วันอาทิตย์ที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568

14​ คำพูด​ ที่บอกว่าคุณ​เคารพ​ผู้อื่น​เสมอ

1. “ถ้าเธอไม่สะดวกตอนนี้ บอกฉันได้นะ”
เป็นประโยคที่แสดงว่าคุณไม่เร่ง ไม่กดดันใคร เคารพเวลาของเขา และยอมรับว่าชีวิตแต่ละคนต่างกัน ทำให้เขารู้สึกปลอดภัย ไม่ถูกคาดหวังเกินความเป็นจริง นี่คือความสัมพันธ์ที่เบาสบาย และมีพื้นที่ให้กัน

2. “ฉันเข้าใจนะ ถ้าเธอเห็นต่างจากฉัน”
แสดงว่าคุณไม่ผูกมัดคนด้วยความคิดตัวเอง เปิดรับความหลากหลายของมนุษย์ เป็นการยอมรับตัวตนของอีกฝ่ายแบบไม่มีอีโก้ คนที่ได้ยินจะรู้สึกว่าคุณเป็นคนคุยง่าย น่าคบ

3. “เธอเล่าเมื่อพร้อมก็ได้นะ”
ประโยคนี้ให้พื้นที่ทางใจอย่างแท้จริง ไม่ได้บังคับให้คนระบาย ทั้งที่เขายังไม่พร้อม ทำให้ความสัมพันธ์มีความปลอดภัยสูง เพราะคุณให้เกียรติความรู้สึกเขาจริง ๆ

4. “ขอบคุณที่เธอพยายามนะ ฉันเห็นเสมอ”
ทำให้เขารู้ว่าคุณเห็นคุณค่าในสิ่งที่เขาทำ แม้เป็นเรื่องเล็ก แต่คุณไม่มองข้าม นี่คือการให้เกียรติและการมองเห็นแบบผู้ใหญ่ ความสัมพันธ์ที่มีการเห็นคุณค่า = อยู่ได้นานมาก

5. “เดี๋ยวฉันถามก่อนนะว่าโอเคไหม”
แสดงถึงการไม่ล้ำเส้น ไม่คิดแทน ไม่เอาเปรียบ คุณขออนุญาตก่อนเสมอ เพราะให้ความสำคัญกับเขา นี่คือความสุภาพที่ลึกกว่ามารยาท เป็นการให้เกียรติแบบยั่งยืน

6. “ถ้าเธอเหนื่อย เราพักก่อนก็ได้นะ”
เป็นการยอมรับสภาพร่างกาย–ใจ ของมนุษย์ คุณไม่ได้เร่งให้เขาเดินตามจังหวะเรา แต่ปรับให้ตรงกลางโดยเคารพกัน ประโยคนี้สร้างความอ่อนโยนในความสัมพันธ์มาก

7. “ฉันจะไม่ตัดสินเธอนะ เล่าได้เลย”
นี่คือคำพูดที่ทำให้คนรู้สึกปลอดภัยมากที่สุด เขารู้ว่าคุณเปิดกว้าง ไม่เทียบ ไม่วิจารณ์ ความสัมพันธ์เลยมีพื้นที่ความจริงใจสูง เป็นพลังบวกที่ทำให้คนอยากอยู่ใกล้

8. “เราตกลงกันก่อนดีไหม ว่าอยากให้เป็นแบบไหน”
เป็นการสื่อสารแบบผู้ใหญ่ ที่ให้เกียรติมุมมองทุกฝ่าย ไม่ใช่คนที่ตัดสินใจแทน หรือรีบร้อนตามความต้องการตัวเอง ประโยคนี้สร้าง “ข้อตกลงร่วม” ที่ช่วยลดปัญหาในอนาคต คนฟังจะรู้สึกว่าได้มีส่วนร่วมจริง ๆ

9. “ฉันเข้าใจว่ามันยากนะ ขอบคุณที่พยายาม”
ความเข้าใจ + การเห็นใจ = การให้เกียรติขั้นสูง คุณให้คุณค่ากับความรู้สึกเขา ไม่ได้ทำเป็นเรื่องเล็กน้อย นี่คือคำพูดที่ปลอบใจคนเก่งที่สุดแบบไม่ทำร้ายศักดิ์ศรี เป็นความอ่อนโยนที่คนจำทั้งชีวิต

10. “อยากให้ฉันช่วยตรงไหน บอกได้นะ ไม่ต้องเกรงใจ”
แสดงว่าคุณไม่ผลักภาระ แต่พร้อมซัพพอร์ต และไม่ไปยุ่งในส่วนที่เขายังไม่ขอ คนฟังจะรู้ว่าคุณให้เกียรติขอบเขตเขา นี่คือความบาลานซ์ระหว่าง “ช่วย” กับ “ไม่ล้ำเส้น”

11. “ฉันเคารพการตัดสินใจของเธอนะ”
ไม่กดดัน ไม่ประชด ไม่เอาความต้องการตัวเองบังตา คุณอนุญาตให้คนเป็นตัวของตัวเอง นี่คือความรักที่โตแล้ว ไม่ยึดติด ไม่ใช้แรงบังคับ คนที่อยู่ด้วยจะรู้สึกเบาใจมาก

12. “ขอบคุณที่บอกฉันตรง ๆ นะ”
เป็นประโยคที่ให้คุณค่ากับความจริงใจของอีกฝ่าย ทำให้เขากล้าพูดกับคุณมากขึ้นในอนาคต เพราะรู้ว่าคุณรับฟังและไม่โกรธ นี่คือการสร้างความไว้วางใจที่แข็งแรงที่สุด

13. “ถ้าเธอไม่โอเค เราปรับได้นะ”
ยืนยันว่าเขามีสิทธิ์ออกความเห็น คุณไม่ใช่คนเอาแต่ใจ หรือบังคับให้เขาตาม เป็นการให้เกียรติความรู้สึกเขาอย่างแท้จริง นี่เป็นจุดเริ่มต้นของความรักที่ยั่งยืนมาก

14. “ฉันอยู่ข้างเธอเสมอนะ แบบที่ไม่กดดัน”
แสดงว่าคุณพร้อมซัพพอร์ต แต่ไม่บีบคั้น ให้ความรักแบบเบา สงบ และไม่ควบคุม คนฟังจะรู้สึกว่าคุณคือพื้นที่ปลอดภัยของเขา นี่คือการให้เกียรติแบบลึกที่สุดในความสัมพันธ์

📌ถ้าชอบความรู้แบบนี้ พิมพ์บอกครูหน่อยนะคะ 
#แบ่งปันความรู้ดีๆแบบนี้ให้เพื่อนๆด้วยนะ 
#ด้วยรักและห่วงใย
#ครูเกรซ

สอน ”Gemini 3“ เสกรูป “Infographic”สรุปข้อมูลครบ ภาพสวย เข้าใจง่าย”กราฟฟิกอัพสกิลเรื่องนี้“ งานง่ายขึ้น 300% (เซฟเก็บไว้เลย)

นั่งแก้รูปข้อมูลทั้งวันงานไม่เสร็จ
สอน ”Gemini 3“ เสกรูป “Infographic”
สรุปข้อมูลครบ ภาพสวย เข้าใจง่าย
”กราฟฟิกอัพสกิลเรื่องนี้“ 
งานง่ายขึ้น 300% (เซฟเก็บไว้เลย)
[1] การทำรูป Info เพราะกว่าจะย่อยข้อมูล
ที่เยอะมหาศาล
ให้เหลือแค่ใจความสำคัญ ก็ปวดหัวแล้ว
แถมต้องมาจัดวางภาพ ให้สวย เข้าใจง่ายอีก
.
หลายคนบ่นว่า “ทำรูปเดียว หมดไปครึ่งวัน”
แล้วแบบนี้จะไปทำคอนเทนต์ทันได้ยังไง 
.
แต่วันนี้โลกเปลี่ยนไปแล้วครับ
ใครที่ยังนั่งทำมือทุกขั้นตอน บอกเลยว่า
“เหนื่อยฟรี แถมโตช้ากว่าคู่แข่งแน่นอน”
.
เพราะตอนนี้ AI อย่าง Gemini 3 ที่เปิดให้ใช้
เก่งขึ้นแบบก้าวกระโดดมาก
สามารถช่วยเราทำภาพ Infographic ได้ในไม่กี่วินาที
.
ผมเลยสรุปวิธีใช้คำสั่งง่ายๆ
ที่จะเปลี่ยนงานหิน ให้เป็นงานหมู
ช่วยลดเวลาทำงานลงไปได้ 300%
.
เรามาลุยกันครับ ว่าต้องพิมพ์สั่งยังไงบ้าง
ลุยยยยยยยยย 
.
[2] 1. เตรียมข้อมูลที่เราต้องการทำ
.
อันดับแรก เราต้องมีข้อมูลดิบก่อน
ไม่ว่าจะเป็นบทความยาวๆ ข้อมูลสินค้า
หรือสถิติต่างๆ ที่เราอยากนำเสนอ
.
เอาข้อมูลพวกนั้นมาเตรียมไว้ครับ
ไม่ต้องกลัวว่ามันจะยาว หรือดูงงๆ
เพราะเดี๋ยวเราจะให้ AI ช่วยจัดการให้
.
[3] 2. ใช้คำสั่ง (Prompt) สั่ง Gemini
.
หลายคนใช้ AI แล้วไม่ได้ผลลัพธ์ที่พอใจ
เพราะ “สั่งไม่เป็น”
.
ผมลองเทสมาให้แล้วครับ สูตรนี้เวิร์คมาก
ให้พิมพ์คำสั่งตามนี้เข้าไปเลยครับ
.
“ช่วยทำเป็นรูปภาพ Info เกี่ยวกับ [เนื้อหาที่ต้องการทำ] ใช้ภาษาในรูปแบบเข้าใจง่าย กระชับ ทำเป็นคอนเทนต์รูปภาพลง [Facebook/TikTok]”
.
แค่ก๊อปปี้ประโยคนี้ แล้วเปลี่ยนตรงวงเล็บ
เป็นเรื่องที่คุณต้องการจะทำ
เช่น ข้อมูลสินค้าครีมกันแดด, สรุปข่าวกระแส,
หรือ เทคนิคการขายของออนไลน์
.
[4] 3.กดใช้เครื่องมือสร้างรูปภาพ
.
จากนั้นให้เลือกฟังก์ชั่นปุ่ม “เครื่องมือ”
แล้วกดเลือก “สร้างรูปภาพ”
.
ทีนี้ให้ดูโมเดลที่ใช้
ให้ใช้เป็น “การคิด” หรือ “Pro 3”
เพื่อให้สร้างรูปภาพภาษาไทยได้เป๊ะขึ้น
.
แล้วกดส่งไปเลยครับ 
.
[5] 4.รอรับผลลัพธ์ได้เลยยย
.
พอเรากดสั่งไปปุ๊บ Gemini 3 จะทำการประมวลผล
ย่อยข้อมูลที่ซับซ้อน ออกมาเป็นหัวข้อ
ที่กระชับ เข้าใจง่าย ภาษาชาวบ้านอ่านรู้เรื่อง
.
และ “เจนรูปออกมาให้เลย”
ใช้เวลาไวมาก
.
เป็นภาพ Infographic ที่มีการจัดวางองค์ประกอบ
มี Text ข้อความสรุป อยู่ในภาพเรียบร้อย
สีสันสวยงาม พร้อมเอาไปใช้งานได้เลย
.
ถ้าไม่ถูกใจ เรายังสามารถสั่งให้มันแก้ได้ด้วยนะ
เช่น ขอสีพาสเทลหน่อย, ขอตัวหนังสือใหญ่กว่านี้
สั่งได้เหมือนคุยกับกราฟฟิกส่วนตัวเลยครับ
.
[6] ใช้งานง่ายขึ้นเยอะ
.
1. ประหยัดเวลามากกกก จากทำเป็นวัน เหลือไม่กี่นาที
.
2.ได้ไอเดียการจัดวางใหม่ๆ ที่เราอาจนึกไม่ถึง
.
3.ภาษาที่ใช้ เขียนมาแบบ Social Media Friendly 
คืออ่านแล้วไม่น่าเบื่อ
.
4. มือใหม่ที่ทำกราฟฟิกไม่เก่ง ก็มีรูปสวยๆ 
ไว้โพสต์ขายของได้
.
สำหรับกราฟฟิกมืออาชีพ
ไม่ได้แปลว่า AI จะมาแย่งงานนะครับ
แต่ให้มองว่ามันคือ “ผู้ช่วย”
.
ที่ทำให้เราขึ้นโครงงานได้ไวขึ้น
แล้วเราเอามาปรับแต่งต่อให้สวยเทพขึ้นไปอีก
รับงานได้เยอะขึ้น รายได้ก็มากขึ้นตาม
.
[7] ยุคนี้ใครใช้เครื่องมือเป็น คนนั้นได้เปรียบ
อย่ามัวแต่ก้มหน้าก้มตาทำแบบเดิมๆ
เงยหน้าขึ้นมาใช้เครื่องมือทุ่นแรงบ้าง
.
แล้วชีวิตการทำงานของคุณจะง่ายขึ้น
มีเวลาไปโฟกัสเรื่องยอดขาย 
หรือเรื่องกลยุทธ์ได้อีกเยอะ
.
ลองไปเล่นกันดูนะครับ ได้ผลยังไงมาบอกกันด้วย
.
ถ้าชอบบทความนี้ ฝากกดไลค์ กดแชร์
พิมพ์ “ขอบคุณ” เป็นกำลังใจให้ผมหน่อยนะครับ 🥹
.
ขอบคุณครับ 🙏🏻

