1. ต๊อบ อิทธิพัทธ์ เป็นเหมือนไอดอลของใครหลาย ๆ คนเลยนะ เพราะในอดีตเมื่อกว่า 10 ปีที่แล้ว ธุรกิจใหญ่ ๆ ในไทยมักจะมาจากตระกูลที่ร่ำรวย หรือเป็นธุรกิจของครอบครัวที่สืบทอดกันมา การเห็นเด็กหนุ่มรุ่นใหม่สร้างอาณาจักรธุรกิจของตัวเองได้นั้นเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นน้อยมาก ๆ เลยค่ะ จุดเริ่มต้นไม่ได้มาจากสาหร่ายโดยตรงนะ เพราะก่อนหน้านั้นพี่ต๊อบเคยทำธุรกิจเกาลัดมาก่อน โดยมีสาขาในห้างสรรพสินค้าถึง 30 กว่าแห่งเลย ตอนนั้นรายได้ก็ถือว่าไม่น้อยเลยค่ะ เพราะมีรายได้ประมาณเดือนละ 2 ล้านบาท ตอนที่อายุแค่ประมาณ 19 ปีเท่านั้นเอง แต่ธุรกิจเกาลัดก็เริ่มมีปัญหา เพราะห้างไม่ยอมให้เปิดเครื่องทำเกาลัด เนื่องจากมีควันเยอะและรบกวนลูกค้าที่เดินในห้างค่ะ พอธุรกิจเดิมมีปัญหา ก็เลยต้องมองหาสินค้าอื่นมาขายแทน
2. ที่มาของการเลือกขายสาหร่ายก็เพราะว่า ชีวิตพี่ต๊อบอาจจะผูกพันกับของที่เป็นของจีน ๆ หรือญี่ปุ่นอยู่แล้ว เพราะเกาลัดก็มาจากญี่ปุ่นและจีน ประกอบกับมีโอกาสได้กินสาหร่ายแล้วรู้สึกว่ารสชาติมันอร่อยมาก ๆ เลย ลองนำไปให้คุณแม่ ญาติ และคนอื่น ๆ กินดูแล้วทุกคนก็ชอบ ทำให้เกิดความมั่นใจว่าน่าจะนำมาลองขายที่ร้านเกาลัด 30 กว่าสาขาได้ ในช่วงแรกที่เริ่มขายสาหร่าย ก็จะบรรจุในถุงใส ๆ ติดสติกเกอร์แบรนด์ เถ้าแก่น้อย เอาไว้ ขายไปได้ไม่นาน สาหร่ายก็ขายดีกว่าเกาลัดซะอีกค่ะ ถ้าถามว่าทำไมถึงกล้าที่จะเริ่มธุรกิจนี้ ก็เพราะมันเหมือนไม่กล้าไม่ได้แล้วล่ะมั้ง เพราะยืนขายอยู่หน้าร้าน 3 เดือน ก็เห็นเลยว่ายอดขายสาหร่ายมันแซงเกาลัดไปเรื่อย ๆ เลย
3. ตอนที่สาหร่ายเริ่มขายดี ก็เริ่มเห็นโอกาสแล้วว่าสินค้าตัวนี้มันมีศักยภาพที่น่าจะต่อยอดได้ สิ่งที่น่าสนใจคือ ตอนนั้นกลุ่มลูกค้าที่ซื้อสาหร่ายมีความหลากหลายกว่าเกาลัดมาก ๆ เกาลัดส่วนใหญ่คนซื้อจะเป็นคนจีน แต่สาหร่ายที่พี่ต๊อบนำมาขายนั้น มีทั้งเด็ก คนไทย และคนที่มีอายุหน่อย คือทุกคนก็สนใจและซื้อสินค้าตัวนี้ การตลาดในช่วงแรกที่ร้านเกาลัดก็ทำง่าย ๆ เลยค่ะ คือวางสินค้าไว้บนชั้นเล็ก ๆ แล้วก็ให้พนักงานหน้าร้านเชียร์และแจกชิม การให้ลูกค้าได้ชิมเป็นวิธีที่ง่ายที่สุด เพราะพอลูกค้าชิมแล้วรู้สึกอร่อยก็จะซื้อทันทีเลย
