วันอังคารที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2567

“10 ข้อ #สร้างนิสัยใหม่ เริ่มต้นชีวิตใหม่ในปี 2025 จากหนังสือดังทั่วโลก”

“10 ข้อ #สร้างนิสัยใหม่ เริ่มต้นชีวิตใหม่
ในปี 2025 จากหนังสือดังทั่วโลก”
1. ตั้งเป้าให้ชัด ว่าจะเอาอะไร  
(จากหนังสือ Start with Why - Simon Sinek)
- ตัดสินใจว่าจะเอาผลลัพธ์ใหม่ในชีวิตเท่านั้น นั่นจะเป็นพลังขับเคลื่อนให้คุณเริ่มต้นได้อย่างเข้มแข็ง

2. เริ่มจากสิ่งเล็ก ๆ ก่อน 
(จากหนังสือ Atomic Habits - James Clear)
- การเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่เริ่มจากนิสัยเล็ก ๆ ที่ทำได้ทุกวัน
- เช่น หากต้องการเริ่มออกกำลังกาย ให้เริ่มจาก กระโดดตบ 30 วินาที/วัน แล้วค่อยๆเพิ่ม

3. จัดบ้านช่วยชีวิต 
(จากหนังสือ The Power of Habit - Charles Duhigg)
- เช่น อยากวิ่ง? วางรองเท้าไว้ที่มองเห็นง่าย 
อยากสุขภาพดี? ซ่อนขนม ตั้งขวดน้ำไว้ใกล้มือ

4. ใช้หลักการ 1% 
(จากหนังสือ Atomic Habits - James Clear)
- พัฒนาให้ดีขึ้นวันละ 1% เท่านั้น
- เมื่อเวลาผ่านไป ความพยายามเล็ก ๆ เหล่านี้จะสร้างผลลัพธ์ที่ยิ่งใหญ่ 

5. เรียนรู้จากความล้มเหลว 
(จากหนังสือ Failing Forward - John C. Maxwell)
- การผิดพลาดเป็นส่วนหนึงของความสำเร็จ
- มองความผิดพลาดเป็นบทเรียน ไม่ใช่อุปสรรค

6. จัดการเวลาอย่างมีประสิทธิภาพ 
(จากหนังสือ The 7 Habits of Highly Effective People - Stephen Covey)
- จัดลำดับความสำคัญ โดยเริ่มต้นจากสิ่งสำคัญที่สุด
- ใช้เครื่องมือช่วยวางแผน เช่น Planner หรือ To-Do List ตั้งแจ้งเตือน

7. อยู่กับปัจจุบัน 
(จากหนังสือ The Power of Now - Eckhart Tolle)
- ลดความกังวลเกี่ยวกับอนาคตและความเสียใจในอดีต ถ้าไม่รู้จะทำอะไร จะคิดอะไร จงฝึกขอบคุณ
- ใส่ใจในสิ่งที่คุณทำอยู่ตอนนี้ และสร้างคุณค่าในทุกช่วงเวลา 

8. ใช้หลักการ Kaizen 
(จากหนังสือ Kaizen - Masaaki Imai)
- การพัฒนาอย่างต่อเนื่องและไม่หยุดนิ่ง
- มองหาวิธีปรับปรุงเล็ก ๆ ทุกวัน ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ทันที

9. สร้างแรงจูงใจภายในตัวเอง 
(จากหนังสือ Drive - Daniel H. Pink)
- แรงจูงใจที่ยั่งยืนมาจากการรู้สึกว่าคุณควบคุมชีวิตของตัวเองได้
- มุ่งมั่นทำสิ่งที่คุณเชื่อว่ามีคุณค่า

10. เฉลิมฉลองความสำเร็จเล็ก ๆ 
(จากหนังสือ Atomic Habits - James Clear)
- เมื่อคุณบรรลุเป้าหมายเล็ก ๆ อย่าลืมให้รางวัลตัวเอง
- การเฉลิมฉลองช่วยเพิ่มพลังใจและทำให้คุณอยากก้าวต่อไป 

ที่มา
ครูนิดหน่อย

วันจันทร์ที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2567

10 ข้อคิดผลสำเร็จจากหนังสือ“ คนชนะทำแล้วแก้ คนแพ้มัวแต่คิดไม่ได้ทำ"

10 ข้อคิดจากหนังสือ
“ คนชนะทำแล้วแก้ คนแพ้มัวแต่คิดไม่ได้ทำ" อย่าคิดเยอะ ความสำเร็จที่เราต้องการจะเกิดไม่ได้
ถ้าไม่ลงมือทำเดี๋ยวนี้ ตอนนี้ อย่ารอให้พร้อม รอเวลารอโอกาส รอปัจจัย สารพัดข้ออ้างที่อยู่ในจิตใต้สำนึก 
.
1. รู้นิดเดียวก่อนพอ แล้วรีบทำ
* คนที่ประสบความสำเร็จจะเริ่มทำก่อน แล้วค่อยปรับปรุงทีละน้อยตามสถานการณ์ แทนที่จะเสียเวลาคิดจนไม่ได้เริ่มเลย

2. ความสำเร็จเริ่มต้นจากการลงมือทำ
* ไม่สำคัญว่าคุณจะมีแผนที่สมบูรณ์หรือไม่ การเริ่มต้นเป็นก้าวแรกที่สำคัญที่สุดในการเปลี่ยนแปลงชีวิต

3. ยอมรับความล้มเหลวเป็นส่วนหนึ่งของความสำเร็จ
* ความล้มเหลวไม่ใช่จุดจบ แต่คือบทเรียนที่ทำให้เราพัฒนาและก้าวต่อไปอย่างมั่นคง

4. อย่าหยุดเพราะความกลัว
* ความกลัวเป็นเพียงสิ่งที่จิตใจสร้างขึ้น คนชนะรู้ว่าความกลัวจะลดลงเมื่อเริ่มต้นทำสิ่งที่กลัว

5. โฟกัสที่เป้าหมาย อย่าปล่อยให้ความไม่สมบูรณ์หยุดคุณ
* ไม่มีอะไรสมบูรณ์แบบตั้งแต่แรกเริ่ม สิ่งสำคัญคือการก้าวไปข้างหน้าทีละก้าวอย่างต่อเนื่อง

6. เลิกสนใจคำวิจารณ์ที่ไม่มีประโยชน์
* คนแพ้มักกลัวคำพูดของคนอื่น แต่คนชนะเลือกฟังเฉพาะคำแนะนำที่ช่วยให้เขาพัฒนา

7. ให้การลงมือทำกลายเป็นนิสัย
* ความสำเร็จไม่ได้มาจากแรงฮึดครั้งเดียว แต่มาจากการทำสิ่งเล็กๆ อย่างสม่ำเสมอจนกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต

8. พลังของการปรับเปลี่ยนเล็กๆ
* แค่ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมหรือแนวคิดเพียงเล็กน้อยในแต่ละวัน สามารถสร้างผลลัพธ์ที่ยิ่งใหญ่ได้ในอนาคต

9. มองปัญหาเป็นโอกาส
* คนชนะไม่มองปัญหาเป็นอุปสรรค แต่เห็นเป็นโอกาสในการเติบโตและหาวิธีแก้ไขที่สร้างสรรค์

10. เวลาเป็นทรัพยากรที่มีค่าที่สุด
* คนชนะจะใช้เวลาทุกนาทีให้คุ้มค่า โดยโฟกัสกับสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตและเป้าหมายของเขา
:

จิตวิทยา 9 ข้อ ช่วยเรื่องการ “ตั้งราคา” โน้มน้าวให้ลูกค้ายอม จ่ายเงินซื้อ - MarketThink

จิตวิทยา 9 ข้อ ช่วยเรื่องการ “ตั้งราคา” โน้มน้าวให้ลูกค้ายอม จ่ายเงินซื้อ - MarketThink 
เคยสังเกตไหมว่าสินค้าบางอย่างต่อให้ขึ้นราคาแค่ไหน หลายคนก็ยังยินดีที่จะจ่าย อย่างเช่น สินค้าแบรนด์เนมที่ราคาแพงและขึ้นราคาได้แทบทุกปี แต่คนก็ยังแห่ซื้อ 

กลับกันสินค้าบางชนิด แค่ขึ้นราคานิดหน่อย หลายคนก็คิดว่าแพง และหันไปซื้ออย่างอื่นแทน

สิ่งนี้เรียกว่า “ความอ่อนไหวต่อราคา” 
ถ้าหากว่าขึ้นราคาสินค้านิดเดียว แต่คนซื้อสินค้าน้อยลงเยอะมาก แปลว่า สินค้ามี “ความอ่อนไหวต่อราคาสูง” คือสินค้าจะขึ้นราคาได้ยาก
 
กลับกันถ้าขึ้นราคาสินค้า แล้วคนยังซื้อสินค้าเท่าเดิม หรือซื้อน้อยลงนิดหน่อย
แปลว่า สินค้ามี “ความอ่อนไหวต่อราคาต่ำ” คือสินค้าจะขึ้นราคาได้ง่าย

แล้วในมุมการตลาดมีเรื่องอะไรบ้างที่ส่งผลต่อความอ่อนไหวต่อราคา ? 

MarketThink มีสรุป กฎความอ่อนไหวต่อราคา 9 ข้อ ที่เขียนโดย คุณจอห์น โฮแกน 
และคุณโทมัส เนเจิล ในหนังสือเรื่อง “The Strategy and Tactics of Pricing”

1. Switching Costs Effect - คนจะอ่อนไหวกับราคาน้อยลง ถ้าหากว่าต้นทุนในการเปลี่ยนไปใช้สินค้าอื่นสูง  

คนเราจะไม่ค่อยอยากย้ายค่ายมือถือ เพราะต้องใช้เอกสารเยอะ แถมมีขั้นตอนวุ่นวาย คิดเป็นต้นทุนในเรื่องของเวลา และความสะดวกสบาย 

หลายคนเลยทนใช้ค่ายมือถือเดิม ต่อให้จะมีค่ายมือถือเจ้าอื่นมาเสนอโปรโมชันที่ราคาถูกกว่าก็ตาม

2. Reference Price Effect - คนจะอ่อนไหวกับราคามากขึ้น ถ้าเปรียบเทียบราคาสินค้ากับคนอื่นได้ง่าย

สมมติว่าเราไปเจอเสื้อตัวหนึ่งที่ศูนย์การค้า แต่พบว่าเสื้อตัวเดียวกัน ในแอป Shopee หรือ Lazada มีราคาถูกกว่าหรือพอ ๆ กัน 

แบบนี้หลายคนจะยอมจ่ายเงินซื้อเสื้อยากขึ้น เพราะรู้ว่าถ้าไปซื้อที่อื่นจะได้ราคาถูกกว่า หรือได้สิทธิพิเศษที่ดีกว่า 

3. Difficult Comparison Effect - คนจะอ่อนไหวกับราคาน้อยลง ถ้าเปรียบเทียบสินค้าเรากับคู่แข่งยาก

สมมติว่าแบรนด์ A และแบรนด์ B ขายสินค้าชิ้นเดียวกัน แต่สินค้าของแบรนด์ A ดันกลายเป็นไวรัลบน TikTok 

พอมีเรื่องของชื่อเสียงและความเป็นแบรนด์เข้ามาเกี่ยว จะทำให้ลูกค้าเปรียบเทียบ ข้อดี-ข้อเสีย 
และคุณสมบัติพื้นฐานของสินค้าได้ยากขึ้น 