#หัวหน้าแบงค์fullfunnel #Gemini3 #Infographic

เป็นจริงได้มั้ย? แบตเตอรี่ดิน: จังหวะหัวใจของโลก... ที่เราลืมฟัง... วินาทีที่โลกหยุดหายใจ

เป็นจริงได้มั้ย? แบตเตอรี่ดิน: จังหวะหัวใจของโลก... ที่เราลืมฟัง
... วินาทีที่โลกหยุดหายใจ
พายุสุริยะเพียงระลอกเดียว กวาดล้างโครงข่ายไฟฟ้าที่มนุษย์ภูมิใจจนพังทลาย เมืองใหญ่ที่เคยสว่างไสว กลายเป็นเพียงสุสานคอนกรีตที่จมอยู่ในความมืดมิด

แต่ท่ามกลางความเงียบงันของป่าภาคอีสาน... กลับมี "แสงไฟดวงเล็กๆ" ส่องสว่างลอดออกมาจากบ้านไม้หลังเก่า

แสงนั้นไม่ได้จ้าจนแสบตา แต่มันอบอุ่น นิ่งสงบ และกำลังกระซิบบอกโลกว่า "ตราบใดที่เท้ายังเหยียบดิน... เรายังมีทางรอด"

1. พลังงานจากธุลีดิน: ปาฏิหาริย์ที่ถูกมองข้าม
หลายปีก่อน ชายเจ้าของบ้านถูกมองว่าเป็นคนบ้า เขาหมกมุ่นอยู่กับการนำแท่งทองแดง สังกะสี และเศษขยะอิเล็กทรอนิกส์ มาฝังลงในดินเปียกชื้น... เพื่อทำสิ่งที่เรียกว่า "Earth Battery"

ผู้คนหัวเราะเยาะ "ดินเนี่ยนะจะให้ไฟ?" เขาไม่โต้ตอบ เขาเพียงเชื่อมั่นในสัจธรรมข้อหนึ่ง:

"โลกใบนี้หมุนด้วยพลังงาน และธรรมชาติไม่เคยหวงแหนสิ่งที่เธอมี"

เขาฝังโลหะลงใต้ถุนบ้าน ปล่อยให้ดินโอบกอด ปล่อยให้น้ำฝนหล่อเลี้ยง มันไม่ใช่พลังงานที่รวดเร็วเหมือนไฟฟ้าในเมือง แต่มัน "เสถียร" มันไหลเอื่อยๆ แต่มั่นคง... เหมือนชีพจรของโลกที่เต้นตุบๆ อยู่ใต้เท้าเราตลอดเวลา

2. ในวันที่โลกมืดมิด... ดินกลับส่องแสง
คืนที่โลกเข้าสู่ยุคมืด ตู้เย็นในมหานครหยุดทำงาน เครื่องมือสื่อสารกลายเป็นเศษเหล็ก แต่ในบ้านไม้หลังนั้น... หลอด LED ยังคงเรืองแสงนวลตา

วิทยุเก่าๆ ยังส่งเสียงซูซ่า... รับสัญญาณแห่งความหวัง ตู้แช่ยาและอาหารยังทำงานต่อไปได้ด้วยพลังงานจากผืนดิน

ในความสิ้นหวัง แสงไฟดวงนี้กลายเป็นประจักษ์พยานว่า เราไม่ได้สูญเสียทุกอย่าง เราแค่ "หลงลืม" แหล่งพลังงานแรกสุดที่ธรรมชาติมอบให้เรามาตั้งแต่เกิด

3. เมื่อแสงสว่าง... กลายเป็นของทุกคน
สามวันผ่านไป ความมืดเริ่มกัดกินใจคนในหมู่บ้าน พวกเขาเดินตามแสงไฟดวงเดียวที่เหลืออยู่มาจนถึงบ้านหลังนี้

เจ้าของบ้านไม่ได้ล็อกประตู หรือหวงแหนความสว่างไสว เขาเปิดประตูต้อนรับ และพูดประโยคที่เปลี่ยนชุมชนนี้ไปตลอดกาล:

"เข้ามาสิ... แสงพวกนี้ไม่ใช่เวทมนตร์ แต่มันอยู่ในดินหลังบ้านของพวกคุณเอง"

กะละมังใบเก่า, ท่อ PVC, เศษทองแดง, และดินกำมือหนึ่ง กลายเป็นห้องเรียนที่ทรงพลังที่สุด หนึ่งสัปดาห์ต่อมา... หมู่บ้านที่เคยเงียบงัน กลับระยิบระยับไปด้วยแสงไฟดวงเล็กๆ ไม่ใช่แสงนีออนที่เย็นชา แต่เป็นแสงอุ่นๆ ที่เกิดจาก "มือ" และ "ดิน" ของพวกเขาเอง

4. การตื่นรู้ครั้งใหม่ของเผ่าพันธุ์มนุษย์
จากหมู่บ้านเล็กๆ เรื่องราวถูกส่งต่อไปยังนักวิจัย ไปยังรัฐบาล มนุษย์เริ่มตั้งคำถามกับความศิวิไลซ์ที่เปราะบาง

เราเคยมองหาพลังงานจากสิ่งที่ใหญ่โต เขื่อนยักษ์ โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ จนลืมก้มมองสิ่งที่ต่ำต้อยที่สุด

"ความยิ่งใหญ่... อาจเริ่มต้นจากดินชื้นๆ เพียงกำมือ"

โลกยุคใหม่ไม่ได้วัดความเจริญด้วยความสูงของตึกระฟ้า แต่วัดกันที่ความสามารถในการ "พึ่งพาตนเอง" ทุกคนตระหนักได้ว่า พวกเขาสามารถสร้างแสงสว่างของตัวเองได้... ตราบใดที่ยังมีดิน

5. อนาคตที่อ่อนโยนกว่าเดิม
สิบปีต่อมา โลกปี 2058 อาจไม่ได้หมุนเร็วเท่าอดีต แต่มันเป็นโลกที่ "อบอุ่น" ขึ้น

พลังงานไม่ได้ถูกผูกขาดโดยใครคนใดคนหนึ่ง แต่มันงอกงามอยู่ในทุกสวน ทุกลานบ้าน เด็กๆ มีไฟอ่านหนังสือจากกระถางต้นไม้ หมอมีไฟฟ้าเดินเครื่องมือแพทย์จากแปลงผักหลังอนามัย

เทคโนโลยีอาจทรยศเราได้ในวันที่วิกฤต แต่ "ธรรมชาติ" ไม่เคยทอดทิ้งใคร เธอยื่นมือมาฉุดเราขึ้นเสมอ... ผ่านผืนดินที่เราเหยียบย่ำอยู่ทุกวัน

แล้วคุณล่ะ? เคยลองก้มมอง "ดิน" ใต้เท้า แล้วลองฟังเสียงหัวใจของมันดูบ้างไหม? บางที... พลังงานที่จะกู้โลกใบต่อไป อาจซ่อนอยู่ในสวนหลังบ้านของคุณเอง 
#นิยายวิทยาศาสตร์ #ช่างแบงค์diy

วันเสาร์ที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568

#การเลี้ยงลูกแบบยิว ที่คนไทยสามารถปรับใช้ได้

#การเลี้ยงลูกแบบยิว ที่คนไทยสามารถปรับใช้ได้

ผมมีเพื่อนเป็นยิวหลายคน และชื่นชมวิธีเลี้ยงลูกของเขา โรงเรียนที่มรรค(ลูกชาย)เคยเรียน มีลูกยิวหลานค่อนข้างเยอะ จึงมีโอกาสรู้จักพ่อแม่เขา

ขอพูดถึงแนวทาง "#JewishMother" บางแง่มุมที่น่าสนใจและปรับใช้ได้ในบริบทไทย ดังนี้

ส่งเสริมการเรียนรู้ผ่านการลงมือทำ
· ปล่อยให้เด็กได้ลองทำสิ่งต่างๆ ด้วยตัวเอง แม้จะใช้เวลานานหรือทำไม่สมบูรณ์
· เริ่มจากงานบ้านง่ายๆ ตามวัย เช่น เก็บของเล่นเอง ตักข้าวกินเอง

สร้างนิสัยรักการอ่านและการถามคำถาม
· อ่านหนังสือกับลูกตั้งแต่เล็ก ส่งเสริมให้เกิดคำถามและหาคำตอบร่วมกัน
· ฝึกให้คิดวิเคราะห์ด้วยการตั้งคำถามเปิด

สอนความรับผิดชอบผ่านงานบ้าน
· มอบหมายหน้าที่ในบ้านที่เหมาะสมกับวัย
· ไม่เร่งรีบช่วยเหลือเมื่อลูกทำได้เอง
-ไม่มีกวดวิชา เรียนพิเศษ มีแต่เล่นดนตรี และกีฬา

ปล่อยให้เรียนรู้จากความผิดพลาด
· อนุญาตให้ลูกได้ลองผิดลองถูกในสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัย
· ไม่ตำหนิเมื่อทำผิด แต่ชวนคิดว่าครั้งหน้าจะทำต่างกันอย่างไร

ส่งเสริมความพยายามมากกว่าผลลัพธ์
· ชื่นชมกระบวนการและความพยายามมากกว่าผลสำเร็จ
· สอนว่าความล้มเหลวเป็นส่วนหนึ่งของการเรียนรู้
- ไม่สนใจคะแนนในโรงเรียน แต่เน้นความผิดพลาด และการปรับปรุงแก้ไข

ไม่มีความบันเทิงติดตัว
นี่คือ สิ่งที่ทรมานใจพ่อแม่ไทยที่สุด ไม่ให้ลูกใช้มือถือ และแท็บเลตจนกว่าจะอายุ 13 และไม่จ่ายค่าเน็ตให้ จนกว่าทำงานจ่ายเองได้ (ใช้ได้แต่ WIFI ในบ้าน ในโรงเรียน)

วิธีปรับใช้ในวัฒนธรรมไทย
1. เริ่มเล็กๆ จากกิจกรรมในชีวิตประจำวัน
2. ปรับสมดุล ระหว่างการปล่อยให้ลูกทำเองกับการดูแลเอาใจใส่
3. ยอมให้หกล้ม เจ็บจนจำได้ ถลอก แต่ไม่ถึงกับแขนหัก
4. สร้างวินัยด้วยความรัก อย่างสม่ำเสมอ

การนำแนวทางเหล่านี้มาปรับใช้ช่วยพัฒนาความมั่นใจและทักษะการแก้ปัญหาให้ลูก ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญสำหรับชีวิตในอนาคตครับ

ลอย ชุนพงษ์ทอง เรียบเรียง 23 พฤศจิกายน 2025

ญี่ปุ่นเผย! แค่ “เปลี่ยนถ้วยกาแฟ” รสชาติเปลี่ยนได้จริง

น่าสนใจครับ 

ญี่ปุ่นเผย! แค่ “เปลี่ยนถ้วยกาแฟ” รสชาติเปลี่ยนได้จริง
จริงเดะะะะะะ
.
ช่วงนี้ที่ญี่ปุ่นก็หน้าหนาว อากาศหนาวมาก
และเป็นจังหวะที่ยอดการดื่ม ホットコーヒー (กาแฟร้อน) พุ่งขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

จากผลสำรวจของ Weathernews เมื่อวันที่ 24 พ.ย.
คนญี่ปุ่นกว่า 70–80% หันมาดื่มกาแฟร้อน (ยกเว้นโอกินาวา) ซึ่งต่างจากต้นเดือนตุลาคมที่ยังร้อนผิดฤดูกาล
จนคนเลือกดื่มร้อนไม่ถึงครึ่งด้วยซ้ำ

แต่สิ่งที่น่าสนใจกว่าสภาพอากาศคือคำถามที่หลายคนคงเคยคิดเหมือนกัน…

“ทำไมกาแฟแก้วเดียวกัน 
พอเปลี่ยนถ้วย…รสถึงไม่เหมือนเดิม?”