4. สาหร่ายที่เถ้าแก่น้อยเริ่มทำขายในตอนนั้นคือ สาหร่ายทอด ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่คิดค้นและพัฒนาโดยตลาดไทยนี่แหละ จริง ๆ แล้วญี่ปุ่นหรือเกาหลีไม่มีสาหร่ายทอดแบบนี้หรอกนะ แต่เนื่องจากมีช่วงหนึ่งที่มีการนำเข้าวัตถุดิบสาหร่ายเข้ามาทำตลาดในไทยเยอะ เพราะร้านอาหารเกาหลีและญี่ปุ่นเริ่มเข้ามาเมื่อประมาณ 20 ปีที่แล้ว พอมีวัตถุดิบเข้ามา คนไทยก็เริ่มนำมาแปรรูป หนึ่งในนั้นก็คือการนำมาทอด พี่ต๊อบยอมรับว่าเถ้าแก่น้อยไม่ใช่คนแรกที่คิดค้นสาหร่ายทอด แต่เป็นคนที่ เห็นโอกาส และนำมาพัฒนาต่อยอดจนเข้าถึงคนไทยในระดับแมสได้เป็นเจ้าแรกต่างหาก
5. พอเห็นว่าสาหร่ายขายดีขึ้นเรื่อย ๆ ก็เลยตัดสินใจที่จะเปลี่ยนโฟกัสไปทำสาหร่ายแทนการทำเกาลัดที่มีอยู่กว่า 30 สาขา ตอนนั้นรายได้เกินครึ่งมาจากผลิตภัณฑ์สาหร่ายแล้ว พี่ต๊อบเริ่มคิดว่าทำไมไม่เอาไปขายที่อื่นบ้างล่ะ เพราะถ้าขายแค่ 30 สาขา รายได้มันก็อยู่แค่นั้น ด้วยความคุ้นเคยกับการไปเยาวราชบ่อย ๆ ก็เลยลองนำสาหร่ายไปขายที่เยาวราชและตลาดคลองเตย ซึ่งเป็นตลาดที่ดังมากเมื่อ 20 ปีที่แล้ว ปรากฏว่าขายดีมาก ๆ เลยค่ะ ซึ่งในขณะเดียวกัน ธุรกิจเกาลัดก็ไม่ค่อยดี เพราะไม่สามารถเปิดเครื่องในห้างได้แล้ว จนในที่สุดพี่ต๊อบก็ตัดสินใจค่อย ๆ เฟดธุรกิจเกาลัดออกไป
6. หลังจากตัดสินใจเฟดธุรกิจเกาลัดออก ก็เริ่มมาศึกษาว่าจะผลิตสาหร่ายยังไงให้เป็นระบบและเพิ่มกำลังการผลิตให้มากขึ้น เพราะตอนนั้นที่คิดคือต้องการเพิ่มปริมาณการผลิตให้ทันกับการขยายช่องทางอื่น ๆ และประมาณหนึ่งปีหลังจากนั้น พี่ต๊อบก็ได้มีโอกาสนำสินค้าไปเสนอขายที่ 7-Eleven ตอนนั้นอายุยังไม่ถึง 20 ปีเลยด้วยซ้ำนะ การนำสินค้าเข้า 7-Eleven ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยค่ะ กระบวนการทั้งหมดกินเวลาไปเกือบครึ่งปีเลยทีเดียว ตอนนั้นโรงงานก็อยู่หลังบ้าน มีพนักงานอยู่แค่ 5 คน พี่ต๊อบเป็นคนที่ 6 เท่านั้นเอง
7. ความท้าทายหลัก ๆ ในการเข้า 7-Eleven ไม่ได้อยู่ที่เรื่อง อย. หรือ Food Safety แต่มันคือ กำลังการผลิต ที่ต้องเพียงพอต่อความต้องการของ 7-Eleven ที่มีถึง 3,000 สาขา ตอนนั้นพี่ต๊อบผลิตได้แค่วันละประมาณ 1,000 ซอง แต่ถ้าจะซัพพอร์ต 7-Eleven 3,000 สาขา ต้องผลิตให้ได้ถึงประมาณ 600,000 ซองต่อเดือนเลยนะ ซึ่งถือเป็นปริมาณที่เยอะมากจนทำไม่ทันแน่นอน เพราะพนักงานก็มีไม่เกิน 10 คน สิ่งที่สำคัญที่สุดในการทำธุรกิจกับ 7-Eleven ตอนนั้นคือ 1. ต้องมีกำลังการผลิตที่รองรับได้ และ 2. โรงงานต้องได้มาตรฐาน GMP (Good Manufacturing Practice)