ทำให้แบบนี้คนอาจจะยอมจ่ายเงินซื้อสินค้าของแบรนด์ A ง่ายกว่า

4. Price Quality Effect - คนจะอ่อนไหวกับราคาน้อยลง ถ้าหากว่าราคาสามารถสะท้อนถึงคุณภาพของสินค้าได้ 

คนเราชอบมีความเชื่อลึก ๆ ว่า ของแพง = ของดี หลายคนเลยมีแนวโน้มยอมจ่ายง่ายขึ้น ถ้ารับรู้ว่าเงินที่จ่ายไปนั้นแลกมาด้วยคุณภาพที่ดีขึ้น 

ยกตัวอย่างเช่น ไดร์เป่าผม Dyson ที่ขายราคาแพงกว่าไดร์เป่าผมทั่วไปหลายเท่า แต่คนก็ยอมซื้อ เพราะมั่นใจว่าจะได้สินค้าคุณภาพดีกว่า 

5. Expenditure Effect - คนจะอ่อนไหวกับราคามากขึ้น ถ้าราคาสินค้าหรือราคาที่ต้องจ่าย สูงเกินรายได้

เรื่องนี้พบได้บ่อยในสินค้าราคาสูงที่ต้องผ่อนชำระ เช่น เวลาจะซื้อรถยนต์สักคัน หลายคนจะมีการคำนวณค่างวดที่ต้องผ่อนต่อเดือน โดยเทียบกับเงินเดือน ว่ามีสัดส่วนเยอะแค่ไหน 

ถ้าเยอะเกินไป หลายคนก็อาจจะเลือกไม่ซื้อ หรือเปลี่ยนไปซื้อรุ่นอื่นที่ถูกกว่า 

ดังนั้น ก่อนจะตั้งราคาขายก็ควรศึกษากลุ่มเป้าหมายของเราว่า กลุ่มเป้าหมายของเราเป็นใคร และมีรายได้เยอะแค่ไหน  

6. End Benefit Effect - คนจะอ่อนไหวกับราคาน้อยลง ถ้าสินค้ามี “ผลประโยชน์ขั้นสุดท้าย” 

ยิ่งคนเราต้องการผลประโยชน์ขั้นสุดท้ายของสินค้าสูงแค่ไหน จะยิ่งยินดีจ่ายมากขึ้นเท่านั้น 

อธิบายคำว่า “ผลประโยชน์ขั้นสุดท้าย” เช่น กระเป๋าแบรนด์เนม มีฟังก์ชันการใช้งานหลัก ๆ 
คือใส่สัมภาระ แต่มีผลประโยชน์ขั้นสุดท้ายคือ “ภาพลักษณ์”

คนที่ต้องการภาพลักษณ์จากกระเป๋าแบรนด์เนม เลยจะยอมจ่ายแพงขึ้นกว่ากระเป๋าทั่วไปมาก ๆ 
เพื่อซื้อภาพลักษณ์ กลับกันคนที่ไม่ได้ต้องการภาพลักษณ์ของกระเป๋า จะยอมจ่ายได้ยากกว่า

7. Shared Cost Effect - คนจะอ่อนไหวกับราคาน้อยลง ถ้ามีตัวหารเยอะขึ้น หรือจ่ายเงินส่วนตัวน้อยลง

ถ้าลูกค้ารับรู้ว่าราคาที่ต้องจ่ายน้อยลง จะมีแนวโน้มจ่ายเงินง่ายขึ้น กลยุทธ์แบบนี้มักเห็นได้บ่อย 
ในธุรกิจประเภท Subscription รายเดือน ที่เปิดโอกาสให้ลูกค้าสามารถหารค่าบริการกันได้หลายคน

เช่น ค่าบริการ Netflix ราคา 400 บาทต่อเดือน แต่สามารถหารได้ 4 คน เหลือเฉลี่ยคนละ 100 บาทต่อเดือน แบบนี้ราคาจะดูเข้าถึงง่ายขึ้น 

8. Fairness Effect - คนจะอ่อนไหวกับราคามากขึ้น ถ้าสินค้ามีราคาที่ “สมเหตุสมผล” อยู่แล้ว 

ถ้าสินค้าที่ขาย มีราคาตลาดที่ค่อนข้างชัดเจนอยู่แล้ว ส่วนใหญ่จะขึ้นราคายาก

เช่น น้ำเปล่า 1 ขวด มีราคาขายตามร้านสะดวกซื้อที่ 10 บาท แต่เอาไปขายในร้านอาหารทั่วไปที่ไม่ใช่ร้านหรู แต่ขายขวดละ 30 บาท 
แบบนี้คนจะรู้สึกว่าแพง เพราะน้ำเปล่ามีราคาสมเหตุสมผลคือ 10 บาท

9. Framing Effect - คนจะอ่อนไหวกับราคาน้อยลง ถ้ารับรู้ราคาหรือคุณสมบัติของสินค้าในแง่ดี 

คนเรามีแนวโน้มที่จะหลีกเลี่ยงการสูญเสีย หรือที่เรียกว่า Loss Aversion และชื่นชอบในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ที่ตัวเองจะได้รับมากกว่า 

ดังนั้น ถ้าสื่อสารด้วยข้อความที่สื่อถึงผลประโยชน์ที่ลูกค้าได้รับ ลูกค้าจะยอมจ่ายเงินได้ง่ายกว่า 

ยกตัวอย่างเช่น สินค้า A และสินค้า B ขายที่ราคา 90 บาท เหมือนกัน

- สินค้า A บอกว่าราคา 90 บาท

- สินค้า B บอกว่าราคา 90 บาท เหมือนกัน แต่ลดมาจาก 100 บาท 

แบบนี้ต่อให้สินค้ามีคุณสมบัติและราคาเท่ากัน แต่คนจะมีแนวโน้มยอมจ่ายซื้อสิน B มากกว่า เพราะกลัวว่าจะสูญเสีย การได้ส่วนลด 10 บาท..

#กลยุทธ์ตั้งราคา
#ตั้งราคาให้คนซื้อ

จิตวิทยาการตลาด วิธีขายของให้ถูกใจ “สมอง” ของลูกค้า - MarketThink

อธิบาย Neuromarketing จิตวิทยาการตลาด วิธีขายของให้ถูกใจ “สมอง” ของลูกค้า - MarketThink
- ทำไมลูกค้าถึงไม่สนใจสินค้าของเรา ?
- ทำไมลูกค้าถึงไม่มีภาพจำของแบรนด์เราเลย ?
- ทำไมถึงปิดการขายไม่ได้ ?

คำถามยอดนิยมของคนทำธุรกิจเหล่านี้ ถ้าตอบอย่างง่าย ๆ ในเชิงประสาทวิทยาก็เป็นเพราะว่า
สมองของลูกค้า “ปฏิเสธการเข้าหาเราด้วยเหตุผลบางอย่าง”..

แล้วจะทำอย่างไร ให้ลูกค้าตอบรับหรือมีปฏิสัมพันธ์กลับมาหาเราบ้าง ?

ง่าย ๆ เลยก็คือ เราต้องขายของให้ถูกใจสมองของลูกค้า
เพราะแท้จริงแล้วสมองเป็นอวัยวะสำคัญ ที่กำหนดการตัดสินใจต่าง ๆ รวมถึงการตัดสินใจว่าจะซื้อ หรือไม่ซื้อสินค้าชิ้นหนึ่งด้วย

ซึ่งการศึกษาการตลาดร่วมกับประสาทวิทยานี้เอง เป็นบ่อเกิดของสาขาวิชาที่ชื่อว่า Neuromarketing
โดยถ้าเราอยากเข้าใจเบื้องหลังการตัดสินใจของมนุษย์ วิชา Neuromarketing คือคำตอบ..

Paul Donald MacLean แพทย์และนักประสาทวิทยาชาวอเมริกัน เป็นผู้พัฒนาทฤษฎีสมอง 3 ส่วน (The Triune Brain) ขึ้นมา 
เพื่อใช้อธิบายวิวัฒนาการของสมอง และพฤติกรรมในสัตว์มีกระดูกสันหลัง

โดยทฤษฎีนี้ระบุว่า สมองของมนุษย์แบ่งออกเป็น 3 ส่วน ได้แก่

1. Reptilian Brain

ทำหน้าที่เกี่ยวกับพฤติกรรมประเภท “สัญชาตญาณ” เป็นหลัก
รวมถึงลักษณะนิสัย ความเคยชิน การเอาตัวรอด และพฤติกรรมที่อยู่ในจิตใต้สำนึก

สมองส่วนนี้เริ่มพัฒนามาตั้งแต่เรายังเป็นเด็กทารก เพื่อตอบสนองความต้องการเรื่อง “ความปลอดภัย” ในการใช้ชีวิต

โดยถ้าสมองส่วนนี้ได้รับการตอบสนองขั้นพื้นฐานอย่างเพียงพอ จะเกิดความรู้สึก “สงบ”
แต่ถ้าไม่ได้รับการตอบสนองขั้นพื้นฐาน เราก็จะเกิดความรู้สึก “กลัว” ขึ้นมา..

2. Limbic System

เป็นสมองที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับอารมณ์และความรู้สึกเป็นหลัก เช่น แรงผลักดันในชีวิต และความชอบ

สมองส่วน Limbic System เมื่อได้รับการตอบสนองขั้นพื้นฐานอย่างเพียงพอ จะเกิดความรู้สึก “พึงพอใจ”
แต่ถ้าไม่ได้รับการตอบสนองขั้นพื้นฐาน จะเกิดความรู้สึก “ไม่พอใจ” 

3. Neocortex

เป็นสมองส่วนที่มีการพัฒนาสูงในมนุษย์ และสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนมเพียงไม่กี่ชนิด
ทำหน้าที่เกี่ยวกับภาษา ตรรกะ การให้เหตุผลที่ซับซ้อนมากขึ้น สิ่งที่เป็นนามธรรม และจินตนาการ

แล้วสมองทั้ง 3 ส่วน ทำงานได้อย่างไร ?

การทำงานของสมองทั้ง 3 ส่วน จะเริ่มจากการส่งกระแสประสาทไปที่ Reptilian Brain ก่อนเป็นที่แรก

ถ้าเป็นเรื่องที่ใช้สัญชาตญาณหรือจิตใต้สำนึกในการตอบสนอง ร่างกายก็จะตอบสนองทันที 
โดยไม่ผ่านสมองส่วนอื่น ที่เกี่ยวกับอารมณ์หรือเหตุผล

แต่ถ้าเป็นเรื่องที่ต้องอาศัยการให้เหตุผล กระแสประสาทจะถูกส่งต่อไปที่ Limbic System ซึ่งเป็นสมอง
ส่วนที่เกี่ยวข้องกับอารมณ์และความรู้สึก และ Neocortex หรือสมองส่วนที่เกี่ยวกับเหตุผล ตามลำดับต่อไป

ดังนั้น การทำการตลาดที่มีประสิทธิภาพด้วยความรู้ในสาขาวิชา Neuromarketing
จึงต้องอาศัยสิ่งเร้าที่ส่งผลต่อสมองส่วน Reptilian Brain หรือสมองส่วนสัญชาตญาณให้มากที่สุด
เพื่อให้ลูกค้าเกิดความสนใจ จดจำได้ และกระตุ้นการตัดสินใจซื้อสินค้าอย่างรวดเร็ว

ซึ่งสิ่งเร้าสำคัญที่ส่งผลโดยตรงต่อสมองส่วนสัญชาตญาณมี 6 ประเภท ดังนี้

1. สิ่งที่เกี่ยวกับตัวผู้ชม

เนื่องจาก สมองส่วนสัญชาตญาณวิวัฒนาการมาเพื่อตอบสนองเรื่อง “ความปลอดภัย” เป็นหลัก
เพื่อให้มนุษย์ในยุคโบราณ สามารถ “เอาชีวิตรอด” จากสภาพแวดล้อมที่โหดร้ายได้

ซึ่งสัญชาตญาณการเอาตัวรอด ทำให้มนุษย์ทุกคนมี “ความเห็นแก่ตัว” เป็นพื้นฐาน
มนุษย์จึงมักแสดงพฤติกรรมสนใจในสิ่งที่เกี่ยวข้องกับตัวเองก่อนเสมอ

ลองจินตนาการว่า หากเรากำลังเลื่อนดูคอนเทนต์ในเฟซบุ๊ก
แล้วลองคิดสิว่า เราจะหยุดอ่านเนื้อหาคอนเทนต์แบบไหนกันบ้าง ?