เรื่องนี้ไม่ได้เป็นความรู้สึกไปเองครับ แต่เป็น “ข้อมูล”
และมีบริษัทญี่ปุ่นที่ตั้งใจทดลองเรื่องนี้อย่างจริงจัง 
นั่นคือ UCC บริษัทกาแฟในญี่ปุ่น

UCC ทดลองโดยใช้ถ้วย 4 แบบ
A: เล็ก ปากแคบ เบา
B: ใหญ่ ปากกว้าง เบา
C: เตี้ย ปากกว้าง หนัก
D: สูง ปากแคบ หนัก

กาแฟทั้งหมดเป็นชนิดเดียวกัน
อุณหภูมิเหมือนกัน ใส่ปริมาณเท่ากัน (70% ของถ้วย)
แต่ผลที่ได้…คนญี่ปุ่นถึงกับ “อึ้ง”

ให้ผู้ทดลอง 53 คนดูภาพถ้วยแต่ละแบบที่ใส่กาแฟเหมือนกันทั้งหมด และให้ให้คะแนนสิ่งที่นึกถึง ได้แก่
-ความแรงของกลิ่น
-ความหวาน
-ความเปรี้ยว
-ความขม
-ความเข้มข้น (濃厚さ)

คะแนนให้ตั้งแต่ 0 (ไม่มีเลย) – 5 (ปกติ) – 10 (แรงมาก)

ผลที่ได้
-ถ้วยเล็ก A → ถูกมองว่า “เข้มและขมกว่า”
-ถ้วยปากกว้าง B และ C → ทำให้รู้สึกว่า “กลิ่นแรงกว่า”

ทีนี้จึงใช้ผู้ทดลองที่ผ่านการฝึกประเมินกาแฟ 14 คน 
โดยไม่บอกว่ากาแฟในถ้วยทั้ง 4 เหมือนกัน
“จุดเปลี่ยนรส” เกิดขึ้นที่ถ้วย C

หลายคนรู้สึกว่า “ตั้งแต่ถ้วย C เป็นต้นไป รสเข้มขึ้นทันที”
ซึ่ง UCC อธิบายว่าเป็นเพราะ “น้ำหนักของถ้วย”
-C และ D หนักกว่า A และ B มาก
-ความรู้สึกหนักในมือส่งสัญญาณไปยังสมอง
→ ทำให้สมอง “เข้าใจผิด” ว่า เข้มขึ้น

นี่คือผลของ “Cross-modal effect”
(การที่ประสาทสัมผัสหนึ่งมีอิทธิพลต่ออีกประสาทสัมผัส 
เช่น น้ำหนักทำให้รู้สึกว่ารสชาติเข้มขึ้น)

ซึ่งก็เคยมีงานวิจัยอื่นด้วย เช่น
“โยเกิร์ตที่ภาชนะหนักกว่า จะถูกมองว่าเข้มข้นกว่า“
.
.
แล้วทำไมถ้วยสูงกว่าถึงทำให้กลิ่นพุ่งขึ้น?

จากการวัดแบบ TDS (การเปลี่ยนรสตามเวลา):
-ตอนกาแฟแตะปากถ้วยทรงสูง → กลิ่นเด่นที่สุด
-ช่วงกลางหลังกลืน → ความขมลดลง

คือ…ถ้วยสูง “พากลิ่น” มาชนจมูกก่อนลิ้นจะรู้สึกขม
ทำให้สมองจำว่ากาแฟแก้วนี้ “หอมกว่า”
นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมร้านกาแฟญี่ปุ่นบางร้านถึงเลือกใช้ถ้วยทรงสูงเวลาเสิร์ฟเมนูที่เน้นกลิ่น
.
.
ฉะนั้น ถ้าเราเข้าใจหลักนี้ก็สามารถออกแบบรสชาติได้
โดยไม่ต้องเปลี่ยนสูตรกาแฟเลย
-อยากเน้นความหอม ใช้ถ้วยสูง ปากแคบ (แบบ D)
-อยากให้กาแฟรู้สึกเข้ม ใช้ถ้วยหนัก หรือทรงเตี้ย (แบบ C)

นอกจากนี้ญี่ปุ่นยังพบว่าผิวสัมผัสของถ้วยมีผลด้วย
ถ้วยด้าน ถ้วยมันวาว ทำให้สมองรู้สึกต่างกัน
ทั้งที่รสจริงไม่เปลี่ยน

นี่คือเหตุผลที่ร้านกาแฟพรีเมียมในญี่ปุ่นเลือกแก้วกันอย่างละเอียด เพราะเค้ามองว่า “เสิร์ฟกาแฟ คือเสิร์ฟประสบการณ์ทั้งหมด ไม่ใช่แค่รสชาติ”

เรื่องนี้ใหม่สำหรับผมมาก หวังว่าจะเป็นประโยชน์สำหรับคนชอบดื่มกาแฟนะครับ

Boom JapanSalaryman 
Cr: weathernews

ครูอยากฝากไว้สำหรับใครอยากเก่งภาษาอังกฤษ

ครูอยากฝากไว้สำหรับใครอยากเก่งภาษาอังกฤษ

1. ข้อที่หนึ่ง อยากรู้ศัพท์เยอะ ต้องสะสมคำศัพท์ ทีละนิดไปเรื่อยๆ 
• Vocabulary (Longman 3000 คำ) 
• Synonyms (คำเหมือน) 
• Collocations (คำที่ใช้คู่กัน) 
• Phrasal Verbs (กริยาวลี) 
• Prefixes, Suffixes และ Roots 

2. ข้อที่สอง ศึกษาGrammar, ทำแบบฝึกหัด และฝึกใช้งานในชีวิตจริง
• เช่น ฝึกแต่งประโยคอดีตเรื่องที่จบแล้วด้วย Past Tense, ฝึกพูดออกมา ลองอัดเสียง และแก้ไขcheckจุดผิด

3. ข้อที่สาม อย่ากลัว และไม่อายที่จะทำผิดพลาด 

• จำไว้ให้ขึ้นใจว่า ภาษามีเอาไว้สื่อสาร ถ้าเราไม่ลองพูด ลองเขียน เราจะไม่ได้เรียนรู้จากสิ่งที่ผิด  

4. ข้อที่สี่ หาINPUT พัฒนาSKILLSหลายๆแบบ 
• INPUT แรกคือ เปิดหู

ดูหนังเยอะๆ ดูseries เปิด Subtitle ภาษาอังกฤษไปด้วย ตาดูศัพท์ หูฟัง ปากพูดตาม ลองpause และออกเสียงตามไปด้วย 

• INPUT อีกอย่างคือ เปิดตา

อ่านเยอะๆ เริ่มแบบใกล้ตัวก่อนเลย เช่น อ่านฉลากอาหาร, วิตามิน หรือ เครื่องสำอางค์ภาษาอังกฤษ 

ต่อไปก็อ่านหนังสือ Magazines, หนังสือพิมพ์online, นิยาย หรือ หนังสือที่เราชอบ เป็นภาษาอังกฤษ เลือกเรื่องที่เราสนใจ เช่น การเงิน อาหาร และจดศัพท์ 

เวลาอ่านเยอะๆก็จะได้มีideas ได้ศัพท์ใหม่ๆ 

5. ข้อห้า ฝึกฝน OUTPUT ตัวเอง 
• ฝึกพูด พูดกับตัวเอง พูดกับเพื่อนใหม่ กับNative Speakers หรือเพื่อนที่เก่งกว่า พูดกับทีวี พูดกับ AI ChatGPT พูดกับYouTube แล้วแต่เราจะฝึกพูดเลย แต่ต้องสม่ำเสมอ 

•อัดเสียง อัดวีดีโอตัวเองตอนพูดแล้วลองฟังเพื่อปรับปรุงแก้ไข 

• ฝึกเขียน วันนี้เราทำอะไรบ้าง เขียนJournal/Diary จะได้พัฒนาทักษะการเขียนและฝึกเรียบเรียงระบบความคิดตัวเอง

• ถ้าเขียนไม่เป็นเลย ลองเริ่มจากฝึกแต่งประโยคตาม ตัวอย่างในdictionaryก่อน >>>> พอเริ่มมีคลังคำศัพท์ พอรู้Grammar ก็มาเริ่มเขียนกันค่า

• ถ้ามีทุนทรัพย์หน่อย ก็หาติวเตอร์สอนพูด สอนเขียน จะได้มีแนวทาง สำเร็จถึงเป้าหมายเร็วขึ้น ไม่เสียเวลา 
.

รวม 10 ชีท Important Vocab ศัพท์ตัวสำคัญ 

1.) ศัพท์สำหรับผู้สอบIELTS Academic 500 คำจำเป็นต้องรู้ 
http://ielpmarianna.pbworks.com/w/file/fetch/101175910/AWL_sublists1-10_alpha_col_pink.pdf

2.) ศัพท์Listening1200 คำ ออกสอบบ่อย (General-Academic)
https://drive.google.com/file/d/1u3swXM2O7MwSxNNvgXoaaz_qerWxbryy/view?usp=sharing

3.) ศัพท์ง่ายๆ แต่หลายคนแปลไม่ได้ Phrasal verbs (A-Z)
https://drive.google.com/file/d/1iUdOjfJTN4ADWh3XcTgXxXCJoZx9ZvAk/view?usp=sharing

4.) 100 Important Vocabulary สำหรับการสอบขั้นสูง (แปล+ตัวอย่างประโยคการใช้)

https://drive.google.com/file/d/1eb6R_AarxFvgLdKPcmHhtUL3tIpwsFiB/view?usp=sharing

5.) ชีท Synonyms สำคัญต่อการสอบ IELTS 
https://drive.google.com/file/d/1kHJN0mQpfYKFxksVLh-mklZk-aOiXCBs/view?usp=sharing

6.) รวมรากศัพท์A-Z ลิ้งค์พร้อมดาวน์โหลด
ช่วยให้เข้าใจที่มาที่ไปคำศัพท์ จะได้รู้ศัพท์เยอะขึ้น จำศัพท์ได้ง่ายขึ้น
 https://drive.google.com/open?id=1lQCFXWgFWYWHqkekQUYZjuWdYg27LD6Y

7.) รวมAcademic Collocations #ฉบับสมบูรณ์  
https://pearsonpte.com/wp-content/uploads/2014/07/AcademicCollocationList.pdf

8.) หนังสือ ช่วยกำจัดจุดอ่อนด้านคำศัพท์ เหมาะสำหรับคนอยากปูพื้นสะสมคลังVocabularyเตรียมสอบ IELTS 

https://images.static-collegedunia.com/public/college_data/images/entrance/entrance_brochure/1627906951Williams%20Anneli.%20-%20Collins%20Vocabulary%20for%20IELTS.pdf

9.) หนังสือ ศัพท์ ระดับ C1 

https://m.vk.com/doc-54818022_561313787?hash=9a46824c9e5f3dfa9c&dl=2c228de0828ba71345

เฉลย

https://m.vk.com/doc149217515_573320145?hash=68b81cd7e9994bea80&dl=5e535b706b56d69840

10.) หนังสือ ศัพท์ ระดับ C2

https://m.vk.com/doc-54818022_561313795?hash=98c794d1679f6764f8&dl=a1c6c084c6ef3aea64

เฉลย

https://m.vk.com/doc-54818022_561313800?hash=cc2635250fb8265353&dl=7b1382a931e77d1f7e

สำหรับคนที่กำลังจะสอบIELTS ไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหน ติดตามเพจครูไว้เลย ส่วนใครที่กำลังท้อ สอบIELTS, PTE มาหลายครั้ง ท้อได้ แต่อย่าหยุด ครูเป็นกำลังใจให้นะคะ ครูเข้าใจดี 

For those who want to learn more about improving their IELTS scores, please continue following my page. And for those who are struggling or losing hope, I’m here for you. I feel you. Trust me, there’s a way through. Focus on the steps forward and don’t look back. Don’t think too much about the pace; just keep moving ahead. 