8. การจะลงทุนสร้างโรงงานให้ได้มาตรฐานระดับนี้ในสมัยนั้นต้องใช้เงินถึง 10-20 ล้านบาท (สมัยนี้ประมาณ 40 ล้านบาท) แต่พี่ต๊อบไม่ได้มีเงินมากขนาดนั้น มีแค่ 2-3 ล้านบาทจากการขายธุรกิจเกาลัด ดังนั้นสิ่งที่ทำได้ดีที่สุดคือต้อง เลือก จึงตัดสินใจเลิกทำเกาลัด และขายธุรกิจเกาลัดที่มีรายได้ดีอยู่แล้วให้คนอื่นไป โดยนำเงินที่ได้ก้อนนั้นประมาณ 2-3 ล้านบาท มาเช่าตึกแถวและดัดแปลงเป็นโรงงานแบบ Mini Factory ตอนนั้นคุณพ่อซึ่งเคยเป็นผู้รับเหมาเก่า ก็มาช่วยดูเรื่องการทำโรงงานให้ถูกต้องตามกฎหมายด้วย
9. ในช่วงแรกนั้น ไม่มีช่องทางในการจ้างผลิตจากภายนอก (Outsource) เลย เพราะธุรกิจสาหร่ายส่วนใหญ่มักจะเป็นแบบ OTOP ไม่มีใครที่จะมีกำลังผลิต 600,000 ซองต่อเดือนให้ได้ นั่นหมายความว่า เถ้าแก่น้อยต้องจัดการการผลิตทุกอย่างด้วยตัวเอง (In-house) ทั้ง ๆ ที่ยังไม่รู้เลยว่ามันจะเวิร์กกับวงการนี้ไหม การตัดสินใจขายเกาลัดที่สร้างความมั่นคงให้รายได้เดือนละ 2-3 แสนบาทในวัย 19 ปีนั้น เป็นการตัดสินใจที่ยาก แต่ก็ต้อง กัดฟัน ทำ เพราะเห็นว่าธุรกิจสาหร่ายมีโอกาสที่จะพลิกชีวิตได้
10. ครอบครัวของพี่ต๊อบตอนนั้นมีหนี้สินเยอะ แม้จะมีกำไรเดือนละ 2-3 แสนบาทจากเกาลัด ก็ยังไม่พอที่จะใช้หนี้สินก้อนใหญ่ 30-40 ล้านบาทของคุณพ่อคุณแม่ได้ แต่ธุรกิจสาหร่ายนี้มีโอกาสที่จะเป็นจุดเปลี่ยน (Turn Around) ชีวิตของครอบครัว ความกล้าที่เกิดขึ้นนี้ไม่ได้มาจากการบ้าบิ่น แต่มาจากการที่ได้ยืนอยู่หน้าร้าน เห็นลูกค้า และเห็นโอกาสชัดเจนว่า ถ้าสินค้านี้เข้า 7-Eleven ได้และขายดีจริง ๆ มันจะเปลี่ยนชีวิตได้อย่างแน่นอน
11. ตอนนั้นมูลค่าตลาดสาหร่ายยังไม่ถึง 100 ล้านบาทด้วยซ้ำ บริษัทเกาหลีและญี่ปุ่นใหญ่ ๆ ที่ทำสาหร่ายจึงไม่กล้ามาลงทุนทำโรงงานในไทย เพราะมองว่าตลาดเล็ก ไม่คุ้มค่าที่จะลง แต่พี่ต๊อบไม่ได้ทำการวิจัยตลาด (Research) เลยนะ แต่ใช้ สัญชาตญาณ (Gut Feeling) และความกล้าล้วน ๆ โดยอาศัยการยืนดูหน้าร้านและเห็นภาพชัดเจนว่าลูกค้าหน้าตาเป็นอย่างไร เข้ามาซื้ออย่างไร ก็เชื่อมั่นว่าขายได้แน่นอน