หนึ่งในคอนเทนต์ที่เราน่าจะหยุดอ่านกันแน่ ๆ ก็คือ คอนเทนต์ที่มีเนื้อหาที่มีความเกี่ยวข้องกับตัวเราเอง
นั่นก็เพราะ มันอาจส่งผลกระทบกับเราได้ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง 

ตัวอย่างเช่น 
- ข่าวรัฐบาลเคาะแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท (เราสนใจว่าเราจะได้เงินไหม)
- ข่าวโรงงานย่านบางซื่อซุกแคดเมียม (เราสนใจเพราะมันอันตรายต่อเราและอยู่ใกล้ตัวมากกว่าที่คิด)

หรืออย่างเช่น ถ้าคุณอ่านถึงตรงนี้ แสดงว่าเรื่องนี้ก็มีความเกี่ยวข้องกับคุณเหมือนกัน..

ดังนั้น การสร้างโฆษณาหรือคอนเทนต์ จึงควรเล่าในมุมมองที่เกี่ยวกับลูกค้า

โดยยึดลูกค้าเป็นศูนย์กลาง แล้วค่อย ๆ ขยายเรื่องราวว่า ลูกค้ากำลังเผชิญกับปัญหาอะไรอยู่
จากนั้นจึงเสนอวิธีแก้ปัญหาให้ลูกค้า ผ่านสินค้าของเรา

เพียงเท่านี้ ลูกค้าก็จะอินไปกับเรื่องราวที่เราเล่า และอยากลองหาซื้อสินค้ามาใช้บ้าง
ซึ่งดีกว่าการพูดถึงแต่สินค้า ธุรกิจ หรือสิ่งอื่น ๆ ที่แบรนด์อยากเล่าเพียงอย่างเดียว

2. สิ่งที่จับต้องได้

สมองส่วนสัญชาตญาณชอบสิ่งที่เป็นรูปธรรม จับต้องได้ และทำความเข้าใจได้ง่าย ไม่ต้องใช้ความพยายามในการทำความเข้าใจมาก

ลองจินตนาการว่า เรากำลังเข้าเรียนในคลาสเรียนหนึ่ง
แน่นอนว่า เราก็คงคิดในใจ ขอให้อาจารย์ช่วยอธิบายเนื้อหาให้เข้าใจง่าย ๆ

คงไม่มีใครยกมือขึ้น แล้วบอกอาจารย์ว่า 
“อาจารย์สอนเข้าใจง่ายไป ช่วยอธิบายให้ซับซ้อน เข้าใจยากกว่านี้หน่อยครับ” จริงไหม..

การทำคอนเทนต์เพื่อทำการตลาดโปรโมตสินค้าก็เช่นเดียวกัน
นักการตลาดจะต้องหาวิธีลดการใช้ความพยายามทางความคิดให้มากที่สุด

โฆษณาจะเป็นอะไรก็ได้ แต่ต้องเรียบง่ายเข้าไว้ และไม่ซับซ้อนจนเกินไป

โดยถ้าโฆษณาเป็นข้อความ ก็อาจใช้วิธีอุปมาอุปไมย เปรียบเทียบให้เห็นภาพ

หรือถ้าสินค้ามีความซับซ้อน ก็ต้องเล่าเป็นลำดับขั้นตั้งแต่พื้นฐานอย่างละเอียด
ซึ่งบางที การหลีกเลี่ยงการใช้คำศัพท์ทางเทคนิค หรือคำศัพท์เฉพาะที่ไม่จำเป็น ก็ช่วยให้ลูกค้าเข้าใจสิ่งที่เราจะสื่อได้ง่ายขึ้น

รวมทั้งการใช้คำพูด เรื่องราว วิธีการเล่า ที่คิดว่าลูกค้าคุ้นเคย ก็เป็นวิธีที่ดีเช่นกัน

ยิ่งสิ่งที่นำเสนอมีความเข้าใจง่ายมากเท่าไร ความประทับใจครั้งแรกของลูกค้า
ที่เกิดขึ้นในสมองส่วนสัญชาตญาณก็ยิ่งมีมากขึ้นเป็นเงาตามตัวด้วยเช่นกัน

ตัวอย่างเช่น คอนเทนต์วิดีโอขายกระเป๋าเดินทาง

ถ้าเราโพสต์รูปสินค้ากระเป๋าเดินทาง
แล้วเขียนแคปชันอธิบายว่า กระเป๋าเดินทางทำจากวัสดุชนิดพิเศษ แข็งแรง ทนทานต่อการกระแทก

การทำคอนเทนต์แบบนี้ ลูกค้าจะมองไม่เห็นภาพเลยว่า สินค้ามันแข็งแรงทนทานจริงหรือไม่

แต่เคยมีคนทำคอนเทนต์เอากระเป๋าเดินทางมาทุบด้วยค้อน โยนทุ่มใส่พื้น
กระโดดขึ้นไปยืนบนกระเป๋า แล้วพบว่ากระเป๋านั้นไม่บุบเลยสักนิด จนทำให้มีคนสั่งซื้อเป็นจำนวนมาก

ซึ่งจะเห็นได้ว่า การทำให้ลูกค้าเห็นภาพ มีส่วนทำให้คนสนใจมากกว่าการใช้ตัวอักษรอธิบาย
นั่นก็เพราะ สิ่งเร้าที่ตามองเห็นไปกระตุ้นสมองส่วนสัญชาตญาณให้สนใจง่ายขึ้นนั่นเอง

3. สิ่งที่แตกต่าง

เมื่อสมองส่วนสัญชาตญาณไม่ชอบการคิดอะไรที่ซับซ้อน
ดังนั้น การสร้างคอนเทนต์เปรียบเทียบความแตกต่างให้ลูกค้าเห็นภาพได้ชัดเจน จึงเป็นตัวเลือกที่ดีมาก

โดยการสร้างความแตกต่าง อาจจะเป็นการเปรียบเทียบสินค้าของเรากับของคู่แข่งในมุมต่าง ๆ 
จะทำให้ลูกค้าเห็นภาพความแตกต่างชัดเจนขึ้น

4. สิ่งที่จำง่าย

สมองของมนุษย์ชอบเรื่องราวที่เข้าใจง่าย ไม่ซับซ้อน
โดยเฉพาะจุดเริ่มต้นและจุดจบของเรื่องราว จะเป็นส่วนที่สมองจดจำได้มากที่สุด

ดังนั้น คอนเทนต์ที่ดี ควรจะเริ่มด้วยผลลัพธ์ หรือเล่าสิ่งที่เราอยากบอกลูกค้าไปเลย โดยไม่ต้องเกริ่นก่อน
เพราะจุดนี้ คือ 1 ใน 2 จุด ที่ลูกค้าจะโฟกัสให้ความสนใจ และจดจำได้มากที่สุด

อีกจุดที่ควรใส่ใจคือ ก่อนจบคอนเทนต์ ควรมีการสรุปให้ชัด เช่น สรุปเป็น Bullet เพื่อให้ลูกค้าจดจำได้ง่ายขึ้น

ลองสังเกตว่า ทำไมคอนเทนต์วิดีโอสั้นใน TikTok หรือ Reels ใน Instagram ถึงมีเอนเกจเมนต์สูง ?

นั่นก็เพราะว่า คอนเทนต์เหล่านี้มีเวลาจำกัดในการนำเสนอเนื้อหาข้างใน
อีกทั้งผู้ชมส่วนใหญ่ก็พร้อมปัดทิ้งทันทีที่เห็นว่าคอนเทนต์นั้นไม่น่าสนใจ

จึงทำให้คอนเทนต์ครีเอเตอร์เหล่านั้น ต้องรีบเข้าประเด็นที่ต้องการสื่อสารทันทีตั้งแต่เปิดคลิป
บางคนก็เอาข้อมูลที่สำคัญที่สุดมาพูดตั้งแต่แรก หรือมาตั้งเป็นชื่อคลิปกันเลยก็มี

ถึงแม้ว่าคอนเทนต์เหล่านี้จะมีข้อจำกัดเรื่องความยาวในการนำเสนอ
แต่มันก็มีข้อดีคือ กระตุ้นสมองส่วนสัญชาตญาณได้ดี คนจึงเกิดความสนใจและจดจำเนื้อหาได้ง่าย

5. สิ่งที่มองเห็นได้

รู้หรือไม่ว่า สมองส่วนสัญชาตญาณตอบสนองต่ออันตรายจากการมองเห็น ด้วยเวลาเพียง 13 มิลลิวินาที

ขณะที่สมองส่วนเหตุผลจะใช้เวลามากถึง 500 มิลลิวินาที หรือมากกว่าราว 40 เท่า
สมองส่วนเหตุผลจึงจะตอบสนองต่อสิ่งเร้านั้น

นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ว่า ทำไมเราจึงวิ่งหนีอย่างไม่คิดชีวิต เมื่อเห็นอะไรก็ไม่รู้ที่มีลักษณะคล้ายงู
โดยที่เราไม่สนใจเลยว่ามันคือตัวอะไรกันแน่

โดยสมองจะข้ามการทำงานส่วนเหตุผลไปทันที และเอาตัวเองให้รอดก่อน
แล้วค่อยไปคิดหาเหตุผลทีหลังว่าเราตกใจ และวิ่งหนีตัวอะไรกันแน่

จะเห็นได้ว่าสิ่งที่เรามองเห็น ส่งผลต่อกระบวนการเริ่มต้นการตัดสินใจของคนอย่างมาก
ซึ่งนั่นก็รวมไปถึงการทำการตลาดอีกด้วย

เพราะความสนใจของลูกค้า เริ่มต้นจากการมองเห็นคอนเทนต์ของเรา เป็นลำดับแรก
เราจึงควรให้ความสนใจเกี่ยวกับคอนเทนต์ที่ใช้โฆษณามากเป็นพิเศษ

ซึ่งสิ่งเร้าผ่านการมองเห็นที่ดึงดูดความสนใจของคนได้ดีที่สุด เรียงตามลำดับ คือ
วัตถุเคลื่อนไหว 3 มิติ > วัตถุนิ่ง 3 มิติ > ภาพเคลื่อนไหว 2 มิติ > ภาพนิ่ง 2 มิติ

โดยภาพถ่ายจะดึงดูดความสนใจได้ดีกว่าภาพวาด
เพราะภาพถ่ายคือรูปเสมือนจริงที่คนคุ้นเคยมากกว่า เป็นรูปธรรมมากกว่า และไม่ต้องตีความใด ๆ

ส่วนข้อความ แผนภาพ แผนภูมิ กราฟ และอื่น ๆ จะดึงดูดความสนใจได้น้อยกว่า
เพราะสิ่งเหล่านี้จำเป็นต้องอาศัยความเข้าใจ และการตีความเพิ่มเติมจากสมองส่วนเหตุผลด้วย

6. สิ่งที่ทำให้เกิดอารมณ์ 

หากเราจะซื้อของสักชิ้นหนึ่ง เราใช้ “อารมณ์” หรือ “เหตุผล” ในการตัดสินใจซื้อมากกว่ากัน ?