ขอบคุณนักเรียนทุกคนจริงๆ ติดตามกันไปเรื่อยๆนะคะ 💕

ขอบคุณ​ที่มา
ครูลีลา

**ทำไมกาแฟคั่วอ่อนถึงฮิตขึ้นเรื่อย ๆ ? ความลับที่ลูกค้ายังไม่รู้**



ช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ถ้าสังเกตดี ๆ เราจะเห็นว่าร้านกาแฟเล็ก–ใหญ่ เริ่มเสิร์ฟ “คั่วอ่อน” มากขึ้นเรื่อย ๆ จนกลายเป็นเหมือนภาษากลางของกาแฟสเปเชียลตี้ไปแล้ว แต่รู้ไหมว่า…ความฮิตนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเพราะ
เทรนด์ อย่างเดียว แต่เกิดจาก “ความจริงบางอย่าง” ที่ลูกค้าหลายคนยังไม่รู้ด้วยซ้ำ

☕ 1. คั่วอ่อน = รสชาติที่แท้จริงของกาแฟ

เมล็ดกาแฟทุกเมล็ดซ่อนเอกลักษณ์ตัวเองอยู่ คั่วอ่อนช่วย “เก็บตัวตน” ของเมล็ดไว้ได้มากที่สุด
ตั้งแต่กลิ่นผลไม้ เปรี้ยวหวานแบบธรรมชาติ ไปจนถึงกลิ่นดอกไม้บาง ๆ

ยิ่งแหล่งปลูกดีเท่าไหร่ คั่วอ่อนยิ่งทำให้ความเป็นตัวของตัวเองเด่นขึ้น

☕ 2. ลูกค้าเริ่มอยากรู้ว่า “กาแฟดีจริง” รสชาติเหมือนอะไร

สมัยก่อนกาแฟมักคั่วเข้มจนรสชาติใกล้กันหมด แต่วันนี้ลูกค้าอยากรู้ความแตกต่าง
อยากรู้ว่า เอธิโอเปีย มีกลิ่นดอกไม้ยังไง โคลอมเบีย จะมีความคล้ายผลไม้อะไร หรือ ไทยเหนือ จะมีโน๊ตน้ำผึ้งจริงไหม

คั่วอ่อนทำให้ “แหล่งปลูก” มีบทบาทและหลายรสชาด มากขึ้นกว่าที่เคยเป็น

☕ 3. เทคโนโลยีทำกาแฟดีขึ้นมาก

ทุกวันนี้เรามีเครื่องบดที่แม่นยำขึ้น
เครื่องชงที่ปรับความร้อนได้แม่นขึ้น
บาริสต้าเองก็มีความรู้มากขึ้น

ทั้งหมดนี้ทำให้ “การเสิร์ฟคั่วอ่อน” ไม่ใช่เรื่องยากเหมือนเมื่อก่อน
คุณภาพจึงออกมาเสถียรกว่าเดิม ลูกค้าชอบมากกว่าเดิม

☕ 4. คั่วอ่อนทำให้กาแฟดื่มง่ายขึ้น… ถ้าชงถูกวิธี

คั่วอ่อนมีความเป็นผลไม้สูง ทำให้บางแก้วดื่มแล้วรู้สึก “สดชื่น” มากกว่าเข้ม ไม่ฝาด ไม่ไหม้ ไม่ขมติดลิ้นเหมือนคั่วเข้มแบบดั้งเดิม
ลูกค้ารุ่นใหม่จึงบอกว่า “กินง่ายกว่าเยอะ”

☕ 5. คาเฟ่ใช้คั่วอ่อนเพื่อสร้าง “เอกลักษณ์”

คั่วอ่อนปรับสูตรได้หลากหลายมาก
ร้านสามารถออกแบบรสชาติประจำร้านได้เอง เช่น
• เปรี้ยวหวานแบบเบอร์รี่
• หอมดอกไม้
• นัวน้ำผึ้ง
• ฟรุตตี้ใส ๆ แบบชาผลไม้

ลูกค้าที่ชอบก็จะจำร้านนั้นได้ทันที ทำให้ “ลูกค้าประจำ” เกิดง่ายขึ้น

คั่วอ่อนไม่ได้เหมาะกับทุกคน แต่เหมาะกับคนอยากรู้รสกาแฟจริง ๆ**

และนี่แหละเสน่ห์ที่ทำให้คั่วอ่อนฮิตขึ้นเรื่อย ๆ ยิ่งใครดื่มกาแฟมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งอยากลองคั่วอ่อนมากขึ้นเท่านั้น

[AI Of The Day] ‘Flood Hub’ แพลตฟอร์ม AI ที่ช่วยเตือนน้ำท่วมล่วงหน้าได้ 7 วัน จาก Google


.
.
ในโลกที่ภาวะโลกร้อนและวิกฤตภูมิอากาศกลายเป็นภัยคุกคามอันดับต้นๆ ของมนุษยชาติ น้ำท่วมไม่ใช่แค่เหตุการณ์ชั่วคราว แต่คือหายนะที่คร่าชีวิตคนหลายพันรายในแต่ละปี ส่งผลกระทบต่อผู้คนหลายล้าน และสร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจนับไม่ถ้วน ทำให้คำถามสำคัญไม่ใช่แค่ว่า “น้ำจะท่วมหรือไม่” แต่คือ “เราจะรู้ล่วงหน้าได้หรือเปล่า เพื่อป้องกันการสูญเสียที่ไม่จำเป็น”
.
Google จึงพัฒนา Flood Hub ขึ้นมา เป็นแพลตฟอร์มที่ใช้ AI เพื่อแจ้งเตือนภัยน้ำท่วมล่วงหน้าสูงสุดถึง 7 วัน ช่วยให้ผู้คน หน่วยงาน และรัฐบาลสามารถวางแผน เตรียมการอพยพ และป้องกันความเสียหายได้อย่างมีประสิทธิภาพ
.
.
[ AI ที่มี 2 ระบบวิเคราะห์ความน่าจะเป็นของกระแสน้ำ ]
.
หัวใจของ Flood Hub อยู่ที่การผสานพลังของ AI สองระบบเข้าด้วยกัน
.
1️⃣ Hydrologic Model: วิเคราะห์ว่าระดับน้ำในแม่น้ำจะสูงขึ้นหรือลดลงอย่างไรในช่วง 7 วันข้างหน้า โดยใช้ข้อมูลสาธารณะ เช่น ปริมาณฝน ลักษณะอ่างเก็บน้ำ และข้อมูลภูมิประเทศ
.
2️⃣ Inundation Model: จำลองการเคลื่อนไหวของน้ำเมื่อเกิดน้ำท่วม โดยอิงจากข้อมูลดาวเทียมและพยากรณ์จากโมเดลแรก เพื่อประเมินว่าพื้นที่ไหนจะถูกน้ำท่วม และท่วมสูงแค่ไหน
.
สิ่งที่ทำให้ AI ของ Google ก้าวข้ามเทคโนโลยีเดิมอย่าง GloFAS คือ ความสามารถในการทำนายได้แม่นยำกว่า แม้ในพื้นที่ที่ขาดข้อมูล โดยใช้วิธี “เรียนรู้จากที่ที่มีข้อมูลมาก แล้วนำไปปรับใช้กับพื้นที่ที่มีข้อมูลน้อย” ซึ่งเหมาะอย่างยิ่งกับประเทศกำลังพัฒนา หรือภูมิภาคที่ขาดระบบวัดระดับน้ำถี่ถ้วน
.
Google Flood Hub ไม่ใช่แค่ AI อยู่ในศูนย์ข้อมูล แต่เป็นแพลตฟอร์มที่เปิดให้ใช้งานได้ฟรี มีอินเทอร์เฟซที่เข้าใจง่าย และให้ข้อมูลในระดับท้องถิ่นอย่างชัดเจน
.
- แสดงแผนที่น้ำท่วมในพื้นที่ที่คุณอาศัยอยู่
- แสดงแนวโน้มระดับน้ำและการเปลี่ยนแปลง
- อัปเดตการคาดการณ์ทุกวัน
- แชร์ข้อมูลได้ทันทีผ่านโซเชียลมีเดีย
- ใช้สีและสัญลักษณ์แสดงให้เห็นชัดเจนว่าพื้นที่ไหนกำลังประสบภัยน้ำท่วม เช่น สีแดงน้ำท่วมรุนแรง สีส้มเตือนภัย เป็นต้น
.
Google ยังทำงานร่วมกับรัฐบาล องค์กร NGO และสหประชาชาติ เพื่อกระจายการแจ้งเตือนผ่านช่องทางต่างๆ เช่น Google Search, Google Maps และการแจ้งเตือนบน Android เพื่อให้เข้าถึงผู้คนได้แม้ในช่วงเวลาวิกฤต
.
ทุกวันนี้ Flood Hub ให้บริการคาดการณ์ภัยน้ำท่วมใน ลุ่มแม่น้ำกว่า 150 ประเทศทั่วโลก ครอบคลุมประชากรกว่า 700 ล้านคน และยังขยายการใช้งานต่อเนื่อง
.
สำหรับ นักวิจัยและผู้เชี่ยวชาญ Flood Hub ยังมี API ชุดข้อมูล GRRR และชั้นข้อมูลพิเศษบนแพลตฟอร์มที่ประกอบด้วยจุดพยากรณ์มากกว่า 250,000 จุดทั่วโลก สำหรับการวิเคราะห์และพัฒนาเชิงลึก
.
.
[ เทคโนโลยีที่เรียบง่าย แต่ช่วยชีวิตมนุษย์ได้ ]
.
Flood Hub คือภาพสะท้อนว่า AI ไม่ควรถูกจำกัดอยู่ในเรื่องของธุรกิจหรือประสิทธิภาพเท่านั้น แต่ควรเป็น “โครงสร้างพื้นฐานแห่งการอยู่รอด” ให้กับมนุษย์ในยุคที่ธรรมชาติไม่แน่นอน
.
มันคือความตั้งใจของ Google ที่จะ “ทำให้ข้อมูลการพยากรณ์น้ำท่วมที่สำคัญ เข้าถึงได้อย่างเป็นสากล” และเมื่อเทคโนโลยีนี้ถูกใช้อย่างถูกที่ ถูกเวลา และเข้าถึงคนได้จริง มันก็ไม่ได้เป็นแค่ AI แต่คือ “ระบบเตือนภัยล่วงหน้า” ที่มีโอกาสเปลี่ยนวิธีที่ทั้งโลกเตรียมตัวรับมือกับภัยพิบัติไปตลอดกาล
.
.
#FutureTrends #FutureTrendsetter #AIOfTheDay