12. ตอนที่อายุ 19-20 ปีนั้น เพื่อน ๆ รอบข้างยังอยู่ในช่วงคิดเรื่องมหาวิทยาลัยอยู่เลย การที่พี่ต๊อบออกมาทำธุรกิจแบบนี้จึงไม่ใช่เรื่องที่จะกล้าบอกใครได้ง่าย ๆ เพราะรู้สึกเขินและอาย ย้อนไป 20 ปีที่แล้ว ความเชื่อของสังคมคือคุณต้องเรียนให้ดี เข้าบริษัทที่ดี แล้วชีวิตถึงจะดี ตอนที่พี่ต๊อบกำลังจะขายสาหร่ายเข้า 7-Eleven เพื่อนในมหาวิทยาลัยก็ยังโทรมาตามให้ไปเรียนอยู่เลย สุดท้ายต้องบอกเพื่อนสนิทไปว่า ดร็อปเรียนแล้ว จะออกมาช่วยที่บ้านทำธุรกิจ โดยไม่ได้บอกรายละเอียดว่ามาขายเกาลัดหรือสาหร่าย
13. การตัดสินใจเสียสละและออกมาจากเส้นทางปกติ ทำให้ชีวิตพี่ต๊อบหลุดพ้นจากโลกที่ต้องพะวงเรื่องเรียน เรื่องสังคม หรือเรื่องเพื่อน กลยุทธ์ในการหาคำตอบในช่วงที่เริ่มทำธุรกิจและต้องเข้าโมเดิร์นเทรด ทั้ง ๆ ที่ไม่เคยทำมาก่อนนั้น คือการใช้หลักการ Copy and Development พี่ต๊อบจะดูว่าธุรกิจขนมที่ประสบความสำเร็จใน 7-Eleven อย่าง ปาปิก้า หรือ เลย์ เขาทำกันยังไง จากนั้นก็พยายามสืบหาความรู้ว่าเขาซื้อบรรจุภัณฑ์จากที่ไหน เรียนรู้วิธีการผลิต หรือวิธีคิดของบริษัทเหล่านี้ แล้วนำมาพัฒนาต่อยอด
14. การที่อายุยังน้อยประมาณ 19 ปีในตอนนั้น กลายเป็น ข้อได้เปรียบ อย่างไม่น่าเชื่อ เวลาไปหาคนในอุตสาหกรรมอาหาร คนเหล่านั้นจะรู้สึกเอ็นดูเด็กที่ใส่ชุดเหมือนนักศึกษามหาวิทยาลัยมานั่งนอบน้อม การเป็นคนนอบน้อม ยกมือไหว้ และยอมรับว่าตัวเอง ดูโง่ ๆ ไม่ค่อยรู้เรื่อง ทำให้คนไทยส่วนใหญ่พร้อมที่จะให้ความช่วยเหลือ บางคนก็ให้ความรู้ บางคนก็ให้เงื่อนไขที่ดี อย่างเช่น การสั่งซองสาหร่ายเข้า 7-Eleven ปกติแล้วต้องสั่งขั้นต่ำเป็นแสนซอง แต่ด้วยความเอ็นดู เขาก็ยอมทำให้ในปริมาณแค่ 50,000 ซอง
15. สำหรับพี่ต๊อบแล้ว ความได้เปรียบในการแข่งขันของบริษัทเล็กในช่วงแรก คือความนอบน้อม ความถ่อมตน ความเร็วในการคิด และความเร็วในการลงมือทำ นี่คือสิ่งที่ช่วยให้บริษัทเล็ก ๆ อย่างเถ้าแก่น้อยสามารถแข่งกับบริษัทใหญ่ได้ หลังจากที่เข้า 7-Eleven ไปแล้ว สิ่งที่พี่ต๊อบเคยคาดหวังว่ายอดขายจะต้องดีแน่นอน เพราะเคยขายดีมากที่เยาวราช กลับไม่เป็นอย่างที่คิด ยอดขายในช่วงแรกไม่ค่อยดีเลยค่ะ