คำตอบก็คือ อารมณ์ เพราะอารมณ์เป็นสิ่งกระตุ้นให้เกิดการตัดสินใจ
ไม่ใช่แค่เรื่องการตัดสินใจซื้อสินค้าเท่านั้น แต่รวมถึงเรื่องอื่น ๆ ในชีวิตประจำวันด้วย

โดยอารมณ์ของคนนั้น แท้จริงแล้วเกิดจากการหลั่งสารสื่อประสาทและฮอร์โมน
จากการทำงานร่วมกัน ของระบบประสาทและระบบต่อมไร้ท่อในร่างกาย

เช่น สารเอนดอร์ฟินและเซโรโทนิน ที่ทำให้เกิดความสุข 
โดปามีน ทำให้เกิดความคาดหวัง ความพึงพอใจ
อะดรีนาลิน ทำให้เกิดความโกรธ ความตื่นเต้น ความตกใจ
และออกซิโทซิน ทำให้เกิดความรัก ความผูกพัน

ดังนั้น การกระตุ้นอารมณ์จึงทำให้คนเกิดความสนใจและตัดสินใจได้อย่างรวดเร็ว จากการหลั่งสารสื่อประสาทและฮอร์โมน ที่ร่างกายหลั่งออกมา

แล้วเราจะใช้ประโยชน์จากอารมณ์ของมนุษย์ได้อย่างไร ?

เนื่องจากสมองส่วนสัญชาตญาณจะถูกกระตุ้นด้วยอารมณ์เชิงลบมากกว่าอารมณ์เชิงบวก
เพราะมันส่งผลต่อความอยู่รอดของมนุษย์มาตั้งแต่อดีต

ทำให้มนุษย์มีอคติทางความคิด เรื่องกลัวการสูญเสีย (Loss Aversion) ในสัญชาตญาณ

การทำการตลาดจึงควรกระตุ้นอารมณ์กลัวและเสียใจก่อน 
เช่น ขยี้ปมปัญหาที่กลุ่มเป้าหมายประสบพบเจอ

ซึ่งจะทำให้พวกเขาเกิดความสนใจ และจดจำสิ่งที่พวกเขากำลังรับชมได้อย่างรวดเร็ว
เพราะมันส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวันของพวกเขาโดยตรง

หลังจากนั้นจึงค่อยกระตุ้นอารมณ์แห่งความคาดหวัง
ว่ากลุ่มเป้าหมายจะได้ความสุข ความสบายใจ และความพึงพอใจ จากการใช้สินค้า

เพียงเท่านี้ ก็ทำให้หลาย ๆ คน เกิดความสนใจและจดจำสินค้าได้เป็นอย่างดี

อ่านมาถึงตรงนี้ หลายคนอาจสงสัยว่า ทำการตลาดจำเป็นต้องใช้สิ่งเร้าครบทั้ง 6 องค์ประกอบหรือไม่

เรื่องนี้ก็คงต้องบอกว่า จำเป็นต้องใช้สิ่งเร้าทั้ง 6 อย่าง จึงจะกระตุ้นสมองส่วนสัญชาตญาณได้มากที่สุด

ซึ่งทำให้ การทำความเข้าใจกระบวนการทำงานของสมองมนุษย์นั้น มีความสำคัญมาก ไม่แพ้ทฤษฎีความรู้วิชาการตลาดในหัวข้ออื่น ๆ เลย

ถ้าใครมีเวลา การศึกษาความรู้เกี่ยวกับ Neuromarketing เพิ่มเติม ก็เป็นตัวเลือกที่ดี
เพราะมันจะทำให้เราเข้าใจเบื้องหลังความคิด และการตัดสินใจของลูกค้าได้ดีมากขึ้นนั่นเอง..

#Neuromarketing
#จิตวิทยาการตลาด
#ประสาทวิทยาสมอง
—--------------------------------------------
อ้างอิง:
-หนังสือ The Persuasion Code การตลาดอ่านขาดด้วยวิทยาศาสตร์สมอง โดย Christophe Morin, Patrick Renvoise
-https://en.wikipedia.org/wiki/Triune_brain
-https://www.rlg-ef.com//
-https://www.smartinsights.com/digital-marketing-strategy/an-introduction-to-neuromarketing/

วันอาทิตย์ที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2567

เซ็นเซอร์เครื่องยนต์ในเพลาข้อเหวี่ยง ที่ควรรู้

เซ็นเซอร์เพลาข้อเหวี่ยง หรือที่เรียกว่าเซ็นเซอร์ตำแหน่งเพลาข้อเหวี่ยง มีหน้าที่สื่อสารระหว่างเครื่องยนต์ เพลาข้อเหวี่ยง และคอมพิวเตอร์รถยนต์ โดยปกติแล้วรถจะไม่สามารถสตาร์ทได้หากเซ็นเซอร์นี้เสีย แต่มีวิธีที่อาจช่วยให้สตาร์ทรถได้เพื่อขับไปอู่ซ่อม เรามาดูรายละเอียดเกี่ยวกับเซ็นเซอร์เพลาข้อเหวี่ยง การสตาร์ทเครื่องยนต์ และการซ่อมรถของคุณกัน
สิ่งที่ควรรู้:
- หากเป็นไปได้ ควรลากรถไปที่อู่ซ่อม การสตาร์ทรถที่เซ็นเซอร์เพลาข้อเหวี่ยงเสียนั้นมีความเสี่ยงและมักไม่ได้ผล
- ลองถอดเซ็นเซอร์ที่เสียออกและฉีดน้ำมันสตาร์ทเครื่องเล็กน้อยเข้าไปในคอลิ้นเร่ง จากนั้นลองสตาร์ทเครื่อง
- คุณจะรู้ว่าเซ็นเซอร์เพลาข้อเหวี่ยงเสียเมื่อไฟเช็คเครื่องสว่าง รถสตาร์ทไม่ติด หรือเครื่องสั่นและดับเมื่อสตาร์ทติด
- ให้ช่างเป็นผู้เปลี่ยนเซ็นเซอร์หากคุณไม่มีความรู้ด้านช่างยนต์ เพราะการซ่อมเซ็นเซอร์เพลาข้อเหวี่ยงนั้นซับซ้อน

เซ็นเซอร์เพลาข้อเหวี่ยงคืออะไร?
เซ็นเซอร์เพลาข้อเหวี่ยงทำหน้าที่ดูแลและแจ้งข้อมูลให้เครื่องยนต์
- มันตรวจจับความเร็วการหมุนและตำแหน่งของเพลาข้อเหวี่ยง แล้วส่งข้อมูลไปยังกล่องควบคุมเครื่องยนต์ (ECU) และโมดูลควบคุมระบบส่งกำลัง (PCM)
- คิดว่าเซ็นเซอร์นี้เหมือนผู้รายงานข่าวของรถยนต์ที่บอกเครื่องยนต์ว่าเมื่อไหร่และทำไมต้องปรับแต่งเพื่อหลีกเลี่ยงการจุดระเบิดผิดจังหวะ
- หากเซ็นเซอร์เสีย รถมักจะสตาร์ทไม่ติดเพราะเครื่องยนต์ไม่ได้รับข้อมูลจาก ECU หรือ PCM เกี่ยวกับเพลาข้อเหวี่ยง ทำให้ระบบคิดว่ามีปัญหาที่เกียร์หรือระบบฉีดน้ำมันเชื้อเพลิง
- เมื่อเซ็นเซอร์ไม่ทำงาน เครื่องยนต์และเพลาข้อเหวี่ยงจะทำงานไม่สัมพันธ์กันแม้ว่าคุณจะสตาร์ทรถติด ซึ่งอาจทำให้เกิดการจุดระเบิดผิดจังหวะหรือเครื่องดับ

ไฟเช็คเครื่องสว่าง
ไฟเช็คเครื่องจะสว่างเมื่อ ECU หรือ PCM ตรวจพบปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพเครื่องยนต์ เซ็นเซอร์เพลาข้อเหวี่ยงที่เสียจะส่งค่าผิดปกติไปยังเครื่องยนต์ ดังนั้นไฟเช็คเครื่องจึงควรสว่างเสมอหากเซ็นเซอร์นี้มีปัญหา

วิธีเปลี่ยนเซ็นเซอร์ด้วยตัวเอง
1. ซื้อเซ็นเซอร์ใหม่สำหรับรถของคุณ
2. ดับเครื่องยนต์และถอดขั้วลบแบตเตอรี่
3. หาตำแหน่งเซ็นเซอร์และถอดขั้วไฟฟ้า
4. ใช้ประแจถอดโบลต์และดึงเซ็นเซอร์เก่าออก
5. ทำความสะอาดบริเวณรอบๆ เซ็นเซอร์ด้วยผ้าแห้ง
6. ใส่เซ็นเซอร์ใหม่เข้าไป
7. ขันโบลต์ให้แน่น ต่อสายไฟ และใส่ขั้วแบตเตอรี่กลับเข้าที่

หมายเหตุ:
- เซ็นเซอร์ตำแหน่งเพลาข้อเหวี่ยงมักอยู่ระหว่างเกียร์กับเครื่องยนต์
- หากไฟเช็คเครื่องยังไม่ดับแต่อาการต่างๆ หายไป คุณต้องรีเซ็ตรหัสข้อผิดพลาดด้วยเครื่องสแกน OBD-2
- เซ็นเซอร์ส่วนใหญ่มีลักษณะเป็นโมดูลรูปตัว L ยาว 2-3 นิ้ว มีช่องสำหรับลูกปืน 1-2 ช่อง
บท
ที่มา
#koso9