Google DeepMind เปิดตัว WeatherNext 2 พลิกโฉมวงการพยากรณ์อากาศโลกด้วย AI แม่นยำสูงสุด พร้อมประมวลผลฉับไวในระดับนาที



17 พฤศจิกายนที่ผ่านมา Google DeepMind ผนึกกำลังกับ Google Research ประกาศเปิดตัวนวัตกรรมล่าสุด WeatherNext 2 ซึ่งเป็นโมเดลปัญญาประดิษฐ์สำหรับการพยากรณ์อากาศที่ทันสมัยและทรงประสิทธิภาพที่สุดเท่าที่บริษัทเคยพัฒนามา 

โดยเทคโนโลยีใหม่นี้ถูกออกแบบมาเพื่อยกระดับการคาดการณ์สภาพภูมิอากาศทั่วโลกให้มีความแม่นยำสูงขึ้น มีความละเอียดคมชัด และรวดเร็วยิ่งกว่าเดิม การมาถึงของ WeatherNext 2 จึงเปรียบเสมือนการก้าวกระโดดครั้งสำคัญที่นำปัญญาประดิษฐ์ AI มาช่วยให้เราเข้าใจและรับมือกับสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงได้อย่างทันท่วงที

จุดเด่นที่สร้างความฮือฮาให้กับวงการอุตุนิยมวิทยาคือขีดความสามารถในการประมวลผลที่เหนือชั้น โดย WeatherNext 2 สามารถสร้างผลการพยากรณ์ได้รวดเร็วกว่าเดิมถึง 8 เท่า พร้อมเจาะลึกรายละเอียดได้ถึงระดับรายชั่วโมง โมเดลดังกล่าวสามารถจำลองสถานการณ์สภาพอากาศที่เป็นไปได้ถึงหลายร้อยรูปแบบจากชุดข้อมูลนำเข้าเพียงครั้งเดียว 

ขั้นตอนการประมวลผลใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งนาทีบนหน่วยประมวลผล TPU (Tensor Processing Unit) เพียงตัวเดียว ซึ่งถือเป็นความเร็วที่ทิ้งห่างการใช้ซูเปอร์คอมพิวเตอร์รันโมเดลตามหลักฟิสิกส์แบบดั้งเดิมที่มักต้องใช้เวลานานหลายชั่วโมง นอกจากนี้ ผลการทดสอบยังชี้ว่า WeatherNext 2 มีประสิทธิภาพเหนือกว่าโมเดล WeatherNext รุ่นก่อนหน้าถึงร้อยละ 99.9 ในทุกตัวแปรสำคัญ อาทิ อุณหภูมิ กระแสลม และความชื้น ครอบคลุมระยะเวลาพยากรณ์ล่วงหน้าตั้งแต่ 0 ถึง 15 วัน

เบื้องหลังความแม่นยำนี้ขับเคลื่อนด้วยสถาปัตยกรรม AI รูปแบบใหม่ที่เรียกว่า Functional Generative Network (FGN) ซึ่งใช้วิธีการส่งสัญญาณรบกวน (Noise) เข้าสู่โครงสร้างโมเดลโดยตรง เพื่อให้ผลลัพธ์การพยากรณ์มีความสมจริงทางกายภาพและมีความเชื่อมโยงกันอย่างเป็นระบบ 

โดยเทคโนโลยี FGN นี้มีความโดดเด่นในการจัดการข้อมูลที่นักอุตุนิยมวิทยาเรียกว่า Marginals หรือองค์ประกอบเดี่ยว เช่น อุณหภูมิ ณ จุดใดจุดหนึ่ง และแบบ Joints ซึ่งเป็นระบบซับซ้อนขนาดใหญ่ที่เชื่อมโยงกัน สิ่งที่น่าสนใจคือนักวิจัยพบว่าแม้โมเดลจะถูกฝึกฝนด้วยข้อมูลแบบองค์ประกอบเดี่ยว แต่กลับสามารถเรียนรู้และคาดการณ์ระบบที่ซับซ้อนได้อย่างเชี่ยวชาญ ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการวิเคราะห์เหตุการณ์ในภาพรวม เช่น การระบุภูมิภาคทั้งหมดที่ได้รับผลกระทบจากคลื่นความร้อน หรือการประเมินกำลังการผลิตไฟฟ้าของฟาร์มกังหันลมได้อย่างแม่นยำ

ในด้านการใช้งานจริง Google ได้เริ่มนำเทคโนโลยีนี้มาให้บริการแก่สาธารณะและภาคธุรกิจแล้ว เนื่องจากเล็งเห็นว่าสภาพอากาศมีผลต่อการตัดสินใจที่สำคัญในทุกระดับ ตั้งแต่ห่วงโซ่อุปทานระดับโลก เส้นทางการบิน ไปจนถึงการเดินทางในชีวิตประจำวัน 

ปัจจุบันข้อมูลพยากรณ์จาก WeatherNext 2 เปิดให้ใช้งานแล้วผ่าน Earth Engine และ BigQuery รวมถึงมีการเปิดตัวโครงการเข้าถึงล่วงหน้า Early Access Program บน Vertex AI ของ Google Cloud สำหรับการปรับแต่งโมเดลเฉพาะทาง 

นอกจากนี้ ยังมีการผนวกเทคโนโลยีดังกล่าวเข้ากับผลิตภัณฑ์หลักของ Google เพื่อยกระดับประสบการณ์ผู้ใช้ ได้แก่ Search, Gemini, Pixel Weather และ Google Maps Platform’s Weather API โดยมีแผนจะขยายการแสดงผลข้อมูลสภาพอากาศบน Google Maps ในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า

ความสามารถในการจำลองสถานการณ์ที่หลากหลายของ WeatherNext 2 ถือเป็นเครื่องมือสำคัญในการสนับสนุนการตัดสินใจ โดยเฉพาะการวางแผนรับมือภัยพิบัติที่ต้องคำนึงถึงความเป็นไปได้ทั้งหมดรวมถึงกรณีที่เลวร้ายที่สุด เช่น การคาดการณ์พายุหมุนแบบทดลอง เทคโนโลยีนี้ได้เข้ามาช่วยให้หน่วยงานด้านสภาพอากาศสามารถตัดสินใจบนพื้นฐานข้อมูลที่รอบด้านยิ่งขึ้น 

โดย Google ยืนยันถึงความมุ่งมั่นที่จะพัฒนาสถานะของเทคโนโลยีนี้อย่างต่อเนื่อง พร้อมส่งมอบเครื่องมืออันทรงพลังให้แก่ชุมชนทั่วโลก เพื่อเร่งกระบวนการค้นพบทางวิทยาศาสตร์และเสริมศักยภาพให้กับนักวิจัย นักพัฒนา และภาคธุรกิจในระดับสากลต่อไป

ที่มาของข้อมูล Google DeepMind, Google Research

#น้ำท่วมหาดใหญ่ #น้ําท่วมภาคใต้ #น้ําท่วมปี2568 #GoogleDeepMind #WeatherNext2 #AI #WeatherForecast #GoogleResearch #Innovation #พยากรณ์อากาศ #TNNTech

ทำคลิปไวรัล 4 ล้านวิวแต่พบว่า ยอดขายไม่ขยับเลยหาวิธีใหม่ จนได้เจอเทคนิคตามนี้(จาก Ellen Frances)


.
คอนเทนต์ไวรัล ยอดวิวหลักล้าน ยอดไลก์เยอะ แต่อะไรจะเกิดขึ้นถ้าคอนเทนต์ของคุณ "ไวรัล" จริงๆ แล้วกลับไม่ได้ช่วยธุรกิจของเลย? 
.
เรื่องของ Ellen Frances นักเขียนที่สร้างวิดีโอไวรัลบน TikTok ด้วยความพยายามเพียงน้อยนิด แต่กลับได้บทเรียนราคาแพงเกี่ยวกับความหมายที่แท้จริงของความสำเร็จในโลกดิจิทัล
.
Ellen ตัดสินใจลองใช้ TikTok เพื่อส่งเสริมธุรกิจการเขียนของเธอ ในช่วงปลายปี 2023 วันหนึ่งขณะดูทีวีรายการ Bob's Burgers เธอเห็นฟิลเตอร์คริสต์มาสน่ารัก ๆ และทดลองใช้กับทีวีและเสื้อของสามีที่วางอยู่บนราวตากผ้า ฟิลเตอร์นี้แสดงไฟคริสต์มาสบนวัตถุที่มีรูปร่างคล้ายคน ทำให้เกิดความรู้สึกเหมือนมี "ผี" ในบ้าน
.
เธอสร้างวิดีโอสั้น ๆ เพียง 11 วินาที พร้อมข้อความว่า "ต้องย้ายบ้านแล้วล่ะ" และอิโมจิผี โดยใช้เวลาทำเพียง 30-40 วินาทีเท่านั้น ผลลัพธ์คือวิดีโอ มียอดวิว 4 ล้านครั้ง , ไลค์กว่า 87,100 ครั้ง , คอมเมนต์ 785 ข้อความ , บันทึก 7,000 ครั้ง
.
ถึงแม้จะมียอดวิวและการมีส่วนร่วมเยอะ แต่ Ellen พบว่าความสำเร็จนี้ไม่ได้ช่วยธุรกิจของเธอเลย เพราะ
o ผู้ติดตามน้อยเกินไป - แม้จะมียอดวิว 4 ล้าน แต่เธอได้ผู้ติดตามเพียง 2,000 คนเท่านั้น
o ไม่มีการเปลี่ยนแปลงใหญ่ - วิดีโออื่น ๆ ของเธอไม่ได้รับความสนใจเพิ่มขึ้น
o ไม่มีรายได้ - ไม่มียอดขายหนังสือเพิ่มขึ้น ไม่มีผู้ติดตามบล็อกใหม่ และไม่ได้รับเงินจากยอดวิว (เนื่องจากเธออยู่ในออสเตรเลียซึ่งไม่มีโปรแกรมผู้สร้างคอนเทนต์ในขณะนั้น)
o เทรนด์ตามฤดูกาล - เมื่อผ่านพ้นช่วงคริสต์มาส ยอดวิวก็ลดลงอย่างมาก
o ไม่ได้แสดงตัวตน - วิดีโอไม่ได้แสดงหน้าของเธอหรือบอกเล่าเกี่ยวกับธุรกิจการเขียนเลย
.
แล้วเธอก็มาคิดว่า อะไรคือสิ่งที่ควรทำ?? ถ้าต้องการให้คลิปที่เป็นไวรัลเปลี่ยนเป็นเงินหรือผลประโยชน์ทางธุรกิจ
.
1.สร้างการสนทนา - คอนเทนต์ที่กระตุ้นการถกเถียงจะได้รับความสนใจมากกว่า ผู้คนชอบแสดงความคิดเห็นและมีส่วนร่วม
2.ทำสั้นกระชับ - คอนเทนต์สั้น ๆ เหมาะกับความสนใจของผู้ชมยุคใหม่ วิดีโอ 11 วินาทีของเธอมีคนดูจนจบถึง 48%
3.เรียบง่ายแต่มีประสิทธิภาพ - ไม่จำเป็นต้องใช้เทคนิคการผลิตซับซ้อน บางครั้งความเรียบง่ายอาจทำให้คอนเทนต์ดูจริงใจมากขึ้น
4.ผสมผสานความบันเทิง - ตามคำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญการตลาด "เป็นความบันเทิง ไม่ใช่โฆษณา" คอนเทนต์ควรให้ความสนุกและความบันเทิงก่อนการขาย
5.โพสต์อย่างสม่ำเสมอ - ยิ่งโพสต์มาก โอกาสไวรัลยิ่งสูง
.
และสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยง ถ้าอยากอยู่บน TikTok ยาว ๆ 
1.อย่าพึ่งพาเทรนด์ - เทรนด์มาเร็วไปเร็ว ไม่สามารถสร้างความสำเร็จระยะยาวได้
2.อย่าให้ "ไวรัล" เป็นเป้าหมายหลัก - เป้าหมายควรเป็นการสร้างฐานผู้ติดตามที่ภักดีและการเปลี่ยนจากผู้ติดตามเป็นลูกค้า
3.อย่าลืมแสดงตัวตน - คอนเทนต์ควรสะท้อนตัวตน ธุรกิจ หรือสิ่งที่ต้องการนำเสนอ
4.อย่าผลิตเนื้อหาที่มีอายุสั้น - คอนเทนต์ตามเทศกาลหรือเทรนด์จะหมดความนิยมเร็ว พยายามสร้างเนื้อหาที่มีคุณค่าต่อเนื่อง
5.ความสม่ำเสมอดีกว่าความระเบิด - การเติบโตอย่างค่อยเป็นค่อยไปดีกว่าการได้รับความนิยมแบบพุ่งพรวดแล้วดิ่งลง
.
หากใครต้องการใช้โซเชียลมีเดียเพื่อธุรกิจ อย่าคิดแค่การสร้างคอนเทนต์ไวรัล แต่ให้สร้างคอนเทนต์ที่สะท้อนตัวตนและสร้างการเชื่อมต่อกับกลุ่มเป้าหมายที่แท้จริง ความสำเร็จที่ยั่งยืนเกิดจากการสร้างฐานผู้ติดตามที่ภักดีและพร้อมสนับสนุนธุรกิจของคุณในระยะยาว
.
.
เขียนและเรียบเรียงโดย 100WEALTH
———
100WEALTH l ไปให้ถึง100ล้าน
.
#Business
#100WEALTH
#ไปให้ถึง100ล้าน
.
อ้างอิง
https://bit .ly/3DldWRX

