1. หัวใจสำคัญของการทำธุรกิจในยุคนี้ไม่ใช่จำนวน Follower แต่คือการสร้าง Fan หรือแฟนคลับให้ได้มากที่สุดค่ะ เพราะแค่การมี Follower เยอะ ไม่ได้แปลว่าคอนเทนต์จะเข้าถึงได้ทุกคนเสมอไป (อย่าง YouTube มีล้าน Follower แต่อาจแสดงผลแค่ 10,000 คน) และการยิงแอดก็อาจจะไม่คุ้มค่าแล้ว แฟนที่แท้จริงจะช่วยบอกต่อ เชียร์ ปกป้องในยามที่เรามีปัญหา และเชื่อมั่นในเรา ซึ่งนี่คือพลังของการตลาดแบบ Word of Mouth ที่ทรงพลังที่สุดในยุคนี้ค่ะ
2. คำนิยามของ แบรนด์ ที่น่าสนใจมาก ๆ มาจากคุณบรรทูร ล่ำซำ ซึ่งถึงแม้ท่านจะเป็นนักการเงินแต่ก็ให้คำนิยามเรื่องแบรนด์ได้ดีมากค่ะ แบรนด์คือการสร้างประสบการณ์ที่ทำให้ลูกค้าจดจำฝังใจ (ต้องจำได้ด้วยนะคะ) แล้วเกิดความรู้สึกดี ๆ กับยี่ห้อนั้น ๆ แบรนด์ที่ดีจึงต้องสร้างความรู้สึกที่เหนือกว่าความคาดหวังเสมอ
3. การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจครั้งนี้ไม่ใช่แค่น้ำขึ้นน้ำลงที่เราจะรอให้มันกลับมาเหมือนเดิมได้ เช่น ไม่เหมือนช่วงโควิดที่เรารอให้ทุกอย่างกลับมา แต่การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้เหมือน แม่น้ำเปลี่ยนทิศ ซึ่งเป็นเรื่องที่เปลี่ยนไปแล้วและจะไม่กลับมาอีก หากเรายังอยู่ที่เดิม ก็จะกลายเป็นว่าเราอยู่บนที่ที่ไม่มีมูลค่าแล้วค่ะ
4. สถานการณ์ที่เปลี่ยนไปอย่างชัดเจนอย่างแรกคือ ประเทศไทยกำลังเข้าสู่สังคมสูงวัยอย่างแน่นอน เรากำลังจะเข้าสู่ Super Aging โดยในปี 2030 เราจะมีคนอายุเกิน 60 ปี มากกว่า 30% ซึ่งถือเป็นอันดับต้น ๆ ของโลกเลยนะคะ ความหมายก็คือ คนวัยทำงานจะต้องแบกรับภาระทางเศรษฐกิจของคนสูงอายุเพิ่มขึ้นอย่างมาก
5. ปัญหาที่ซ้ำเติมเข้ามาคือเรื่องอัตราการเกิดที่ต่ำมาก ปัจจุบันเรามีอัตราการผลิตประชากรใหม่แค่ 1.2 คนต่อครัวเรือน ทั้งที่จริง ๆ แล้วต้องมีถึง 2.1 คนต่อครัวเรือนเพื่อรักษาระดับประชากรไว้ หากเป็นแบบนี้ไปเรื่อย ๆ ประชากรเราก็จะหดตัวลงเหลือเพียง 50 ล้านคน ซึ่ง GDP ก็จะหดตัวตามจำนวนประชากรไปด้วยค่ะ
6. แพลตฟอร์มต่างชาติกำลังเข้ามาเป็นตัวกลางที่อยู่ระหว่างผู้ซื้อกับผู้ขายแบบครบวงจรไปหมดแล้วค่ะ ไม่ว่าจะเป็นการจองโรงแรม การซื้อของผ่าน Shopee, Lazada, TikTok หรือแม้แต่การใช้ซอฟต์แวร์ทางธุรกิจ เราไม่สามารถควบคุมแพลตฟอร์มเหล่านี้ได้เลย แถมราคาก็ยังขึ้นไปเรื่อย ๆ เพราะแพลตฟอร์มต่างชาติเหล่านี้เริ่มมีอำนาจผูกขาดแล้วนั่นเอง