วันเสาร์ที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2567

อำนาจและพลังแห่งบุญบารมี

หมั่นตักน้ำใส่ตุ่ม
เติมทาน  
เติมศีล
เติมภาวนาทุกวัน  
น้ำล้นตุ่มเมื่อไหร่  
เราจะได้กินได้ใช้
จากผลของบุญที่เราสะสม
🙏🙏🙏
หลวงปู่พระมหาศิลา  สิริจันโท
🙏🙏🙏
     บุญ....หน้าตาเป็นยังไง
ผมก็ไม่เคยเห็นครับ
แต่ผมเชื่อว่า บุญ-บาป
มีอยู่จริง!
     สมัยก่อนผมไม่เคยคิดจะเชื่อเรื่องกรรมเวร
     ไม่เคยทำได้แม้กระทั่งศีล5...เพราะเมาหัวราน้ำตลอด
      มาช่วงชีวิตนึง...ผมจึงได้เข้าใจครับว่า. โลกนี้...เราคิดแบบไหน...จะส่งผมให้กรรมเป็นแบบนั้น (กรรม = การกระทำ )
      ในทางวิทยาศาสตร์>>>บุญ มองไม่เห็นก็ด้วยสายตาเปล่าของมนุษย์ก็จริงครับ...แต่ไม่ได้แปลว่า ไม่ได้มีจริง!
       ผมยกตัวอย่างสิ่งที่มองไม่เห็น...แต่ในทางวิทยาศาสตร์บอกได้ว่า มีอยู่จริง...เอาง่ายๆใกล้ตัวก็มวลชื้น....มองไม่เห็นครับ...มวลของน้ำในอากาสที่เล็กในระดับอะตอมหรือ ควอนตัม...ลอยอยู่ในกาศรอบตัวเราตลอดเวลา....เราไม่สามารถมองเห็นโมเลกุลน้ำรอบตัวเราได้
       แต่มันมีอยู่จริงครับ...มวลโมเลกุลน้ำเล็กๆที่ลอยในอากาศ...เรามองไม่เห็นแต่มันมีอยู่จริง....เพราะเมื่อมันรวมตัวกัน....มันจะกลายเป็นเมฆ...แล้วจากเมฆก็กลายน้ำฝน....จากน้ำฝน....เมื่อโดนความเย็นที่จุดศูนย์องศา....ไอ้น้ำที่เราไม่เคยมองเห็น....มันก็กลายเป็นน้ำแข็ง....ให้เราจับต้องได้....เห็นเป็นรูปธรรม
        ใช่ครับ....อย่าตัดสินทุกอย่างจากแค่เราไม่เคยเห็นมัน.  หรือ พิสูจน์ไม่ได้....แล้วมันจะแปลว่าสิ่งนั้นไม่ได้มีอยู่จริง
         บนโลกนี้...ทุกอย่างล้วนแล้วแต่มีความเป็นไปได้ และเป็นไปไม่ได้....เท่าๆกัน
          เมื่อก่อนใครเชื้อเรื่องมนุษย์ต่างดาวก็อาจจะมองว่า เลอะเทอะ หรือ งมงาย....แต่ทุกวันนี้...ถ้าพูดเรื่องสิ่งมีชีวิตนอกโลก. หรือ แม้แต่MULTIVERSE หรือการเดินทางข้ามเวลา...ก็มีคนที่สนใจกันอย่างแพร่หลาย....ให้สืบเสาะเรียนรู้หาความจริงกันในทุกวัน
       สำหรับตัวผมความเชื่อเรื่อง"บุญ"กับ"บาป "จึงมีอยู่จริง
        ถึงจับต้องไม่ได้...แต่รู้ว่า มันคือ ธรรมชาติของโลกนี้....ที่มี Action= Re action เสมอ
         ผมโชคดีที่ได้มีโอกาสเจอคนเก่งๆ และคนที่ประสบความเร็จในชีวิตหลายคน
         เวลาเจอคนเหล่านี้...ผมก็มักไปเจอพวกเค้าในงานบุญงานกุศล หรือไม่ก็ตามสถานปฏิบัติธรรม...บ่อยๆ
         มีผู้ชายคนนึงเป็นเศรษฐีใจบุญที่เป็นนักธุรกิจระดับประเทศเลย
         พูดชื่อไปคุณต้องร้องอ๋อ...แต่พี่เค้าก็ไม่ประสงค์อยากจะออกสื่อว่า. ผมมาทำบุญนะ...ผมเป็นเศรษฐีใจบุญนะ
         ผมได้มีโอกาสคุยกับพี่เค้า...คุยเกือบชั่วโมงเรื่องการทำความดี
         สิ่งที่ผมอยากถามพี่คนนี้มากเลย....เพราะว่าก่อนหน้านี้หลวงพ่อสุริยันต์ท่านเคยเล่าให้ผมฟังว่า มีเศรษฐีใจบุญท่านนึงมาสร้างวิหารมาสร้างกุฏิให้ที่วัด
          พอมาเจอพี่เค้าอีกที...ก็มารู้ว่า พี่นักธุรกิจท่านนี้....มาช่วยหลวงปู่ศิลา>>ซื้อที่ดินสร้างพระธาตุที่ธรรมอุทยานอีก
           ผมจึงถามพี่เค้าว่า ทำไมพี่ถึงทำบุญขนาดนี้
เพราะlookพี่คือ นักธุรกิจระดับแนวหน้าในโลก Bisiness...แต่ผมไม่เคยรู้เลยว่า อีกด้านนึงพี่เค้าช่วยเหลือวัด....สร้างกุฏิให้พระให้เณร
      สร้างพระประฐานให้วัดในชนบท
       และทะนุบำรุงพระพุทธศาสนาเงียบๆแบบปิดทองหลังพระเรื่อยมา....โดยไม่ค่อยได้บอกใคร.   และไม่ชอบออกสื่อเรื่องงานบุญ
        พี่เค้าตอบผมว่า.  พี่ทำบุญมานานแล้ว...ไม่ค่อยมีใครรู้หรอก
         ถามว่าบุญ...มีจริงมั้ย??...พี่ก็ไม่รู้นะ....แต่ทุกครั้งที่พี่ทำเรื่องดี.....บุญมันเกิดกับใจพี่เลย.....คือ ความอิ่มเอิบเติมเต็มอะไรบางอย่าง...พี่ว่า มันเป็นพลังใจว่ะ
       เพราะชีวิตเรา...มีอยู่ 3 อย่างคือ 
ทุกข์
สุข
กับ เฉยๆ
    และสังเกตุมั้ย...เวลาส่วนใหญ่ในชีวิตมักจะมีทุกข์เยอะกว่าสุข และไอ้เฉยๆ ด้วย
     สำหรับพี่...การทำบุญก็คือ การมอบความสุขให้ตัวเราเองในช่วงเวลาของชีวิตนึงนั่นแหล่ะ...มันfullfill เติมเต็มข้างในให้ตัวพี่
       เมื่อใจมันสุข.  ทำอะไรก็สุขนะ...กินข้าวก็สุขขึ้น...ทำงานก็สุขขึ้น
...เรายิ้มมากขึ้น....คนรอบข้างก็ยิ้มมากขึ้น
...ทุกอย่างรอบตัวเรา...มันเป็นไปตามข้างในของตัวเราน่ะยุง
       ดังนั้น....1 ในความสุขของชีวิต.   โหมดนึงในช่วงที่พี่พอจะมีเวลาคือ การได้มาทำบุญนี่แหล่ะ
       เอ้อ...ยุง....ถ้าเราจะทำบุญหล่อพระประธาน
ไปให้วัดที่ไหน.  หรือ จะซื้อรถตู้พยาบาลเป็นสาธารณกุศล....ก็โทรมาบอกพี่ล่ะ....เดี๋ยวพี่ขอร่วมบุญด้วย
       (((ผมฟังสิ่งที่พี่นักธุรกิจคนนี้พูด.  แล้วผมรู้สึกปลื้มปิติมากเลยฮะ....ผมร้องอ๋อได้คำตอบในใจเลยว่า. ทำไมคนคนนี้ถึงได้เกิดมาเป็นเศรษฐี...เพราะวิธีคิดmindsetเค้าเป็นผู้เจริญมากๆนี่เอง
       ผมไม่ได้สรรเสริญคนรวยนะฮะ.  เพราะสำหรับผมคนรวยสันดานชั่วก็มีเยอะแยะไป
         คนที่ผมสรรเสริญจริงๆคือ คนที่มีหัวใจเศรษฐี...คนรวยที่แท้จริง...จะรู้จักให้. รู้จักแบ่งและรู้จักการรับความสุขนั้นคืนกลับมา
         ผมบอกตัวผมเองว่า นี่แหล่ะวิธีคิดของคนที่มีพื้นฐานจิตใจสูงเค้าจะมีสภาวะแบบนี้...คือ Mindsetภายในของพี่คนนี้เค้าไม่เคยขาดแคลนครับ....ส่งผลให้ชีวิตจริงของเค้าจึงเหลือเฟือ...ไม่เคยขาดแคลนนั่นเอง
        ภายในเราเป็นแบบไหน>>>จะสะท้อนออกมาภายนอกเป็นแบบนั้นนั่นเอง
🙏🙏🙏การมีศีล5คือ การยกระดับพื้นฐานจิตใจขั้นพื้นฐาน...ที่จะยกระดับจากความเป็นคนให้เป็นมนุษย์
        การทำบุญ. รู้จักให้ทาน...ก็คือ การยกระดับจิตใจจากมนุษย์...ไปสู่การเป็นมนุษย์ที่ประเสริฐขึ้น
        เมื่อภายในประเสริฐ.  ภายนอกจะประเสริฐตามพลังแห่งภายใน
        ผมขอบคุณโชคชะตาที่พามาให้ผมได้เจอคนประเสริฐ...และได้เรียนรู้วิถีของการใช้ชีวิตให้ประเสริฐขึ้นเหมือนพวกเค้า
       🙏🙏🙏
อย่างคำสอนที่หลวงปู่ศิลาท่านบอกไว้นั่นแหล่ะครับ
"บุญนั้น...หมั่นทำ
เหมือนตักน้ำใส่ตุ่มไว้เถอะ
     เราไม่รู้ว่า ปีหน้าน้ำจะแล้งมั้ย.  
ไม่รู้ว่า ชีวิตข้างหน้าจะเป็นยังไง
      แต่ที่รู้คือ น้ำในตุ่มที่เราตักไว้ในตุ่มทุกครั้ง...เย็นชื่นใจทุกครั้งที่เราได้ตักมัน...เอามาล้างหน้าล้างตา
    แล้วยิ้มสู้ชีวิตต่อไปครับ"
🙏🙏🙏

สำเร็จ 2 เท่าด้วยความพยายาม แค่ครึ่งเดียว

.
1. ทำให้งานใหญ่เล็กลง
ไม่ว่าปัญหาจะยากแค่ไหน ให้แตกมันออกเป็นชิ้นเล็ก ๆ ที่จัดการได้ และโฟกัสเพียงทีละส่วน  
.
2. เวลากับพลังงานสำคัญกว่าชั่วโมงทำงาน
การบริหารพลังงานและช่วงเวลาที่คุณมีประสิทธิภาพสูงสุด สำคัญกว่าการทำงานนาน ๆ  
.
3.หยุดทำสิ่งที่ไม่จำเป็น
ตัดงานหรือกิจกรรมที่ไม่ได้สร้างผลลัพธ์ออก เพื่อปลดปล่อยเวลาและพลังงานไปสู่สิ่งที่สำคัญจริง ๆ  
.
4. สร้างระบบ ไม่ใช่แค่เป้าหมาย
การตั้งเป้าหมายอาจช่วยให้คุณเริ่มต้น แต่การมีระบบที่ดีจะทำให้คุณไปได้ไกลกว่าที่คิด  
.
5.มองหาวิธีที่ฉลาดกว่า ไม่ใช่แค่พยายามหนักขึ้น
การทำงานที่มีประสิทธิภาพไม่ได้หมายถึงการทำมากขึ้น แต่หมายถึงการทำอย่างชาญฉลาด  
.
6.อย่าปล่อยให้สมาธิหลุด
กำจัดตัวรบกวน เช่น การแจ้งเตือนโทรศัพท์ และสร้างสภาพแวดล้อมที่ช่วยให้คุณโฟกัส  
.
7.พักเพื่อชนะ
การพักระหว่างงานไม่ใช่การเสียเวลา แต่เป็นการเติมพลังเพื่อทำให้งานถัดไปสำเร็จได้เร็วกว่า  
.
8.เรียนรู้ที่จะปฏิเสธ
อย่ากลัวที่จะบอกว่า "ไม่" กับสิ่งที่ไม่ใช่สิ่งสำคัญ เพื่อรักษาเวลาและพลังงานให้กับสิ่งที่สำคัญกว่า  
.
9.เริ่มต้นจากสิ่งที่สำคัญที่สุด
ทำงานที่สำคัญที่สุดในช่วงเวลาที่คุณมีพลังงานสูงสุดในวัน  
.
10.ยอมรับความไม่สมบูรณ์แบบ
การพยายามทำทุกอย่างให้สมบูรณ์แบบเป็นกับดักที่เสียเวลา ให้ยอมรับและปล่อยวางในสิ่งที่ดีพอแล้ว  

---

.
📒 แนะนำให้อ่าน หนังสือ Time wise สำเร็จ 2 เท่าด้วยความพยายามแค่ครึ่งเดียว

ศาสตร์พระราชา "ห่มดิน" เลี้ยงดินให้มีชีวิต ฟื้นชีวิตให้แผ่นดิน.