วันศุกร์ที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568

มาบุญครอง

#มาบุญครอง เดิมคือชื่อธุรกิจโรงสีข้าวและจำหน่ายข้าวสารของครอบครัวบูลกุล ก่อตั้งในปี พ.ศ. 2517 โดยคุณศิริชัย บูลกุล. ต่อมาได้ขยายกิจการเป็นศูนย์การค้าชื่อ "ศูนย์การค้ามาบุญครอง" และภายหลังเปลี่ยนชื่อเป็น "MBK Center". 
#ที่มาของห้างมาบุญครอง
ภาพของคุณลุงมา คุณป้าบุญครอง และพี่ศิริชัย(บุตรคนสุดท้องของท่านทั้ง 2)
#คุณศิริชัย บูลกุลผู้สร้างตำนานเครือมาบุญครองที่นำชื่อของคุณพ่อและคุณแม่ของท่านมาตั้งเป็นชื่อศูนย์การค้ามาบุญครองเซ็นเตอร์ 
ภาพนี้ประมาณ 70 กว่าปีมาแล้วครับ
ขอบคุณภาพจากพี่แก้ว Pabhavee Bulakul
 #มาบุญครองอบพืชและไซโล จำกัด จดทะเบียนก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2517 ดำเนินกิจการให้บริการพัก เก็บ อบ และขนถ่ายผลิตผลทางการเกษตร และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย อนุมัติให้จดทะเบียนเป็นหลักทรัพย์รับอนุญาต เมื่อปี พ.ศ. 2521
#จุดเริ่มต้นของของพื้นที่หมอน 51 เกิดขึ้นจากในช่วงปี พ.ศ. 2516-2518 สำนักงานจัดการทรัพย์สิน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มีแนวคิดในการสร้างคอมเพล็กซ์ เพราะมองว่าอาคารพาณิชย์รองรับคนได้ไม่มากนัก[5] ในปี พ.ศ. 2526 บริษัทฯ จึงดำเนินการเช่าที่ดินบริเวณสี่แยกปทุมวันกับสำนักงานจัดการทรัพย์สินฯ แล้วก่อสร้างโครงการ ในตอนแรกนั้นใช้ชื่อว่า จุฬาคอมเพล็กซ์[6] ก่อนจะเปลี่ยนเป็น ศูนย์การค้ามาบุญครอง เซ็นเตอร์ จนกระทั่งแล้วเสร็จและเปิดให้บริการเมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2528 โดยพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อครั้งทรงดำรงพระราชอิสริยยศสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เสด็จพระราชดําเนินแทนพระองค์ไปทรงเปิดศูนย์การค้า[4]
ทั้งนี้ ศูนย์การค้ามาบุญครอง เซ็นเตอร์ นับเป็นศูนย์การค้าขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศไทยในเวลานั้น ซึ่งมีลักษณะเด่นที่ผนังอาคารทั้งหลัง บุด้วยหินอ่อนทั้งภายนอกและภายใน ทว่าบริษัทฯ ขอยุติการเป็นหลักทรัพย์รับอนุญาต เมื่อปี พ.ศ. 2530
#ต่อมาปี พ.ศ. 2533 มีการเปลี่ยนแปลงคณะผู้บริหาร พร้อมทั้งชื่อใหม่เป็นบริษัท เอ็มบีเค พรอพเพอร์ตีส์ แอนด์ ดีเวลอปเมนต์ จำกัด ซึ่งเข้าจดทะเบียนแปรสภาพเป็นบริษัทมหาชนจำกัด เมื่อวันที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2537 เข้าเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2539 โดยใช้ชื่อย่อหลักทรัพย์ว่า MBK-PD และเริ่มซื้อขายหุ้นสามัญของบริษัทฯ ในตลาดหลักทรัพย์ฯ ตั้งแต่วันที่ 24 เมษายน ปีเดียวกัน
#ต่อมาในวันที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2543 เปลี่ยนชื่อศูนย์การค้าจากมาบุญครอง เซ็นเตอร์ เป็น เอ็มบีเค เซ็นเตอร์ พร้อมทั้งดำเนินการปรับปรุงอาคาร โดยเปลี่ยนวัสดุผนังภายนอก และปรับปรุงทางหนีไฟ จากนั้น ดำเนินการเปลี่ยนชื่อบริษัทฯ อีกสองครั้งเป็นบริษัท เอ็ม บี เค ดีเวลอปเมนต์ จำกัด (มหาชน) เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2545 และเป็น บริษัท เอ็มบีเค จำกัด (มหาชน) รวมทั้งเปลี่ยนชื่อย่อหลักทรัพย์เป็น MBK เมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2546
#ต่อมาในวันที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2558 บมจ.เอ็มบีเค ได้รวมตัวกับสยามพิวรรธน์ในนามวันสยาม และกลุ่มธุรกิจสยามสแควร์ ภายใต้การกำกับดูแลโดยสำนักงานจัดการทรัพย์สิน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ก่อตั้งสมาคมการค้าพลังสยามขึ้น เพื่อพัฒนาศูนย์การค้าในย่านสยามให้เป็นย่านค้าปลีกระดับโลก  จากนั้น บมจ.เอ็มบีเค ก็ได้รับเงินจำนวน 1,000 ล้านบาท ในการใช้ปรับปรุงเอ็มบีเคเซ็นเตอร์ให้ทันสมัยขึ้น โดยปรับปรุงแล้วเสร็จในปลายปี พ.ศ. 2559
#ประวัติโดยละเอียด:
#ชื่อ "มาบุญครอง":
#ชื่อนี้มาจากชื่อพ่อ "มา" และแม่ "บุญครอง" ของคุณศิริชัย บูลกุล. 
#ธุรกิจเริ่มแรก:
#ธุรกิจเริ่มต้นจากโรงสีข้าวและจำหน่ายข้าวสารของครอบครัวบูลกุล. 
#การขยายธุรกิจ:
คุณศิริชัย บูลกุล ได้ต่อยอดธุรกิจและขยายเป็นโรงสีข้าวขนาดใหญ่ในปี พ.ศ. 2522. 
#ศูนย์การค้า:
#ต่อมาได้ก่อตั้งศูนย์การค้า "มาบุญครอง" บริเวณสี่แยกปทุมวัน โดยเช่าที่ดินจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. 
#การเปิดให้บริการ:
ศูนย์การค้ามาบุญครอง (ปัจจุบัน MBK Center) เปิดให้บริการเมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2528. 
#การเปลี่ยนชื่อ:
ภายหลังเปลี่ยนชื่อเป็น "MBK Center" ใน พ.ศ. 2543. 
#ปัจจุบัน:
MBK Center ยังคงเป็นศูนย์การค้าขนาดใหญ่ในย่านสยาม และเป็นที่รู้จักของชาวไทยและชาวต่างชาติ. 
#การบริหาร:
ศูนย์การค้า MBK Center บริหารงานโดย บริษัท เอ็ม บี เค จำกัด (มหาชน). MBK เดิมมีชื่อว่า มาบุญครอง ก่อตั้งในปี พ.ศ. 2517 โดย คุณศิริชัย บูลกุล ซึ่งการตั้งชื่อบริษัทมาจาก ชื่อ คุณพ่อมา และ คุณแม่บุญครอง ของคุณศิริชัย กิจการของ มาบุญครอง ในสมัยก่อน เป็นธุรกิจโรงสีข้าว และจำหน่ายข้าวสาร ซึ่งข้าวตรามาบุญครอง ทุกคนคงเคยได้ยินกัน
ข้อมูล:วิกิพีเดีย
เรียบเรียงโดย : เล่าสู่ กันฟัง 
(ขอบคุณเจ้าของภาพและข้อมูลครับ)
เเละเครดิต พี่  Pinid bulakul ด้วยครับ 
___________________________________
ภาพและเรื่องราวต่างๆที่น่าสนใจ

ใช้น้ำบาดาลรดต้นไม้ได้ไหม💦


==========================
✅️น้ำบาดาลสามารถใช้รดต้นไม้ได้ 👍
แต่มี ข้อควรระวังสำคัญ เพราะน้ำบาดาลแต่ละพื้นที่
มีคุณภาพต่างกันมากโดยเฉพาะเรื่อง 
ความเค็ม, ความกระด้าง, ธาตุเหล็ก, และ pH

✅ น้ำบาดาลใช้รดต้นไม้ได้ ในกรณีเหล่านี้
• ความเค็ม (EC) ต่ำกว่า 1.0 mS/cm
• ปลอดภัยสำหรับผัก, ไม้ผล, ไม้ดอก
• เหล็ก (Fe) ไม่สูงเกินไป

ถ้าน้ำไม่มีสีเหลือง–น้ำตาลหลังทิ้งไว้แปลว่าเหล็กไม่เยอะใช้ได้
• pH อยู่ระหว่าง 6.0–7.5
ต้นไม้ดูดธาตุอาหารได้ปกติ
• ไม่มีกลิ่นเหม็นหรือสารปนเปื้อนจากโรงงาน/ปั๊มบาดาลเก่า

==========================

❗ น้ำบาดาลแบบนี้ควรระวังหรือหลีกเลี่ยง

==========================

1) น้ำเค็ม / น้ำกร่อย
• ใบไหม้ ปลายใบแห้ง
• ดินแข็งต้นเหี่ยวง่าย
ถ้า EC > 2.0 mS/cm ไม่แนะนำรดเลย

2) เหล็กสูง (น้ำเหลือง)
• พื้นที่รดจะเป็นคราบสีน้ำตาล
• เหล็กสะสมที่ดิน รากหายใจลำบาก
ควรทำ บ่อพักตากน้ำ 1–2 วัน ให้เหล็กตกตะกอนก่อนใช้

3) น้ำกระด้างมาก (หินปูน)
• pH สูง ดินเป็นด่าง
• ไม้บางชนิดขาดธาตุเหล็ก–แมกนีเซียม
แก้ด้วยการเติมกรดอ่อน เช่น น้ำส้มควันไม้ หรือกรดซิตริกเล็กน้อย
________________________________
🌱 ถ้าต้องใช้น้ำบาดาลจริง ๆ — วิธีลดผลกระทบ
• ทำ บ่อพักน้ำ ให้เหล็กตกตะกอนก่อนใช้
• ผสม น้ำบาดาล 50% + น้ำฝน/น้ำประปา 50%
• เพิ่มอินทรียวัตถุในดิน เช่น ปุ๋ยคอก ปุ๋ยหมัก
• ตรวจค่าความเค็ม EC ง่าย ๆ ด้วยเครื่องมือวัด 200–300 บาท
________________________________