16. ตอนนั้นพี่ต๊อบยังไม่มีข้อมูล (Data) หรือการตลาด (Marketing) อะไรเลย วิธีการทำ Marketing ในช่วงแรกคือการขับรถผ่าน 7-Eleven ประมาณ 10 สาขาแถวบ้าน แล้วลงไป นับซอง สาหร่ายด้วยตัวเองทุกวัน ถ้าเห็นว่าสาขานั้นขายไป 2 ซอง ก็จะเดินไปถามพนักงาน 7-Eleven เลยว่าใครเป็นคนซื้อ เพื่อที่จะได้เก็บข้อมูลว่ากลุ่มลูกค้าที่แท้จริงเป็นใคร จากการสำรวจพบว่ายอดขายในช่วงแรกยังน้อยมาก เฉลี่ยแล้วขายได้แค่ประมาณ 2 ซองต่ออาทิตย์เท่านั้นเอง
17. ปัญหาในตอนนั้นอีกอย่างคือ ตำแหน่งวางสินค้า สาหร่ายเถ้าแก่น้อยถูกจัดวางอยู่ในชั้นที่อยู่ ใต้ ๆ หรือ ล่าง ๆ ซึ่งคนทั่วไปจะไม่ค่อยรู้หรอกว่ามีสินค้าใหม่นี้เข้ามาขาย พี่ต๊อบเคยคิดถึงตอนที่ขายที่ร้านเกาลัดว่าต้องมีการ แจกชิม ก็เลยไปถาม 7-Eleven ว่าขอแจกชิมได้ไหม 7-Eleven บอกว่าได้ แต่ต้องทำพร้อมกันทั้งหมด 3,000 สาขา ซึ่งเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้สำหรับธุรกิจเล็ก ๆ ในตอนนั้น ที่จะหาคนไปแจกชิมได้ครบ 3,000 สาขา
18. หลังจากที่พยายามสำรวจตลาดอยู่เรื่อย ๆ ก็มีผู้จัดการร้าน 7-Eleven คนหนึ่งสังเกตเห็นพี่ต๊อบเดินมานับสาหร่ายทุกวัน ผู้จัดการคนนี้จึงเดินมาคุยและให้คำแนะนำที่สำคัญมาก เขาบอกว่าสินค้าใหม่ต้องนำไป ขึ้นสายแขวน เพราะสายแขวนคือชั้นวางพิเศษที่อยู่ตามมุมต่าง ๆ ในร้าน ซึ่งสินค้าที่แขวนอยู่จะขายดีทั้งหมด ซึ่งสายแขวนนี้เพิ่งมีนโยบายเพิ่มเข้ามาไม่ถึงครึ่งปีหลังจากที่เถ้าแก่น้อยเข้า 7-Eleven พอดีเลย
19. การขึ้นสายแขวนต้องมีค่าใช้จ่ายในการเช่า พี่ต๊อบคำนวณแล้วว่า ถ้าขึ้นสายแขวน 1 เส้น (แขวนได้ 12 ซอง) 7-Eleven จะสั่งสินค้าเพิ่ม 12 ซอง และสินค้าจะไปอยู่ในตำแหน่งที่เด่นชัด สายแขวนราคาเส้นละ 100 บาท ถ้าต้องการ 2 เส้นใน 3,000 สาขา ต้องจ่ายเงิน 600,000 บาท พี่ต๊อบไม่คิดมากและตัดสินใจ เอาเลย 2 เส้น พร้อมกัน 3,000 สาขา เพราะมีความมั่นใจในคำแนะนำของผู้จัดการร้าน
20. การตัดสินใจลงทุนกับสายแขวนนี้เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญเลย พอสินค้าได้ไปอยู่ตรงจุดที่คนเห็น ลูกค้าก็หยิบไปลอง พอได้กินแล้วก็เกิดการซื้อซ้ำ เพราะตอนนั้นราคาแค่ 10 บาท ยอดขายจึงพุ่งพรวด จากเดิมขายได้แค่ประมาณ 8 ซองต่อเดือนต่อสาขา ก็ขึ้นมาเป็น 120 ซองต่อเดือนต่อสาขา ซึ่งเกินเป้าหมายที่ตั้งไว้แค่ 30 ซองต่อเดือนไปเยอะมาก หลังจากที่เห็นผลลัพธ์นี้ ก็ทำให้พี่ต๊อบเข้าใจว่าการทำตลาดใน 7-Eleven ต้องทำอย่างไร