ศาสตร์พระราชา "ห่มดิน" เลี้ยงดินให้มีชีวิต ฟื้นชีวิตให้แผ่นดิน
.
การ “ห่มดิน” หรือ “คลุมดิน” โดยใช้ฟาง เศษหญ้า หรือใบไม้ที่สามารถย่อยสลายได้เองตามธรรมชาติ และใส่อาหารให้แก่ดิน ด้วยการใส่ปุ๋ยอินทรีย์ชีวภาพลงไป เพื่อให้อาหารแก่ดิน
.
ประโยชน์ของการห่มดิน
1. เป็นที่อยู่อาศัยของจุลินทรีย์
2. เป็นอาหารให้สัตว์หน้าดิน เช่น ไส้เดือน กิ้งกือ ฯลฯ ซึ่งช่วยพรวนดิน และถ่ายมูลเป็นปุ๋ยให้พืช
3. เก็บรักษาความชื้น
4. เมื่อย่อยสลายจะกลายเป็นฮิวมัส ซึ่งเป็นปุ๋ยให้กับพืช
.
ประโยชน์ของจุลินทรีย์
1. ช่วยตรึงไนโตรเจนจากอากาศ ซึ่งในอากาศมีก๊าชไนโตรเจนอยู่ถึง 78%
2. ช่วยย่อยสลายซากพืช ซากสัตว์
3. ช่วยย่อยแร่ธาตุที่อยู่ในหิน ลูกรัง ทราย เช่น ธาตุอาหาร กลุ่ม เหล็ก แมงกานีส สังกะสี ฟอสฟอรัส เป็นต้น
4. ช่วยผลิตฮอร์โมนให้พืช
5. ช่วยผลิตสารป้องกันโรคพืช
.
วิธีการห่มดิน
ห่มดินด้วยฟาง เศษหญ้า หรือใบไม้ รอบโคนต้นไม้ประเภทไม้ยืนต้น โดยเว้นให้ห่างจากโคนต้นไม้ 1 คืบ ห่มหนา 1 คืบ–1 ฟุต ทำเป็นวงเหมือนโดนัท โรยด้วยปุ๋ยคอก (มูลสัตว์) บาง ๆ และรดด้วยน้ำหมักชีวภาพผสมน้ำเจือจาง อัตราส่วน 1 : 50-100
.
ห่มดินในที่ดินผืนใหม่ที่เพิ่งขุดปรับพื้นที่ หรือดินที่เสื่อมสภาพ เพื่อปรับปรุงคุณภาพของดินก่อนเริ่มการเพาะปลูก ด้วยการห่มฟาง เศษหญ้า หรือใบไม้ ให้หนาอย่างน้อย 1 ฟุต ทั้งแปลง โรยด้วยปุ๋ยคอก แล้วราดรดด้วยน้ำหมักชีวภาพผสมน้ำเข้มข้น อัตราส่วน 1 : 10
.
 โดยวิธีนี้ เป็นการระเบิดดินที่แห้งแข็ง ให้มีความชุ่มชื้น (ฟางห่มคลุมดินเพื่อลดการระเหยของน้ำในดิน ปุ๋ยคอกที่ใส่เพื่อเพิ่มอินทรียวัตถุ
.
น้ำหมักทำหน้าที่ย่อยสลายทั้งปุ๋ยและฟาง ให้กลายเป็นอินทรียวัตถุได้เร็วขึ้น) ซึ่งวิธีนี้อาจต้องใช้เวลา 3 เดือนขึ้นไป โดยยังไม่ควรปลูกพืชใด ๆ เพราะน้ำหมักที่เข้มข้นอาจทำให้ต้นไม้ตายได้

#ฉันรักการทำเกษตร #TVเกษตร #ทีวีเกษตร #อยากทำเกษตร #ชัยยันต์เวียงวิเศษ #เกษตรพอเพียง #เกษตรผสมผสาน #เกษตรกร #เกษตรกรไทย #เกษตรกรยุคใหม่ #เกษตรกรมือใหม่ #เกษตรกรรุ่นใหม่ #เกษตรกรรม #เกษตรแนวใหม่ #เกษตรอินทรีย์ #เกษตร

วันศุกร์ที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2567

30 ข้อคิดสำคัญจากหนังสือ "พ่อรวยสอนลูก"

💛30 ข้อคิดสำคัญจากหนังสือ "พ่อรวยสอนลูก"
สร้างความมั่งคั่งและประสบความสำเร็จในชีวิต
#อ่านไปเรื่อยๆจนกว่าชีวิตจะดีขึ้น

สรุปให้แล้ว
.
1. **คนรวยไม่ได้ทำงานเพื่อเงิน:** พวกเขาสร้างสินทรัพย์ที่ทำงานให้พวกเขา
2. **จงเรียนรู้ที่จะแยกแยะระหว่างสินทรัพย์และหนี้สิน:** สินทรัพย์นำเงินเข้ากระเป๋า หนี้สินนำเงินออกจากกระเป๋า
3. **จงใส่ใจธุรกิจของคุณเอง:** อย่าปล่อยให้ความมั่นคงในการทำงานกินเงินเดือนมาบดบังความฝันของคุณ
4. **ประวัติศาสตร์ของภาษีและพลังขององค์กร:** เรียนรู้วิธีที่คนรวยใช้ประโยชน์จากระบบ
5. **คนรวยประดิษฐ์เงิน:** พวกเขามองเห็นโอกาสที่คนอื่นมองไม่เห็น
6. **ทำงานเพื่อเรียนรู้ ไม่ใช่เพื่อเงิน:** พัฒนาทักษะที่หลากหลายเพื่อสร้างความมั่งคั่ง
7. **เอาชนะอุปสรรค 5 ประการ:** ความกลัว, ความ Cynical, ความเกียจคร้าน, นิสัยที่ไม่ดี และความเย่อหยิ่ง
8. **เริ่มต้นเล็กๆ:** อย่ารอให้ทุกอย่างพร้อม ค่อยๆ เริ่มลงมือทำ
9. **หาฮีโร่ของคุณ:** เรียนรู้จากผู้ที่ประสบความสำเร็จ
10. **สอนแล้วจะได้รับ:** แบ่งปันความรู้ของคุณกับผู้อื่น
11. **จงให้รางวัลตัวเอง:** เฉลิมฉลองความสำเร็จเล็กๆ น้อยๆ
12. **ให้มากกว่าที่ได้รับ:** จงมีน้ำใจและเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่
13. **เลือกเพื่อนอย่างระมัดระวัง:** สิ่งแวดล้อมมีอิทธิพลต่อความคิดและการกระทำของคุณ
14. **เชี่ยวชาญสูตรหนึ่งก่อนแล้วค่อยเรียนรู้สูตรใหม่:** สร้างพื้นฐานที่แข็งแกร่งก่อน
15. **จงเป็น "นักเรียนที่ดี" ก่อนที่จะเป็น "ครูที่ดี":** ฟังและเรียนรู้จากผู้อื่น
16. **สินทรัพย์ที่แท้จริงคือ:** ธุรกิจที่คุณไม่ได้ต้องอยู่ด้วยก็ดำเนินต่อไปได้, หุ้น, พันธบัตร, กองทุนรวม, อสังหาริมทรัพย์ที่สร้างรายได้, สัญญาเช่า, ลิขสิทธิ์, สิ่งที่มีมูลค่าและสามารถเปลี่ยนเป็นเงินสดได้
17. **ความแตกต่างระหว่างคนรวยกับคนจน:** คนรวยซื้อสินทรัพย์ คนจนซื้อหนี้สินที่พวกเขาคิดว่าเป็นสินทรัพย์
18. **ความสำคัญของการรู้หนังสือทางการเงิน:** การเข้าใจวิธีการทำงานของเงินเป็นสิ่งสำคัญในการสร้างความมั่งคั่ง
19. **พลังของการลงทุน:** การลงทุนเป็นวิธีสำคัญในการสร้างความมั่งคั่งในระยะยาว
20. **ความสำคัญของการมีหลายแหล่งรายได้:** อย่าพึ่งพารายได้เพียงแหล่งเดียว
21. **อย่ากลัวที่จะทำผิดพลาด:** ความผิดพลาดเป็นส่วนหนึ่งของการเรียนรู้
22. **จงมีวิสัยทัศน์:** มองเห็นสิ่งที่คุณต้องการบรรลุในอนาคต
23. **จงลงมือทำ:** อย่ามัวแต่คิด ให้ลงมือทำเพื่อให้สิ่งต่างๆ เกิดขึ้น
24. **จงอดทน:** ความสำเร็จต้องใช้เวลา
25. **อย่ายอมแพ้:** อุปสรรคเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ จงก้าวข้ามมันไป
26. **จงเชื่อมั่นในตัวเอง:** คุณมีความสามารถที่จะประสบความสำเร็จ
27. **จงเรียนรู้จากความล้มเหลว:** ทุกความล้มเหลวมีบทเรียนซ่อนอยู่
28. **จงมองหาโอกาส:** โอกาสอยู่รอบตัวเราเสมอ
29. **จงสร้างเครือข่าย:** เครือข่ายที่ดีสามารถเปิดประตูสู่โอกาสใหม่ๆ
30. **จงอย่าหยุดเรียนรู้:** โลกเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา จงพัฒนาตัวเองอยู่เสมอ
.
📒 แนะนำให้อ่าน พ่อรวยสอนลูก

#อ่านไปเรื่อยๆจนกว่าชีวิตจะดีขึ้น #ฮิลใจ #ปรัญาชีวิต #พัฒนาตนเอง #หนังสือพัฒนาตนเอง #หนังสือน่าอ่าน
#หนังสือขายดี #หนังสือที่ควรอ่านก่อนอายุ30

Google ได้เปิดตัว "Willow" ชิปควอนตัมรุ่นใหม่

Google ได้เปิดตัว "Willow" ชิปควอนตัมรุ่นใหม่ ที่ใช้เวลาคำนวณน้อยกว่าซูเปอร์คอมมพิวเตอร์ของปัจจุบันจาก 10 ล้านล้านปีเหลือ 5 นาที.
.
ล่าสุดเมื่อไม่นานมานี้ Google ได้เปิดตัว "Willow" ชิปควอนตัมใหม่ล่าสุด ซึ่งสร้างปรากฏการณ์ใหม่ในวงการ โดยทำลายสถิติเดิมทั้งหมดไปแล้ว สามารถทำลายสถิติ benchmark ได้อย่างราบคาบที่ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ที่เร็วที่สุดในปัจจุบันต้องใช้เวลาประมาณ 10 ล้านล้านปี ในการประมวลผลแต่ Willow สามารถทำได้สำเร็จในเวลาเพียง 5 นาที.
.
แถม Willow ไม่ได้เป็นเพียงแค่ความสำเร็จทางเทคโนโลยีเท่านั้น แต่ถือเป็นความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ นั่นคือเรื่องของการ error correctionที่แสดงให้เห็นว่าเมื่อเพิ่ม "qubits" เข้าไปใน quantum computer มากขึ้น ก็จะลด error ได้ดียิ่งขึ้น ทำให้มีความ scalable มากยิ่งขึ้น และสามารถอยู่ในสถานะ 0, 1 หรือทั้งสองอย่างพร้อมกัน (ต่างจาก bits แบบ binary "0 หรือ 1" ในคอมพิวเตอร์ทั่วไป).
.
ขอบคุณที่มาจาก ::  https://www.pcmag.com/news/google-makes-quantum-leap-willow-chip-multiverse
.

