (40,000 x 50%)
แต่ถ้านายบักหนอมมีรายได้เพิ่มขึ้นเป็น 150,000 บาทต่อปี เขาจะยังได้รับเงินชดเชยอยู่ที่ 10,000 บาท (50,000 x 20%)
แต่ถ้าเมื่อไรมีรายได้เกินกว่า 200,000 บาทต่อปีก็จะไม่ได้รับเงินชดเชยอีกต่อไป
ป.ล. นี่เป็นเพียงตัวอย่างเท่านั้น ต้องรอดูแนวทางของรัฐในกำหนดสวัสดิการอีกทีหนึ่ง
---
◾️สิ่งที่คนไทยต้องเตรียมตัว
ในฐานะคนทำงานด้านภาษีและการเงิน สิ่งที่ผมอยากแนะนำให้เตรียมตัวคือ
.
การเตรียมข้อมูลรายได้ที่ถูกต้องนั่นหมายถึงเรื่องของ จำนวน (รายได้) เงินได้ ต่อปี เพื่อให้เรารู้ว่าเรามีรายได้เท่าไร และ ประเภทของรายได้ ที่เราได้รับ เพื่อที่จะได้นำมายื่นภาษีได้อย่างถูกต้อง
สำหรับผู้ที่มีโอกาสได้รับสวัสดิการ ข้อมูลรายได้ที่ชัดเจน ที่มาของรายได้ รวมถึงการจ่ายเงินจากนายจ้าง จะช่วยได้รับสิทธิ์ผ่านการยื่นภาษีได้อย่างถูกต้อง
สำหรับผู้ที่มีหน้าที่เสียภาษี การรวบรวมข้อมูลที่ถูกต้องก็ยิ่งจำเป็น เพราะแสดงว่ารัฐเล็งเห็นความสำคัญของการเก็บข้อมูลมากขึ้นจากนโยบายที่ผ่านมา
.
สรุปได้ว่า รัฐกำลังจะ “รู้จัก” รายได้และสภาพชีวิตของคนไทยมากขึ้น ถ้ามองในแง่ดีก็คือสามารถกำหนดสวัสดิการให้เหมาะกับแต่ละภูมิภาค และเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดเก็บภาษี
---
◾️ประเด็นที่ต้องต้องรอพิจารณา
ความเห็นของผมที่มีต่อนโยบายนี้มีอยู่ 3 เรื่อง
1. ถ้ารายได้ภาษีจัดเก็บไม่ถึงเป้า แต่ยังต้องจ่ายสวัสดิการจำนวนมาก อาจจะทำให้การคลังตึงตัว และถ้าต้องก่อหนี้เพิ่มเพื่อจ่ายสวัสดิการ อาจกระทบความยั่งยืนทางการเงินในระยะยาวของประเทศได้
2. ความพร้อมของระบบและข้อมูลที่ต้องระวัง ไม่ว่าจะเป็นการตรวจสอบข้อมูลที่ถูกต้อง การคาดการณ์จำนวนผู้ได้รับสิทธิ รวมถึงการรั่วไหลของข้อมูลต่าง ๆ
และที่สำคัญคือการตรวจสอบ "ผู้ที่อยู่นอกระบบ"
ให้ "เข้าสู่ระบบ" เพื่อเสียภาษีอย่างถูกต้อง
3. การบริหารแรงจูงใจในการทำงานของผู้ที่มีรายได้ต่ำกว่าเกณฑ์ (ซึ่งสอดคล้องกับจำนวนรายได้ที่ใช้เป็นเกณฑ์) และการสื่อสารให้กับประชาชนผู้ที่เสียภาษีที่ต้องแบกรับภาระส่วนนี้เพิ่มขึ้น
แต่ความเห็นของผมทั้งหมดนี้
ก็เป็นเพียงแค่หนึ่งความเห็นเท่านั้นครับ 🙂
ขอบคุณครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น