💢จะรู้ได้อย่างไรว่าน้ำบ่อบาดาลของตนเองใช้รดต้นไม้ได้หรือไม่ได้

________________________________

เราตรวจเองเบื้องต้นได้ ไม่ต้องมีเครื่องมือเยอะก็พอรู้ว่าบ่อบาดาลของเราปลอดภัยต่อการรดต้นไม้หรือเปล่า
ตามขั้นตอนนี้เลย 👇

✅ วิธีดูว่าน้ำบาดาลของเราใช้รดต้นไม้ได้ไหม

1) ดูด้วยตาเปล่า (ง่ายที่สุด)

✔ สี
• ใส → ปลอดภัยกว่า
• เหลือง / ส้ม / น้ำตาล → เหล็กสูง ควรพักน้ำก่อนใช้
• ขาวขุ่นเป็นนม → น้ำกระด้างมาก มีหินปูนสูง ดินจะเป็นด่าง

✔ ตะกอน
ตักน้ำใส่แก้วแล้ววางทิ้งไว้ 1–2 ชั่วโมง
• ถ้ามีตะกอน สีเหลือง–น้ำตาล → เหล็กสูง
• ถ้ามี หินปูนจับขาว ๆ → น้ำกระด้าง

✔ กลิ่น
• ไม่มีกลิ่น → ปกติ
• กลิ่นสนิมเหล็ก → เหล็กเกิน
• กลิ่นไข่เน่า (H₂S) → ไม่ควรใช้รดพืชที่กินผลหรือผัก

2) สังเกตเมื่อใช้รดต้นไม้

ถ้ารดไปสักระยะแล้วเกิดอาการเหล่านี้ แปลว่า “น้ำไม่เหมาะ”
• ปลายใบไหม้ แห้ง
• ใบซีด–เหลืองทั้งที่ใส่ปุ๋ย
• ดินแข็งเป็นแผ่น
• มีคราบเหลือง/ส้มบนพื้นหรือขอบกระถาง
• ต้นไม้เฉาตอนกลางวันทั้งที่ดินยังชื้น
ถ้ามีหลายข้อพร้อมกัน → “น้ำเค็มหรือเหล็กสูง”

3) ใช้เครื่องวัดความเค็ม EC (ถ้ามี)

ราคา 200–300 บาท
ค่าที่เหมาะสำหรับรดต้นไม้คือ
• EC ต่ำกว่า 1.0 mS/cm → ปลอดภัย
• 1.0–2.0 → ใช้ได้ แต่ต้องผสมน้ำฝน/น้ำประปา
• สูงกว่า 2.0 → ไม่แนะนำ

4) วิธีตรวจแบบบ้าน ๆ โดยไม่ต้องซื้ออะไร

✔ วิธีทดสอบคราบน้ำ
หยดน้ำบาดาลลงบนกระจก แล้วรอให้แห้ง
• คราบ ขาวเป็นฝุ่น = หินปูน (น้ำกระด้าง)
• คราบ เหลือง = เหล็กสูง
✔ วิธีทดสอบความเค็มง่าย ๆ
• ลองชิมปลายลิ้นเบา ๆ (ปลอดภัยเฉพาะน้ำสะอาดที่ใช้ดื่มได้)
• ถ้ารสเค็ม–กร่อย → พืชบางชนิดจะใบไหม้

5) ถ้าต้องการรู้ชัดที่สุด

สามารถนำตัวอย่างน้ำไปตรวจที่
• สำนักงานพัฒนาที่ดินจังหวัด (พด.)
• เกษตรอำเภอ
ตรวจค่า EC, pH, ความกระด้าง, เหล็ก
ค่าตรวจสิบ–ร้อยบาท แต่ผลชัดเจนมาก
________________________________

#น้ำบาดาลรดต้นไม้
#surrisshalife

คนที่น่าอิจฉาและน่ากลัวที่สุดคือคนที่อยู่คนเดียวเป็น


1. แยกแยะเสียงคนกับเสียงใจได้เก่ง
เขาไม่ปล่อยให้ความเห็นคนอื่นมาบงการชีวิต เพราะเขา
ฟังตัวเองเป็นหลักและเคารพความรู้สึกของตัวเองก่อนเสมอ

2. ไม่ต้องการคำยืนยันจากใคร
เขาไม่ต้องโพสต์ให้ใครมาไลก์เพื่อรู้สึกว่า
ตัวเองมีคุณค่า เพราะเขารู้คุณค่าตัวเองดีอยู่แล้ว

3. ใช้ความเงียบเป็นอาวุธชั้นดี
เขารู้ว่าไม่ใช่ทุกสถานการณ์ที่ต้องตอบโต้
และบางทีความเงียบก็ทำให้เขาชนะได้แบบสวยงาม

4. เลือกคบคนอย่างมีสติ
เขาไม่ได้คบคนเพราะเหงา แต่คบเพราะเข้ากัน
ได้จริง ทำให้ชีวิตเขาไม่มีคนพลังลบคอยดูดพลัง

5. กล้าอยู่กับปัญหาโดยไม่หนี
เขาไม่กลัววันที่ทุกอย่างเงียบ เพราะความเงียบ
ทำให้เขามองเห็นปัญหาชัดขึ้นและแก้ได้เร็วกว่าเดิม

6. สร้างความสุขด้วยตัวเองได้
เขาไม่ต้องรอคนพาไปเที่ยว พาไปกิน หรือพาไปพัก
เพราะเขารู้วิธีเติมเต็มให้ตัวเองแบบไม่ต้องง้อใคร

7. โฟกัสกับงานได้ลึกเป็นพิเศษ
เขาทำงานได้อย่างเต็มที่โดยไม่มีเสียงรบกวนทำให้
ผลลัพธ์ของเขามักเกินคาดและโตเร็วกว่าใครหลายคน

8. ไม่อ่อนไหวกับการถูกเมิน
เขาไม่ได้ต้องการความสนใจจากโลก
เพราะเขาให้ความสนใจกับชีวิตตัวเองมากกว่า

9. ไม่กระโดดตามอารมณ์ชั่ววูบ
เขาคิดก่อนพูดและคิดก่อนทำทุกครั้งทำให้เขา
นิ่ง น่าเกรง และยากที่ใครจะมาทำให้เสียศูนย์

10. ไม่กลัวการเริ่มต้นใหม่
เขาเคยผ่านความว่างเปล่ามาแล้ว เขาจึงไม่กลัวการ
เริ่มจากศูนย์อีกครั้ง เพราะรู้ว่าตัวเองสร้างใหม่ได้เสมอ

11. ประหยัดพลังงานชีวิตได้ดีมาก
เขาไม่ยุ่งเรื่องใคร ไม่ซุบซิบ ไม่เปรียบเทียบ
ทำให้ชีวิตเขาเบาและเดินหน้าได้ไกลกว่าเดิม

12. ตัดสินใจได้แม่นขึ้นเรื่อย ๆ
เพราะเขาฟังใจตัวเองจนชัด เขาจึงรู้ว่าอะไรดี
สำหรับชีวิตและอะไรที่ควรปล่อยไปอย่างไม่เสียดาย

13. ไม่ต้องชนะใคร นอกจากตัวเอง
เขาวัดผลชีวิตจากการเติบโต ไม่ใช่การแข่งขัน
ทำให้เขาเดินไปไกลแบบไม่ต้องมองซ้ายขวา

14. เข้มแข็งแบบไม่ต้องแสดงออก
ความนิ่งของเขาทำให้คนเกรงใจโดยอัตโนมัติ
เพราะเขาไม่ได้ต้องการพิสูจน์อะไรให้ใครเห็น

15. จัดการความรู้สึกได้เก่ง
เขารู้เวลาไหนควรพัก เวลาไหนควรไปต่อ
และไม่ยอมให้ความเศร้าฉุดเขาลงนานเกินไป

16. ไม่เสพติดความสัมพันธ์ผิดคน
เขาอยู่ได้ด้วยตัวเอง ทำให้เขาไม่วิ่งตามความรัก
แย่ ๆ และไม่ฝืนอยู่ในความสัมพันธ์ที่บั่นทอน

17. เปลี่ยนความโดดเดี่ยวเป็นพลังขับเคลื่อน
เขาใช้เวลาอยู่คนเดียวเพื่อคิด วางแผน และอัปเกรด
ชีวิตแทนที่จะปล่อยให้ตัวเองจมอยู่กับความเหงา

18. ชีวิตโตเงียบ ๆ แต่โคตรทรงพลัง
เขาไม่อวด ไม่โวย ไม่รีบ แต่วันหนึ่งเขาโผล่ขึ้นมาพิสูจน์
ให้เห็นว่า “คนที่อยู่คนเดียวเป็น” มักเป็นคนที่บินสูงที่สุดเสมอ

#อยู่คนเดียวเป็น #เติบโตภายใน
#พลังของความสงบ #ชีวิตคุณภาพ #ReadJourney

แนะนำให้อ่านเล่มนี้ 
https://s.shopee.co.th/6ptAVpmVzf
https://s.lazada.co.th/s.Z02CJD?cc

Parker ปาร์คเกอร์ ชุดปากกาลูกลื่น
https://s.shopee.co.th/BMGZxOObc

นั่งเฉยๆ เราจะตกผลึก


1. หยุดเพื่อเห็น

การนั่งเฉยๆ ทำให้เราเห็นความจริงหลายอย่างที่พลาด
เพราะวิ่งเร็วเกินไป เหมือนตอนหยุดพักแล้วถึงรู้ว่าที่เหนื่อย
มานานเพราะวิ่งผิดเส้นทางมาทั้งวัน

2. ความคิดชัดขึ้น

พอหยุดคิดซ้อนกันหลายชั้นก็หลุดออกทีละอัน เหมือนแกะ
หัวหอมทีละเปลือกจนเจอแก่นแท้ของปัญหาจริงๆ ที่มันง่าย
กว่าที่เรากลัวไว้มาก

3. ใจสงบก่อนเก่ง

หลายครั้งสิ่งที่ขาดไม่ใช่ความรู้แต่เป็นสติ การนั่งนิ่งๆ ทำให้เรากลับมาเชื่อมต่อกับตัวเองเหมือนเปิดเครื่องใหม่ให้ระบบทำงานดีขึ้นกว่าเดิม

4. ปัญหาก็หดลง

ตอนเหนื่อยปัญหาเล็กๆ ดูเหมือนภูเขา แต่พอเราหายใจลึกๆ แล้วนั่งนิ่งสักนาที มันหดลงจนเห็นว่าคือก้อนกรวดที่เขี่ยออกข้างทางได้สบาย

5. เจอตัวเองชัดกว่าเดิม

ความเงียบช่วยให้ได้ยินหัวใจตัวเองดังที่สุด หลายครั้งนั่งเฉยๆ ไม่นานก็ตอบตัวเองได้ทันทีว่าควรเดินต่อหรือควรตัดใจเสียที

6. อารมณ์ไม่พาไป

นั่งนิ่งๆ คือการกันตัวเองจากอารมณ์ร้อนชั่ววูบ เหมือนเรา
ดึงตัวเองจากขอบผา แล้วตั้งสติใหม่ก่อนตัดสินใจอะไรสำคัญ

7. สมองเรียงลำดับ

เมื่อเราหยุด สมองจะจัดการวางสิ่งสำคัญแยกจากสิ่งไร้ค่า
ให้เอง เหมือนโต๊ะทำงานที่รกแต่แค่หยุดจัดสักนิด ทุกอย่าง
ก็มีที่ของมัน

8. แก้ได้ตรงจุด

การตกผลึกทำให้มองเห็นปัญหาที่แท้จริง ไม่ใช่สิ่งที่เราคิด
ไปเอง คนจำนวนมากแก้ผิดจุดเพราะไม่เคยหยุดคิดให้ชัดก่อนลงมือ