วิธีติดตั้งปั๊มน้ำ อัตโนมัติ ที่บ้าน แบบ 2 ระบบ 💧

วิธีติดตั้งปั๊มน้ำ อัตโนมัติ ที่บ้าน แบบ 2 ระบบ 💧  (กรณีดูดน้ำจากถังพักน้ำที่อยู่บนดินนะครับ)
.
ขั้นตอนที่ 1
กำหนดตำแหน่งติดตั้ง ปั๊มน้ำ โดยเลือกในตำแหน่งที่ใกล้กับประตูน้ำเพราะหากเกิดปั๊มทำงานผิดปกติให้ปิดประตูน้ำได้ทันที
.
ขั้นตอนที่ 2
เดินสายไฟเมนส์มายังตำแหน่งติดตั้งปั๊ม โดยสวิทช์ให้อยู่สูงจากพื้น 1.10 เมตร จะให้เป็นปลั๊กก็ได้ แต่ถ้าเป็นสวิทช์จะใช้งานได้สะดวกกว่า
.
ขั้นตอนที่ 3
ปิดประตูน้ำหลักแล้วทำการเลื่อยต่อน้ำออกต่อท่องอ 90 องศาเข้าพันด้วยเทปพันเกลียว 4-5 รอบ แล้วจึงต่อท่อเข้าตัวเครื่อง ปั๊มน้ำ ขันท่อให้แน่น
.
ขั้นตอนที่ 4
เลื่อยตัดท่อน้ำหลักออกให้พอดีกับตำแหน่งท่อน้ำ ออกแรง ปั๊มน้ำ ด้วยเลื่อยเหล็ก ใช้กระดาษทรายขัดปลายท่อให้เรียบ
.
ขั้นตอนที่ 5
พันเกลียวท่อน้ำสำหรับต่อท่อน้ำออกจากเครื่อง ปั๊มน้ำ ต่อข้องอ 90 องศา มายังตำแหน่ง ปลายท่อที่ต่อรอไว้ใช้ท่อต่อตรงขนาด ¾ นิ้ว ต่อเชื่อมท่อทั้ง 2 ท่อ ด้วยกาวเชื่อมท่อประปา ทดลองเปิดน้ำโดยยังไม่เปิดสวิทช์ ดูรอยรั่วรอยต่อให้แน่ใจก่อน
.
ขั้นตอนที่ 6
ต่อสายไฟเข้ากับสวิทช์ให้โดยตอกรัดสายด้วยเข็มรัดสาย หรือ ใช้ราวพลาสติกติดกาวที่ผนังแล้วครอบสายมายังสวิทช์

ปล. ศึกษาไว้  สามารถนำไปใช้ที่บ้านได้ครับ

40 คำคมทรงพลังจาก Bob Marley

Bob Marley ไม่ใช่แค่ราชาเร็กเก้ แต่เป็นผู้พยากรณ์แห่งดนตรีที่ใช้บทเพลงเป็นอาวุธในการต่อสู้เพื่อความยุติธรรม กวีเอกผู้พูดถึงความรักและความหวังท่ามกลางความมืดมิด และนักปรัชญาที่มองทะลุความจริงของชีวิตได้อย่างแจ่มชัด
.
เขาเกิดมาในกระท่อมเล็กๆ ที่หมู่บ้านไนน์ไมล์ เกาะจาเมกา แต่เสียงร้องและถ้อยคำของเขากลับก้องไปทั่วโลก ด้วยวัย 36 ปีที่จากไป แต่ปรัชญาชีวิตของเขากลับอมตะ คำคมของ Bob Marley เป็นเหมือนกาแฟในยามเช้า - ยิ่งจิบนานเท่าไหร่ ยิ่งเห็นความจริงชัดเจนขึ้นเท่านั้น
.
จาก "One Love" ถึง "Redemption Song" จากหนุ่มน้อยในสลัมถึงตำนานระดับโลก Bob Marley ทิ้งมรดกทางความคิดที่ทั้งลึกซึ้งและเรียบง่าย บางทีก็จริงจังเหมือนนักเทศน์ บางทีก็ขี้เล่นเหมือนเด็กข้างถนน แต่ทุกถ้อยคำล้วนแฝงไว้ด้วยภูมิปัญญาที่ไม่มีวันตาย
.
และนี่คือ 40 ถ้อยคำทรงพลังจากศิลปินผู้ที่แม้ร่างกายจะจากไป แต่จิตวิญญาณยังคงมีชีวิตอยู่ในทุกถ้อยคำที่เขาทิ้งไว้...
.
.
1. "Love the life you live. Live the life you love."  

"จงรักชีวิตที่คุณใช้ จงใช้ชีวิตที่คุณรัก"
.
.
2. "The truth is, everyone is going to hurt you. You just got to find the ones worth suffering for."  

"ความจริงก็คือ ทุกคนจะทำให้คุณเจ็บปวด คุณแค่ต้องหาคนที่คุ้มค่าพอให้คุณทนทุกข์เพื่อเขา"
.
.
3. "The greatness of a man is not in how much wealth he acquires, but in his integrity and his ability to affect those around him positively."  

"ความยิ่งใหญ่ของคนไม่ได้อยู่ที่ทรัพย์สินที่เขาได้มา แต่อยู่ที่ความซื่อสัตย์และความสามารถในการส่งผลดีต่อผู้คนรอบข้าง"
.
.
4. "Don't gain the world and lose your soul; wisdom is better than silver or gold."  

"อย่าได้ทั้งโลกแต่เสียจิตวิญญาณ ปัญญานั้นดีกว่าเงินและทอง"
.
.
5. "You never know how strong you are, until being strong is your only choice."  

"คุณไม่มีทางรู้ว่าคุณแข็งแกร่งแค่ไหน จนกว่าความแข็งแกร่งจะเป็นทางเลือกเดียวที่คุณมี"
.
.
6. "Some people feel the rain. Others just get wet."  

"บางคนรู้สึกถึงสายฝน คนอื่นแค่เปียกเท่านั้น"
.
.
7. "Every man has a right to decide his own destiny."  

"ทุกคนมีสิทธิ์กำหนดชะตาชีวิตของตัวเอง"
.
.
8. "The biggest coward of a man is to awaken the love of a woman without the intention of loving her."  

"ความขลาดที่สุดของผู้ชายคือ การปลุกความรักในหัวใจหญิง โดยไม่ตั้งใจจะรักเธอ"
.
.
9. "Live for yourself and you will live in vain. Live for others and you will live again."  

"ใช้ชีวิตเพื่อตัวเอง คุณจะอยู่อย่างไร้ค่า ใช้ชีวิตเพื่อผู้อื่น คุณจะได้ใช้ชีวิตอีกครั้ง"
.
.
10. "The most beautiful things are not perfect, they are special."  

"สิ่งที่สวยงามที่สุดไม่ใช่ความสมบูรณ์แบบ แต่คือความพิเศษ"
.
.
11. "When one door is closed, don't you know, another is open."  

"เมื่อประตูบานหนึ่งปิดลง จงรู้ไว้ว่า อีกบานหนึ่งกำลังเปิดอยู่"
.
.
12. "The biggest man you're ever going to see was once a baby."  

"คนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่คุณเคยเห็น ก็เคยเป็นทารกมาก่อน"
.
.
13. "Just because you are happy it does not mean that the day is perfect but that you have looked beyond its imperfections."  

"การที่คุณมีความสุขไม่ได้หมายความว่าวันนั้นสมบูรณ์แบบ แต่หมายความว่าคุณมองข้ามความไม่สมบูรณ์แบบไปได้"
.
.
14. "Before pointing fingers make sure your hands are clean."  

"ก่อนจะชี้นิ้วใส่ใคร จงแน่ใจว่ามือคุณสะอาด"
.
.
15. "Light up the darkness."  

"จงส่องสว่างในความมืด"
.
.
16. "True friends are like stars; you can only recognize them when it's dark around you."  

"เพื่อนแท้เป็นเหมือนดวงดาว คุณจะเห็นพวกเขาชัดเจนก็ต่อเมื่อรอบตัวคุณมืดมิด"
.
.
17. "Everything in life got its purpose. Find its reason in every season."  

"ทุกสิ่งในชีวิตล้วนมีจุดประสงค์ จงค้นหาเหตุผลในทุกฤดูกาล"
.
.
18. "Don't complicate your mind. Flee from hate, mischief, and jealousy."  

"อย่าทำให้จิตใจซับซ้อน จงหนีให้พ้นจากความเกลียดชัง ความร้าย และความอิจฉา"
.
.
19. "Judge not before you judge yourself. Judge not if you're not ready for judgment."  

"อย่าตัดสินผู้อื่นก่อนตัดสินตัวเอง อย่าตัดสินหากคุณยังไม่พร้อมรับการตัดสิน"
.
.
20. "Your life is worth much more than gold."  

"ชีวิตของคุณมีค่ามากกว่าทองคำ"
.
.
21. "You say you love rain, but you use an umbrella to walk under it. You say you love sun, but you seek shelter when it is shining. You say you love wind, but when it comes you close your windows. So that's why I'm scared when you say you love me."  

"คุณบอกว่ารักฝน แต่กางร่มเมื่อเดินใต้สายฝน คุณบอกว่ารักแดด แต่หลบเมื่อแดดส่อง คุณบอกว่ารักลม แต่ปิดหน้าต่างเมื่อลมพัดมา นั่นจึงเป็นเหตุที่ฉันกลัวเมื่อคุณบอกว่ารักฉัน"
.
.
22. "The winds that sometimes take something we love, are the same that bring us something we learn to love."  

"สายลมที่บางครั้งพัดพาสิ่งที่เรารักไป ก็เป็นสายลมเดียวกับที่นำพาสิ่งที่เราจะได้เรียนรู้ที่จะรัก"
.
.
23. "It's your own conscience that is gonna remind you; that it's your heart and nobody else's that is gonna judge."  

"มโนธรรมของคุณเองที่จะเตือนคุณ หัวใจของคุณเท่านั้นที่จะตัดสิน ไม่ใช่ของใครอื่น"
.
.
24. "Wake up and live!"  

"ตื่นขึ้นและมีชีวิต!"
.
.
25. "My fear is my only courage, so I've got to be more careful."  

"ความกลัวของฉันคือความกล้าเพียงหนึ่งเดียว ดังนั้นฉันต้องระมัดระวังให้มากขึ้น"
.
.
26. "Don't trust people whose feelings change with time. Trust people whose feelings remain the same, even when the time changes."  

"อย่าไว้ใจคนที่ความรู้สึกเปลี่ยนไปตามกาลเวลา จงไว้ใจคนที่ความรู้สึกยังคงเดิม แม้เวลาจะเปลี่ยนไป"
.
.
27. "If something can corrupt you, you're corrupted already."  

"ถ้าอะไรบางอย่างสามารถทำให้คุณเสื่อมได้ นั่นแปลว่าคุณเสื่อมอยู่แล้ว"
.
.
28. "You can't find the right roads when the streets are paved."  

"คุณไม่อาจพบเส้นทางที่ถูกต้องเมื่อถนนทุกสายถูกปูไว้แล้ว"
.
.
29. "One love, one heart, one destiny."  

"หนึ่งความรัก หนึ่งหัวใจ หนึ่งโชคชะตา"
.
.
30. "The people that are making this world worse don't take a day off, how can I?"  

"คนที่ทำให้โลกแย่ลงไม่เคยหยุดพัก แล้วฉันจะหยุดได้อย่างไร"
.
.
31. "You may not be her first, her last, or her only. She loved before she may love again. But if she loves you now, what else matters?"  

"คุณอาจไม่ใช่คนแรก คนสุดท้าย หรือคนเดียวของเธอ เธอเคยรักมาก่อนและอาจรักอีก แต่ถ้าเธอรักคุณตอนนี้ อะไรอื่นจะสำคัญอีกเล่า"
.
.
32. "He who feels it, knows it more."  

"ผู้ที่รู้สึก ย่อมเข้าใจมากกว่า"
.
.
33. "Overcome the devils with a thing called love."  