7. ตลาดทุนไทยกำลังเผชิญกับภาวะเงินทุนแห้ง ส่วนหนึ่งเพราะเงินไหลไปยังที่ที่มีโอกาสเติบโตสูงกว่า และคนไทยเองก็หันไปซื้อหุ้นและกองทุนต่างประเทศมากขึ้น (เช่น ผ่านบริษัทอย่าง Finnomena) ทำให้ตลาดทุนไทยในการระดมทุนมีปัญหา, ค่า PE ต่ำมาก, และหุ้นกู้ก็มีปัญหาตามมา ซึ่งทำให้ Market Cap ของไทยลดลงและผลตอบแทนก็น้อยลงด้วยค่ะ
8. ระดับการแข่งขันได้เปลี่ยนจาก ซีเกมส์ (การแข่งกันเองในประเทศ เช่น ธนาคาร 5 แห่ง หรือมือถือ 3 ค่าย) ไปสู่ระดับ โอลิมปิก แล้วนะคะ ซึ่งหมายความว่าคู่แข่งของเรามาจากทั่วโลกเลย ไม่ว่าจะเป็นสินค้าจากจีนที่ราคาถูกกว่ามาก หรือคู่แข่งจากยุโรปที่เข้ามาพร้อมมาตรฐานการให้บริการที่สูงขึ้น
9. การที่เราโมโหเมื่อระบบธนาคารไทยล่ม ส่วนหนึ่งเป็นเพราะมาตรฐานการให้บริการจากทั่วโลกได้สูงขึ้นมากค่ะ เราใช้บริการ Google, LINE, Facebook ที่ไม่เคยล่มเลย ทำให้เรานำมาตรฐานเหล่านั้นมาเปรียบเทียบกับบริการอื่น ๆ โดยไม่รู้ตัว การแข่งขันระดับโอลิมปิกนี้ทำให้เราต้องเผชิญกับคู่แข่งสากลในทุกมิติ
10. โดยรวมแล้ว Sentiment ของเศรษฐกิจไม่ค่อยดีนัก และกำลังซื้อในระดับบนเองก็เริ่มหดตัวลงแล้วด้วย ผู้เชี่ยวชาญหลายคนถึงกับเตือนว่าปีหน้าและอีก 3 ปีข้างหน้าอาจจะแย่กว่าปีนี้ด้วยซ้ำ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเรากำลังอยู่ในภาวะที่ส่วนขาบนของ K-Curve อาจจะถูกดึงลงมา
11. เครื่องยนต์ทางเศรษฐกิจที่เคยเป็นหลักของไทยกำลังอ่อนแรงลงค่ะ อย่างเช่น ภาคการท่องเที่ยว ก็ไม่น่าจะกลับไปเท่าเดิม โดยเฉพาะจำนวนนักท่องเที่ยวจีนที่ลดลงอย่างเห็นได้ชัดตั้งแต่ต้นปี 2024 ส่วนการส่งออกก็เจอปัญหาเรื่องค่าเงินบาทแข็ง และปัญหาจากปัจจัยภายนอกอย่างเรื่องทรัมป์
12. ถึงแม้ภาพรวมเศรษฐกิจจะยาก แต่ยังมีธุรกิจบางกลุ่มที่ยังไปได้ดี เช่น ธุรกิจความงามไทย (Thai Beauty) ที่เติบโตดีทั้งจากการซื้อของคนไทยเองและความเชื่อมั่นในคุณภาพจนส่งออกได้ รวมถึงธุรกิจที่เกี่ยวกับการใช้จ่ายผ่านระบบสินเชื่อ เช่น โทรศัพท์มือถือและมอเตอร์ไซค์