21. เมื่อยอดขายดีขึ้น ชั้นวางสาหร่ายที่เคยอยู่ข้างล่างก็ถูก ดัน ขึ้นมา ทำให้ต่อมาแม้จะเลิกต่อสัญญาใช้สายแขวน ยอดขายก็ยังคงดีอยู่ที่ประมาณ 80 ซองต่อเดือนต่อสาขา ความสำเร็จในช่วงแรกนี้เกิดเป็น Snowball Effect เลย ปีแรกยอดขายใน 7-Eleven อยู่ที่ประมาณ 10 ล้านบาท ปีที่ 2 พุ่งไปที่ 250 ล้านบาท ปีที่ 3 ยอดขาย 500 ล้านบาท และปีที่ 4 ก็แตะ 1,000 ล้านบาท
22. ความสำเร็จเหล่านี้เกิดขึ้นจากการที่ ไม่มีงบ ไม่มีเงิน มีแต่ปัญญาและความกล้า ในช่วง 5 ปีแรก เถ้าแก่น้อยใช้กลยุทธ์ที่เรียกว่า Foot Marketing คือการเดินไปขายที่ไหน ก็ต้องเดินไปคุยกับลูกค้า คุยกับพนักงานหน้าร้าน แล้วนำข้อมูลที่ได้มาพัฒนาสินค้าและโปรโมชั่น ทีมงานในช่วง 5 ปีแรกนั้นเริ่มต้นด้วยคนในครอบครัวก่อน ทั้งพี่สาวและพี่ชายเข้ามาร่วมกัน
23. ในช่วงที่พี่ต๊อบอายุ 19-20 ต้น ๆ และต้องเป็นผู้บริหารนั้น ต้องเจออุปสรรคจากทั้งคนที่ดูถูกดูแคลน กับคนที่มองเห็นว่าเด็กคนนี้ มีของ Mindset ที่สำคัญและยังคงใช้มาจนถึงทุกวันนี้คือ ความถ่อมตน และจะไม่ทำสิ่งที่ไม่ชอบกับคนอื่น อีกเรื่องคือ ความกล้า ที่จะเดินเข้าไปคุยกับคนอื่น ยกมือไหว้ และขอให้เขาช่วยเหลือ
24. พี่ต๊อบมองว่าหนึ่งใน Key Success ของชีวิตและการทำธุรกิจเถ้าแก่น้อย คือการ กล้ายอมรับว่าเราไม่เก่งเรื่องอะไร แล้วเดินไปหาคนที่เก่งกว่า แล้วแสดงความนอบน้อมถ่อมตนเพื่อขอให้เขาช่วยเหลือ วิธีการนี้ใช้ได้ผลมากในประเทศไทย เพราะ 90% ของคนจะยอมช่วย นี่คือวิธีที่เถ้าแก่น้อยใช้ในการหา Know How ในการดำเนินธุรกิจ ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้มีพื้นฐานครอบครัวทำด้านนี้มาก่อน และเรียนจบแค่มัธยม 6
25. การบริหารองค์กรในช่วง 3-5 ปีแรก (0 ถึง 1,000 ล้านบาท) ต้องเป็นแบบ ผู้เฒ่าเฝ้าถ้ำ หมายความว่าเจ้าของ (Owner) ต้องเรียนรู้และทำทุกอย่างด้วยตัวเองทั้งหมด แม้แต่การรู้ถึงวิธีการล้างห้องน้ำ ล้างไลน์ผลิต การทำ R&D, Finance, Marketing, HR, การไล่คนออก หรือการจ้างคน เป็นช่วงชีวิตที่ต้องเรียกได้ว่า Non-Social เพราะแทบไม่ได้ไปงานปาร์ตี้หรือสังสรรค์เลย ในช่วง 5 ปีแรก ต้องใช้ชีวิตและนอนที่โรงงานด้วยซ้ำ