"เอาชนะปีศาจด้วยสิ่งที่เรียกว่าความรัก"
.
.
34. "The harder the battle, the sweeter the victory."  

"ยิ่งการต่อสู้ยากเย็น ชัยชนะก็ยิ่งหวานหอม"
.
.
35. "You can fool some people sometimes, but you can't fool all the people all the time."  

"คุณอาจหลอกบางคนได้บางครั้ง แต่จะหลอกทุกคนตลอดเวลาไม่ได้"
.
.
36. "Be humble because until the sun with all its grandeur, let the moon shine."  

"จงถ่อมตน เพราะแม้แต่ดวงอาทิตย์ที่ยิ่งใหญ่ ก็ยังปล่อยให้ดวงจันทร์ส่องแสง"
.
.
37. "No chains around my feet, but I'm not free."  

"ไม่มีโซ่ตรวนที่เท้าของฉัน แต่ฉันก็ไม่เป็นอิสระ"
.
.
38. "The fittest of the fittest shall survive!"  

"ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดาผู้แข็งแกร่งเท่านั้นจะอยู่รอด"
.
.
39. "Trust the universe and respect your heart."  

"ไว้วางใจจักรวาลและเคารพหัวใจของคุณ"
.
.
40. "Man is a universe within himself."  

"มนุษย์คือจักรวาลในตัวเอง"
.
.
.
.
#SuccessStrategies #Quotes

วันพุธที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2567

42 วัน เปลี่ยนชีวิต

🔥เริ่มต้นไปด้วยกัน 42 วัน เปลี่ยนชีวิต
.
วันที่ 1 คุณอยากประสบความสำเร็จหรือไม่ และมากแค่ไหน
วันที่ 2 คุณกำลังทำตัวอย่างคนที่จะประสบความสำเร็จหรือไม่
วันที่ 3 คุณกำลังทำอะไรอยู่
วันที่ 4 คิดและเชื่ออย่างไรเกี่ยวกับตัวเอง
วันที่ 5 ค้นหาข้อดีและข้อเสียทุกข้อของคุณ
วันที่ 6 ทำความรู้จักกับพรสวรรค์ของคุณ
วันที่ 7 ค้นหาความชอบและความหลงใหลที่แท้จริงของคุณ
วันที่ 8 พัมนาสิ่งที่คุณคิดว่าเป็นจุดด้อยของคุณ
วันที่ 9 จัดการกับนิสัยแห่งความล้มเหวอย่างเด็ดขาด
วันที่ 10 สร้างความเชื่อมั่นในระดับที่สูงขึ้นให้กับตั
วันที่ 11 สร้างพลังและกระตุ้นให้กับตัวเอง
วันที่ 12 เริ่มกระตือรือร้นกับกตั้งแต่วันนี้
วันที่ 13 พยายามปรับปรุงสิ่งที่คุณยังทำได้ไม่ดีหรือยังบกพร่อง
วันที่ 14 พัฒนาทักษะที่จำเป็นและจะช่วยให้คุณประสบความสำเร็จมากขึ้น
วันที่ 15 ตั้งเป้าหมายสูงสุดในชีวิต
วันที่ 16 กำหนดเวลาที่จะทำให้สำเร็จ
วันที่ 17 วางแผนสิ่งที่ต้องทำเพื่อที่จะบรรลุเป้าหมายสูงสุด
วันที่ 18 กำหนดเวลาของแต่ละสิ่งที่จะต้องทำให้สำเร็จ
วันที่ 19 โฟกัสไปที่สิ่งแรกที่ต้องทำ และวางแผนขั้นตอนให้ชัดเจน
วันที่ 20 เริ่มลงมือทำสิ่งแรกที่ต้องทำเดี๋ยวนี้
วันที่ 21 ฝึกวางแผนและทำให้สำเร็จไปทีละวัน
วันที่ 22 ลงความคิดที่เป็นอุปสรรคต่อความสำเร็จในชีวิตคุณ
วันที่ 23 อย่ายอมให้นิสัยหรือพฤติกรรมเก่าๆ กลับมาอีก
วันที่ 24 อยู่ห่างจากคนที่ชอบพูดเป็นไปไม่ได้
วันที่ 25 เลิกคบหรือหลีกเลี่ยงคนที่ล้มเหลว
วันที่ 26 หยุดทำสิ่งที่ขโมยเวลาไปจากชีวิตคุณ
วันที่ 27 หลีกเลี่ยงสิ่งที่บั่นทอนความสุขและพลังของคุณ
วันที่ 28 ขจัดความกลัวที่เกิดจากความผิดพลาดและความล้มเหลว
วันที่ 29 ลองทำสิ่งที่คุณกล้าสักอย่างในวันนี้
วันที่ 30 เอาชนะการผัดวันประกันพรุ่งให้ได้
วันที่ 31 ตัดสินใจเปลี่ยนแปลงเพื่อสิ่งที่ดีกว่า
วันที่ 32 กล้าเสี่ยงแม้คุณจะกลัว
วันที่ 33 ทำในสิ่งที่คุณเชื่อ แม้คนอื่นจะไม่สนับสนุน
วันที่ 34 ขอความช่วยเหลือจากคนอื่น ถ้าคุณต้องการมัน
วันที่ 35 แก้ปัญหาทุกเรื่องที่ยังค้างคาในชีวิตคุณ
วันที่ 36 ขยัน กระตือรือร้น และมุ่งมั่นกับสิ่งที่ทำ
วันที่ 37 อย่ายอมแพ้และอย่าล้มเลิกเป็นอันขาด
วันที่ 38 คุณแค่ต้องผ่านอุปสรรคไปให้ได้ทีละวัน
วันที่ 39 เติมพลังและความฮึกเหิมให้ตัวเอง
วันที่ 40 อย่าพอใจกับสิ่งที่ทำอยู่ คุณต้องทำให้ดีขึ้นอีก
วันที่ 41 คิดสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ตลอดเวลา
วันที่ 42 คิดบวกเท่านั้นไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น
.
📒แนะนำให้อ่าน 42 วัน เปลี่ยนชีวิต


.
#อ่านไปเรื่อยๆจนกว่าชีวิตจะดีขึ้น #ฮิลใจ #ปรัญาชีวิต #พัฒนาตนเอง #หนังสือพัฒนาตนเอง #หนังสือน่าอ่าน
#หนังสือขายดี #หนังสือที่ควรอ่านก่อนอายุ30

วันอังคารที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2567

สรุป 9 ข้อคิดที่ได้จากหนังสือ “คนรวยทำงานเร็ว”

สรุป 9 ข้อคิดที่ได้จากหนังสือ “คนรวยทำงานเร็ว”

1. จัดการเวลาให้ดี:
- จัดลำดับความสำคัญ: คนรวยรู้ว่าอะไรสำคัญจริงๆ และทำสิ่งนั้นก่อน ไม่ปล่อยเวลาไปกับเรื่องไร้สาระ
- ตั้งตารางเวลา: วางแผนการทำงานในแต่ละวันให้ชัดเจน เพื่อใช้เวลาได้คุ้มค่าที่สุด
- พักผ่อนให้เพียงพอ: การพักผ่อนก็สำคัญ อย่าทำงานหนักจนไม่มีเวลาพัก มันจะทำให้ประสิทธิภาพการทำงานลดลง
2.ตั้งเป้าหมายให้ชัดเจน:
- ตั้งเป้าหมายที่ชัดเจนและจับต้องได้: มีเป้าหมายที่เจาะจงและสามารถวัดผลได้ เช่น "ฉันต้องการเพิ่มรายได้ 20% ในปีนี้" แทนที่จะเป็น "ฉันอยากรวย"
- แบ่งเป้าหมายใหญ่เป็นเป้าหมายย่อย: ทำให้เป้าหมายใหญ่ดูไม่ยากเกินไป แบ่งงานออกเป็นขั้นตอนเล็กๆ แล้วทำไปทีละนิด
3.ทำงานเชิงรุก:
- มองหาโอกาส: อย่ารอให้โอกาสมาหาเรา แต่ต้องคอยมองหาและสร้างโอกาสใหม่ๆ ด้วยตัวเอง
- พัฒนาตัวเองเสมอ: หาความรู้และทักษะใหม่ๆ อยู่ตลอดเวลา เช่น อ่านหนังสือ ฟังพอดแคสต์ หรือเข้าร่วมสัมมนา
4.ตัดสินใจเร็ว:
- ฝึกการตัดสินใจ: อย่ากลัวการตัดสินใจ ถ้าเรามีข้อมูลพอ คิดให้รอบคอบแล้วลงมือทำ อย่าลังเล
- เรียนรู้จากความผิดพลาด: ถ้าตัดสินใจผิดพลาดก็เรียนรู้จากมันและปรับปรุงในครั้งต่อไป
5.ลงทุนในความรู้และทักษะ:
- หมั่นเรียนรู้สิ่งใหม่: คนรวยมักลงทุนเวลาและเงินในการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ เสมอ ไม่ว่าจะเป็นการเรียนออนไลน์หรือการอ่านหนังสือ
- พัฒนาทักษะที่จำเป็น: มองหาทักษะที่มีประโยชน์ในการทำงานและการใช้ชีวิต เช่น การสื่อสาร การเจรจา การวางแผน
6.สร้างเครือข่ายที่ดี:
- สร้างความสัมพันธ์ที่ดี: การมีเครือข่ายที่ดีจะช่วยเปิดโอกาสใหม่ๆ และสนับสนุนเราในเวลาที่ต้องการ
- เป็นผู้ให้ก่อน: อย่าคิดแต่จะได้เพียงอย่างเดียว การให้ความช่วยเหลือและสนับสนุนผู้อื่นจะทำให้เรามีเพื่อนและพันธมิตรที่ดี
7.มองหาโอกาสใหม่ๆ:
- ติดตามเทรนด์และแนวโน้ม: คนรวยมักติดตามข่าวสารและแนวโน้มใหม่ๆ เพื่อหาช่องทางในการลงทุนหรือทำธุรกิจ
- คิดนอกกรอบ: อย่ากลัวที่จะคิดและทำสิ่งที่แตกต่าง การสร้างสิ่งใหม่ๆ มักนำมาซึ่งโอกาสที่ยิ่งใหญ่
8.จัดการความเสี่ยง:
- วางแผนสำรอง: มีแผนสำรองเมื่อเจอปัญหา เพื่อให้เราพร้อมรับมือกับสถานการณ์ที่ไม่คาดคิด
- ประเมินความเสี่ยง: รู้ว่าอะไรคือความเสี่ยงที่ยอมรับได้ และอะไรที่ไม่ควรเสี่ยง ทำให้เราตัดสินใจได้อย่างมั่นใจ
9.มีวินัยในตนเอง:
- ทำงานอย่างสม่ำเสมอ: การทำงานอย่างต่อเนื่องและมีวินัย จะช่วยให้เราบรรลุเป้าหมายได้ง่ายขึ้น
-ตั้งกฎให้กับตัวเอง: มีหลักการในการทำงานและการใช้ชีวิต เช่น การตื่นเช้า การออกกำลังกาย การอ่านหนังสือทุกวัน
การนำข้อคิดเหล่านี้ไปปรับใช้ในชีวิตประจำวัน จะช่วยให้เราทำงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น และมีโอกาสประสบความสำเร็จทางการเงินได้มากกว่าเดิม

เปลี่ยนบทความให้เป็นพอดแคสต์ ด้วย AI ฟรี! Google AI

ใครอยากเริ่มต้นทำพอดแคสต์แต่ไม่มีไมค์ ไม่มีสตูดิโอ หรือไม่อยากอัดเสียงเอง? วันนี้คุณสามารถเปลี่ยนบทความหรือข้อความของคุณให้กลายเ...