13. ธุรกิจมือถือและมอเตอร์ไซค์ที่ยังดีอยู่ เป็นเพราะระบบสินเชื่อที่ธนาคารยังปล่อยได้ง่ายกว่า โดยเฉพาะมอเตอร์ไซค์ที่ยังปล่อยง่ายเพราะรถยนต์ EV นั้นราคาตกลงเร็วทำให้แบงก์ปล่อยสินเชื่อยาก แต่ความสำเร็จเหล่านี้ก็แลกมากับการที่หนี้ครัวเรือนจะสูงขึ้น เพราะผู้คนใช้ระบบ ซื้อก่อนผ่อนทีหลัง ค่ะ
14. โอกาสที่สำคัญที่สุดและเป็น Quick Big Win สำหรับไทยคือ Wellness หรือธุรกิจสุขภาพแบบองค์รวม เพราะต่างชาติเชื่อมั่นในแบรนด์ไทยเรื่องนี้อยู่แล้ว Wellness ประกอบด้วย 3 เสาหลัก คือ Physical (การรักษา ซึ่งโรงพยาบาลและคุณหมอไทยเก่งอยู่แล้ว), Mental, และ Spiritual
15. สิ่งที่ทำให้ไทยมีแต้มต่อในการแข่งขันด้าน Wellness คือองค์ประกอบที่ 4 นั่นคือ ความเป็นไทย หรือจิตวิญญาณในการให้บริการ ยกตัวอย่างเช่น ชีวาสม ที่ลูกค้า 90% เป็นชาวต่างชาติ ติดใจในการบริการของคนไทยเป็นอย่างมาก แม้เครื่องมือของเขาจะไม่ได้แตกต่างจากที่อื่นในโลก
16. อีกโอกาสหนึ่งสำหรับประเทศไทยคือ การเข้ามาจับตลาด Data Center ซึ่งถือเป็นการเก็บ ปลายส่วน ของกระแส AI เมืองไทยมีเสน่ห์ในภูมิภาคนี้เพราะค่าไฟสำหรับ Data Center ถูกกว่าสิงคโปร์ เรามีพลังงานสะอาด (Green Energy) และมีความเสถียรมากกว่าเวียดนาม
17. สำหรับการเอาตัวรอดในยุคที่ทุกอย่างต้องเปลี่ยนแปลงเร็ว ผู้บริหารที่เป็น มืออาชีพ (Professional) อาจจะเคลื่อนไหวช้า เพราะมืออาชีพจะต้องทำทุกอย่างอย่างมีเหตุผล มีตัวเลข IRR ต้องวิเคราะห์ SWOT และต้องมีแผนรองรับ ซึ่งทำให้การตัดสินใจเหมือนกันไปหมด
18. ตรงกันข้ามกับ เถ้าแก่ (Entrepreneur) ซึ่งสามารถตัดสินใจได้ทันทีโดยไม่จำเป็นต้องมีเหตุผลมารองรับเสมอไป การตัดสินใจที่ใช้สัญชาตญาณหรือความรู้สึก (Gut Feeling) นี้เอง ที่ทำให้ธุรกิจสามารถก้าวข้ามผ่านอุปสรรคและสร้างความแตกต่างที่มืออาชีพไม่กล้าทำได้
19. ตัวอย่างเช่น คุณตัน ภาสกรนที ตอนที่ตัดสินใจสร้างโรงงานอิชิตันขนาดใหญ่ แม้ CFO มืออาชีพทุกคนจะค้านหมด เพราะตัวเลขการลงทุนเมื่อหารด้วยจำนวนผลิตแล้วไม่คุ้ม แต่ในฐานะเถ้าแก่ที่คิดแบบรวดเร็ว ท่านตัดสินใจสร้างก่อน แล้วตั้งเป้าว่าจะต้องขายให้ได้ 5 เท่า ซึ่งทำให้ปัจจุบันมีต้นทุนต่อหน่วยที่ถูกที่สุดในตลาด
20. บริษัทขนาดใหญ่จำเป็นต้องมี วิญญาณเถ้าแก่ หรือการสร้างวัฒนธรรมองค์กรให้พนักงานมีจิตวิญญาณเถ้าแก่ อย่างที่ CP สร้างศูนย์ผู้นำ ให้โอกาส เถ้าแก่น้อย ได้ทดลองทำสิ่งใหม่ ๆ และเลื่อนขั้นทันทีเมื่อมีความสามารถ เพราะโอกาสในการขยายธุรกิจมีมาก แต่การสร้างคนเก่งเพื่อไปคว้าโอกาสนั้นไม่ทัน