26. วิธีบริหารในช่วง 5 ปีแรก คือการเฝ้าดูแลและลงรายละเอียดทุกอย่าง เพื่อให้ตัวเองรู้ว่าทุกส่วนมีความสำคัญและเชื่อมโยงกันในระบบนิเวศ (Ecosystem) ของธุรกิจได้อย่างไร ในช่วงนี้พี่ต๊อบยังเป็นคนที่เก่งที่สุดในองค์กร เพราะทำทุกอย่างเอง เรียนรู้จากภายนอกมาปรับใช้ทั้งหมด แต่เมื่อเข้าสู่ช่วงปีที่ 6 ถึงปีที่ 10 ยอดขายยังคงเติบโตและมีการส่งออกไปต่างประเทศ วิธีการบริหารแบบเดิมก็ไม่พอแล้ว
27. ในช่วงปีที่ 6 ถึง 10 พี่ต๊อบต้องเปลี่ยนแนวทางการบริหาร โดยการ ใช้คนเก่งกว่าจริง ๆ เข้ามาในองค์กร ซึ่งเป็นการเริ่มต้นเซ็ตระบบใหม่เพื่อให้องค์กรรองรับยอดขายระดับพันล้านได้ ต้องมีการจ้างผู้เชี่ยวชาญด้าน R&D, QA (ควบคุมคุณภาพ), ผู้จัดการบัญชี, และผู้จัดการฝ่ายการตลาดเข้ามา เพราะการผลิตขยายใหญ่ขึ้นเกือบ 100 เท่า
28. การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในบทบาทของผู้บริหารคือ จากเดิมที่เคยเป็นผู้สั่งการเอง 100% (เถ้าแก่สั่งลุย) ต้องเปลี่ยนมาเป็น ผู้รับฟัง คนอื่น ๆ มากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเรียนรู้ที่จะต้อง Step Back ลงมาและไม่เข้าไปสั่งงานในรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ ของคนอื่น เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับเจ้าของที่เติบโตมาแบบลุยเอง เพราะเจ้าของมักจะไม่ค่อยอดทนที่จะต้องมารอคนอื่นทำงาน
29. ช่วงปีที่ 6 ถึง 10 จึงเป็นช่วงของการหาคนที่เหมาะสมและเข้าใจองค์กร เพราะหลายคนที่เก่งจากบริษัทใหญ่ก็อาจจะไม่สามารถทำงานร่วมกับความไดนามิกของเถ้าแก่น้อยได้ และในช่วงปีที่ 11 ถึง 15 ธุรกิจก็ก้าวเข้าสู่การเข้าตลาดหลักทรัพย์ ในสเตจนี้องค์กรต้องการบุคคลระดับที่มี Wisdom เข้ามาช่วยปรับปรุงกระบวนการและกำหนดวิสัยทัศน์ร่วมกัน เพราะยอดขายเกือบครึ่งมาจากต่างประเทศ
30. ในช่วงที่บริษัทเข้าสู่ระดับสากลและเข้าตลาดหลักทรัพย์ บทบาทของพี่ต๊อบก็เปลี่ยนไปอีก จากเดิมที่ต้องฟังคนอื่นครึ่ง ๆ ตอนนี้ต้อง ฟัง ผู้เชี่ยวชาญในด้านต่าง ๆ มากขึ้นถึง 80% และต้องใช้ความรู้ประสบการณ์ 10 ปีที่อยู่กับธุรกิจนี้มา ผสานกับความรู้ของผู้ที่เข้ามาใหม่ จนถึงปัจจุบัน (ปีที่ 15-20+) พี่ต๊อบบอกว่าในที่ประชุมจะฟังคนอื่นถึง 95% เลยนะ แทบจะไม่ได้พูดเลย และจะคอมเมนต์เป็นคนสุดท้ายเสมอ