21. การมีเจ้าของ (เถ้าแก่) บริหารกิจการ เป็นสิ่งที่นักลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ชอบและให้ Premium เพราะเจ้าของมีผลประโยชน์เดียวกันกับนักลงทุน คือต้องการให้บริษัทเติบโต และเจ้าของทำงานตลอดเวลา 24 ชั่วโมง ต่างจากมืออาชีพที่อาจจะกลับบ้านไปทำ Work-Life Balance หลังเลิกงาน
22. สำหรับผู้ที่อายุ 45 ปีขึ้นไป หากรู้สึกว่าตัวเองเริ่มมีความเสี่ยงในองค์กร (ถูกให้ออกก็ได้ ไม่ให้ออกก็ได้) จำเป็นต้องเพิ่มคุณค่าให้ตัวเองด้วยการทำ 5 สิ่งนี้ 1. อาสาทำงานที่ไม่มีใครทำ (งานนี้จะทำให้เราถูกแทนที่ได้ยากที่สุด)
23. ข้อที่ 2 คือต้องทำเกินกว่าที่คาดหวังจนติดเป็นนิสัย 3. ต้อง ทำสำเร็จ ไม่ใช่แค่ ทำเสร็จ (ต้องเข้าใจว่าเจ้านายต้องการความสำเร็จอะไร ไม่ใช่แค่ทำส่งไปตามหน้าที่)
24. ข้อที่ 4 คือ การอาสาทำงานที่สามารถทำให้เจ้านาย เป็นง่อย ได้ เหมือนแม่บ้านที่รู้ทุกซอกมุมในบ้านจนขาดไม่ได้เลย 5. ต้องเป็นคนยกมืออาสาทำอะไรใหม่ ๆ ไว้ก่อนเสมอ เพื่อให้ตัวเองได้เรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ
25. สำหรับวัย 45+ การรักษา ความอยากรู้ อยากเห็น (Curiosity) และ วินัย (Discipline) เป็นสิ่งที่ยากแต่สำคัญมาก เพราะต้องใช้ discipline ในการเรียนรู้ทักษะใหม่ ๆ เพื่อมาประกอบกับความรู้เดิม และต้องยอมรับว่าเราจะเรียนรู้ได้ช้ากว่าคนรุ่นใหม่
26. ในโลกปัจจุบัน AI สามารถเข้ามาแทนที่ความรู้แบบ Single Knowledge ได้ง่ายมาก เช่น ทนาย, วิศวกร, นักการเงิน, หรือหมอในบางสาขา เพราะ AI ใช้ Data และ Pattern ในการทำงาน
27. สิ่งที่ AI ยังไม่สามารถทำได้ในระยะใกล้คือ Creativity Creativity เกิดจากการนำความรู้ 2 อย่างที่ไม่เกี่ยวกันมาผสมผสานกัน เช่น การนำศาสตร์ดนตรีมาผสมกับศาสตร์ชีววิทยา หรือการที่นักวิทยาศาสตร์รางวัลโนเบลหลายคนมีงานอดิเรกทางศิลปะ
28. เพื่อเอาชนะ AI เราต้องมีความรู้หรือทักษะอย่างน้อย 2 อย่าง (Two-Skill Imperative) เราอาจไม่จำเป็นต้องเก่งที่สุดในทั้งสองด้าน แต่การที่เราสามารถทำทั้งสองอย่างได้จะทำให้เรามีความสามารถใหม่ที่ไม่เหมือนใคร