31. การแข่งขันก็มีการพัฒนาไปตามสเตจของบริษัท ช่วง 1-5 ปีแรก คู่แข่งจะเป็นแบบ SME หรือ OTOP พอปีที่ 6-10 คู่แข่งก็เริ่มเป็นระดับจังหวัด เป็นบริษัทขนมที่เริ่มเห็นศักยภาพของตลาดสาหร่าย ช่วงนี้พี่ต๊อบรู้สึกสนุกที่ได้แข่งขัน เพราะยังเป็นวัยรุ่น แต่พอปีที่ 10-15 คู่แข่งเริ่มเป็นบริษัทระดับประเทศ ซึ่งเป็นบริษัทขนาดใหญ่ ยอดขายเป็นหมื่นล้าน หรือมีมูลค่ากิจการเป็นแสนล้าน ทำให้เริ่มเกิดความกังวลว่าเราจะสู้พวกเขาได้ไหม
32. กลยุทธ์ในการรับมือกับคู่แข่งระดับใหญ่คือการสร้างความสามัคคีและ เลือดรักชาติ ภายในองค์กรก่อน เพราะเถ้าแก่น้อยเติบโตเร็วมากและมีการปั่นป่วนภายในเยอะมาก ถ้าองค์กรภายในไม่รวมพลังกัน ก็จะไม่สามารถทำให้การขาย การผลิต หรือการตลาดมีประสิทธิภาพได้ เมื่อมีการรวมพลังและคนที่ไม่เอาบริษัทเริ่มเฟดตัวออกไป องค์กรก็จะพร้อมสู้ และเกิดนวัตกรรมใหม่ ๆ ขึ้นมา
33. จุดที่ช่วยให้เถ้าแก่น้อยหนีคู่แข่งได้คือ การคิดค้น สาหร่ายย่างแบบม้วน ซึ่งผลิตภัณฑ์ใหม่นี้ทำให้ยอดขายจาก 2,000 ล้านบาท พุ่งไปถึง 3,000 ล้านบาท เถ้าแก่น้อยเอาชนะคู่แข่งด้วยการสร้างตลาดใหม่และออกสินค้าใหม่ (NPD) อย่างต่อเนื่อง เพราะคีย์ซัคเซสของธุรกิจขนม (Snack) คือ การออก NPD เนื่องจากคนกินขนมจะเบื่อเร็วและต้องเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ
34. ปัจจัยหลักที่ทำให้เถ้าแก่น้อยไม่แพ้คู่แข่งตลอด 20 ปีที่ผ่านมา มี 4 อย่าง 1. มีฐานการกระจายสินค้า (Distribution Base) ที่แข็งแกร่ง 2. มี R&D ที่แข็งแกร่งและออก NPD อย่างต่อเนื่อง 3. มีแบรนด์ที่แข็งแกร่ง และ 4. ใช้ CEO ที่เป็นผู้ก่อตั้ง (Founder) มาเป็นพรีเซนเตอร์ การที่ CEO เป็นผู้ก่อตั้ง จะมีความเป็น Entrepreneurial Spirit ที่ไม่ยอมแพ้และเชื่อลึก ๆ ว่าจะทำสำเร็จ ซึ่งสิ่งนี้สร้างความกล้าและเป็นความได้เปรียบที่สำคัญมากในการแข่งขัน
35. สำหรับคนรุ่นใหม่ที่อยากเริ่มธุรกิจของตัวเอง สิ่งที่พี่ต๊อบแนะนำ (แม้จะย้อนแย้งกับสิ่งที่เคยเป็นมา) คือ 1. อย่ารีบประสบความสำเร็จเร็วเกินไป ถ้าคุณยังไม่พร้อมที่จะแลก 2. คุณต้องรู้ Passion หรือรู้ว่าอะไรที่ทำให้คุณมีความสุข 3. คุณต้องรู้จุดแข็งจุดอ่อน ของตัวเอง และมีเรื่องที่ทำได้ดีกว่าคนอื่น และ 4. คุณต้องรู้ว่าสิ่งที่คุณทำจะ ทำกำไร ได้อย่างไร เพราะธุรกิจจะอยู่รอดได้ต้องมีกำไรและกระแสเงินสด ถ้าคุณคิด 3 สิ่งหลังนี้ได้เร็ว คุณก็สามารถประสบความสำเร็จได้เร็วอย่างที่ต้องการเลยค่ะ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น