29. ทักษะทั้งสองอย่างนี้อาจจะเป็นวิชาชีพที่เป๊ะ ๆ (เช่น ไฟแนนซ์ วิศวะ) รวมกับทักษะที่เป็นด้านความสนใจหรือด้านศิลปะ (เช่น การวาดรูป การแต่งเพลง การทำ Content) ซึ่งการนำทักษะที่เป๊ะกับทักษะที่กะ ๆ มารวมกันจะนำไปสู่ความคิดสร้างสรรค์ (Creativity)
30. หากไม่รู้จะเริ่มต้นอย่างไร ให้ลองทำ YouTube หรือ TikTok ดูก่อน ถึงแม้จะไม่ได้ดัง แต่การฝึก Storytelling และการเล่าเรื่องผ่านช่องทางเหล่านี้บ่อย ๆ จะช่วยฝึกทักษะในการขายของ และทำให้เราจับประเด็นได้แม่นยำขึ้น ทักษะนี้จะช่วยเพิ่มคุณค่าให้เราในสายงานเดิมได้ เช่น เป็นพนักงานธนาคารที่เก่งเรื่องสินเชื่อและยังไลฟ์สดได้อีก
31. สูตรโกงความรวยของนักธุรกิจรุ่นใหม่ (ยุค 20-30 ปี) ที่เติบโตเร็วถึงหลักพันล้าน คือ 1. การทำ Product Differentiation อย่างสุดขั้ว ตั้งแต่สินค้าจนถึง Packaging 2. การใช้ Micro-Influencer จำนวนมากอย่างแท้จริง และ 3. การใช้ Data Analytic หรือเทคโนโลยีอย่างเต็มที่
32. ในการสร้างฐานแฟนคลับให้แข็งแกร่ง ผู้ประกอบการรุ่นใหม่มักจะใช้ตัวเองในการสร้างแบรนด์ (CEO Branding) เช่น การลงไปเป็นแอดมินตอบลูกค้าเอง หรือทำคอนเทนต์เองตั้งแต่แรกเริ่ม เพื่อสร้างความผูกพันและเข้าถึงแบบ Personalize
33. การสร้างแฟนให้สำเร็จต้องทำสิ่งที่ มากกว่าความคาดหวัง (Exceed Expectation) หากเราทำได้แค่เท่ากับที่ลูกค้าคาดหวัง เราก็จะไม่ได้แบรนด์ Loyalty แต่ถ้าเราทำต่ำกว่าความคาดหวัง ลูกค้าจะเกลียดเรา
34. วิธีการสร้างความรู้สึกเหนือความคาดหวังคือการ เซอร์ไพรส์ ลูกค้า เช่น การกำหนด KPI การส่งของให้เร็วขึ้น (พิซซ่าบอกว่าจะส่ง 19:30 น. แต่ส่ง 19:25 น.) การเซอร์ไพรส์อาจรวมถึงการที่เจ้าของมาตอบเอง การดูแลลูกค้าอย่างดีเมื่อเกิดความผิดพลาด หรือการนำเสนอคอนเทนต์ที่ทำให้ลูกค้ารู้สึกว่าได้คิดเยอะกว่าที่คิด
35. ทักษะชีวิตที่สำคัญที่สุดสำหรับคนทุกช่วงวัย (25 หรือ 45 ปี) คือ ความสามารถในการเข้ากับคนอื่น หรือ Likeability เพราะการที่เราจะเป็นคนที่น่ารักและมีเสน่ห์ให้คนอยากทำงานด้วย จะทำให้เรามีกัลยาณมิตร มีหัวหน้าคอยช่วย มีเมนเทอร์คอยสอนงาน และมีโอกาสต่าง ๆ เข้ามาเสมอค่ะ ความน่ารักจะนำพาเครดิตและโอกาสมาให้เราได้ แม้ในช่วงเวลาที่เรายากลำบากที่สุด
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น