9. มุมมองกว้างขึ้น

ยิ่งนิ่งเท่าไหร่ เราจะยิ่งเห็นภาพใหญ่ขึ้น เหมือนเดินถอยหลังหนึ่งก้าวแล้วเห็นทางที่มองไม่ออกตอนยืนชิดเกินไป

10. ความอยากลดลง

หลายสิ่งที่เราอยากได้ตอนอารมณ์พาไป พอเรานั่งนิ่งๆ
มันก็ไม่สำคัญเท่าเดิม เหมือนหิวเพราะเบื่อ ไม่ใช่เพราะ
ต้องการจริงๆ

11. ฟังใจคนง่ายขึ้น

เมื่อใจเราไม่เสียงดังเกินไป เราจะฟังสิ่งรอบตัวได้ชัดขึ้น
เห็นความตั้งใจของคน เห็นความหมายของคำพูด
และแยกแยะได้ดีขึ้นว่าใครจริงใจ

12. ชีวิตไม่สะเปะสะปะ

นั่งตกผลึกก่อนลงมือช่วยประหยัดเวลาไปครึ่งชีวิต
เหมือนวางแผนก่อนออกเดินทางแล้วเจอเส้นทางลัดแทน
การหลงป่านานหลายชั่วโมง

13. ความกลัวเบาลง

หลายอย่างเรากลัวเพราะคิดเร็วเกินไป พอหยุดนิ่งๆ แล้ว
มองมันตรงๆ ความกลัวมันเล็กลงจนกลายเป็นเรื่องเดินข้ามได้แบบไม่ต้องฝืน

14. รู้ทันนิสัยตัวเอง

ช่วงเวลานิ่งๆ ทำให้เห็นลายมือของตัวเอง เช่น ชอบผลัดวัน ชอบคิดลบ หรือรีบเกินไป การเห็นคือก้าวแรกของการเปลี่ยน

15. ระลอกอารมณ์จางลง

อารมณ์เหมือนน้ำ ขุ่นตอนถูกรบกวน แต่ถ้าปล่อยให้นิ่ง
มันจะใสเองโดยไม่ต้องทำอะไรเลย เราแค่ต้องปล่อยให้เวลาทำงานแทนเรา

16. เชื่อมโยงตัวเองกลับมา

ในความวุ่นวายของโลก ความเงียบคือน้ำที่พาเรากลับเข้าฝั่ง การนั่งเฉยๆ เหมือนดึงตัวเองจากความสับสนกลับมาอยู่ตรงกลางอีกครั้ง

17. ภาพอนาคตชัดขึ้น

เมื่อใจตกผลึก เราจะเห็นว่าควรเดินไปทางไหนต่อ ไม่ใช่
เพราะใครสั่ง แต่เป็นเพราะเรา “รู้สึก” ว่ามันคือทางที่ใช่จริงๆ

18. คำตอบมาหาเอง

บางคำตอบไม่ต้องวิ่งตาม พอเราหยุดนิ่ง สิ่งที่ตามหาอยู่
กลับเดินมาหาเราเอง เหมือนความคิดดีๆ ที่ผุดขึ้นตอนนั่งเฉยๆ ไม่ถึงห้านาที

#นั่งเฉยๆเราจะตกผลึก
#ปรัชญาชีวิต 
#แรงบันดาลใจทุกวัน 

แนะนำให้อ่านเล่มนี้ 
https://s.shopee.co.th/8peJ3ohWt7
https://s.lazada.co.th/s.Z0fWPr?cc

พยาบาลคนหนึ่งวางทารกที่แข็งแรงไว้ข้างพี่สาวฝาแฝดที่กำลังจะจากไป... และสิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นได้ปฏิวัติวงการแพทย์อย่างแท้จริง

พยาบาลคนหนึ่งวางทารกที่แข็งแรงไว้ข้างพี่สาวฝาแฝดที่กำลังจะจากไป... และสิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นได้ปฏิวัติวงการแพทย์อย่างแท้จริง ในปีพ.ศ 2538 ที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งในรัฐแมสซาชูเซตส์ ฝาแฝดคลอดก่อนกำหนด ไครี และ บรีเอล กำลังต่อสู้เพื่อชีวิตของพวกเธอ ไครีค่อยๆ แข็งแรงขึ้น... แต่บรีเอล น้องสาวของเธอกลับอ่อนแอลงทุกชั่วโมง แพทย์ได้เตรียมครอบครัวให้พร้อมรับสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดแล้ว: หัวใจของเธอกำลังเต้นผิดจังหวะ การหายใจล้มเหลว และไม่มีใครคิดว่าเธอจะรอดพ้นคืนนี้ไปได้👶🤍👶 จากนั้น พยาบาลคนหนึ่ง ทำตามสัญชาตญาณของเธอ โดยละเมิดกฏระเบียบปฏิบัติในขณะนั้น ตัดสินใจลองทำในสิ่งที่ไม่มีใครกล้าทำ: เธอนำทารกทั้งสองมาวางไว้ในตู้อบเดียวกัน แบบผิวสัมผัสผิว สิ่งที่เกิดขึ้นต่อไปทำให้แผนกดูแลทารกแรกเกิดทั้งหมดต้องตกตะลึง จอภาพเริ่มมีการเปลี่ยนแปลง... การหายใจของบรีเอลคงที่ขึ้น... ระดับออกซิเจนในเลือดเพิ่มสูงขึ้น... และสวนทางกับทุกความคาดหมาย ร่างกายเล็กๆ ของเธอกลับมามีชีวิตอีกครั้ง พยาบาลเห็นไครีโอบแขนเล็กๆ ของเขาไปรอบๆ น้องสาว ราวกับจะกอดปลอบ🩻🤍🩻
เพียงท่าทางเล็กๆช่วงเวลาที่หยุดนิ่ง
ปรากฏการณ์ที่บันทึกทางการแพทย์ยังไม่สามารถอธิบายได้
การสัมผัสธรรมดาๆ ระหว่างสองชีวิตที่เชื่อมโยงกันตั้งแต่ก่อนกำเนิดนี้ ไม่เพียงแต่ช่วยชีวิตเด็กคนหนึ่งไว้... แต่ยังเปลี่ยนแนวทางที่โรงพยาบาลทั่วโลกใช้ในการดูแลฝาแฝดคลอดก่อนกำหนดในปัจจุบันด้วย
บางครั้ง ปาฏิหาริย์ก็ไม่ได้อยู่เหนือธรรมชาติ
มันอยู่ในอ้อมกอดอันอบอุ่นของคนที่รัก credit medicinefile

วันพฤหัสบดีที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568

ทฤษฎีลาโง่... .ทางเลือกของนฉลาดใช้

1. โง่ให้ถูกที่

เพราะบางจังหวะยอมทำเป็นไม่รู้บ้างจะช่วยให้เราได้ข้อมูลได้ฟังคนพูด ได้เห็นนิสัยจริงๆ มากกว่าการพยายามแสดงว่าตัวเองรู้ทุกอย่างอยู่ตลอดเวลา.

2. โง่ให้ถูกคน

ถ้าเราวางตัวแบบเรียนรู้กับคนที่เก่งกว่า เขาจะอยากสอน อยากแบ่งปัน และมักดึงเราโตเร็วกว่าเดิมอย่างไม่น่าเชื่อ.

3. โง่เพื่อถ่อมใจ

บางเรื่องเรารู้ดี แต่การไม่โชว์เหนือช่วยรักษาความสัมพันธ์ ทำให้คนรอบข้างรู้สึกปลอดภัยและกล้าคุยกับเราแบบเปิดใจ.

4. โง่เพื่อลองผิด

ความเก่งเกิดจากการลองซ้ำๆ การทำเป็นไม่รู้นิดๆ เปิดโอกาสให้ตัวเองได้ล้ม ได้ลุก และได้เก่งขึ้นแบบที่ไม่มีใครคาดคิด.

5. โง่เพื่อเริ่มต้น

งานยากแค่ไหน ถ้าเริ่มจาก “ฉันยังไม่รู้ แต่ฉันอยากรู้” มันจะง่ายขึ้นมาก เหมือนตอนฝึกขี่จักรยานครั้งแรกที่ล้มสิบรอบแต่ก็ยังไปต่อ.

6. โง่ให้คำถามพาไปไกล

คนที่ยอมถามแม้กลัวดูไม่รู้ มักได้คำตอบที่คนเก่งเก็บไว้ในหัว และทำให้เขาเดินเร็วกว่าคนที่เงียบและเดาว่าตัวเองถูกตลอด.

7. โง่เพื่อเข้าใจจริง

หลายคนอ่านเร็ว ฟังเร็ว แต่ไม่เข้าใจเลย เพราะกลัวดูโง่
ในการถามย้อน แต่คนที่กล้าถามคือคนที่ได้เข้าใจแบบลึกสุด.

8. โง่เพื่อตัดอีโก้

ยอมรับว่าตัวเองไม่รู้บ้าง ทำให้ใจเบา มองโลก
ง่ายขึ้น ไม่ต้องแข่งกับใครทุกเรื่องให้เหนื่อยฟรี.

9. โง่เพื่อรับฟัง

เมื่อไม่รีบสรุปว่าตัวเองรู้หมดแล้ว เราจะฟังคนอื่น
มากขึ้น และได้เรียนรู้มุมใหม่ๆ ที่ไม่เคยมองเห็น.

10. โง่เพื่อไม่ตัดสินก่อนเวลา

หลายครั้งเราคิดไปเองเพราะมั่นใจว่าเข้าใจทุกอย่าง แต่การยอมเป็นใบ้ชั่วคราวช่วยให้มองเห็นเหตุผลอีกฝั่งแบบไม่เข้าข้างตัวเอง.

11. โง่เพื่อรักษาพลังงาน

ไม่ใช่ทุกเรื่องต้องแสดงความฉลาด บางเรื่องเดินหนี
คือฉลาดสุด เพราะเราเก็บพลังไว้ใช้กับสิ่งที่สำคัญจริงๆ.

12. โง่เพื่อให้คนอื่นได้แสดงฝีมือ

บางทีการถอยออกมาหนึ่งก้าว ให้คนอื่นได้ฉายแสงก่อน
เป็นวิธีสร้างทีมให้แข็งแรงและทำให้เราดูเป็นผู้นำโดยไม่ต้องพยายาม.

13. โง่เพื่อไม่เสียตัวตน

การไม่ตามกระแสทุกอย่าง ไม่เก่งในทุกวงสนทนา ไม่เสือกทุกเรื่องคือการปกป้องสติและความสุขของตัวเองอย่างมีชั้นเชิง.

14. โง่เพื่อมองเห็นความจริง

คนที่คิดว่าตัวเองรู้หมดแล้ว มักมองข้ามสัญญาณสำคัญ
แต่คนยอมรับว่าไม่รู้จะมองทุกอย่างแบบเปิดกว้างกว่า.

15. โง่เพื่อยืดหยุ่น

คนที่คิดว่าต้องถูกตลอดจะหักง่าย แต่คนที่ยอมงอ
ยอมเรียนรู้ใหม่ จะผ่านเรื่องยากได้แบบลื่นไหลกว่า.

16. โง่เพื่อไม่ต้องแบกมาก

ยิ่งรู้อะไรมาก บางทีก็ยิ่งเครียด การรู้แค่พอดี
ทำให้ใจสงบและอยู่กับปัจจุบันได้ง่ายขึ้น.

17. โง่เพื่อให้ชีวิตเบา

บางเรื่องถ้าคิดเยอะจะเหนื่อย สิ่งที่ดีที่สุดคือทำให้เต็มที่แล้วปล่อยบางอย่างให้เป็นไป ไม่ต้องเข้าใจทุกเหตุผลของโลก.

18. โง่เพื่อโตแบบเงียบๆ

เรายิ่งดูไม่รู้ คนยิ่งประมาทเรา และนั่นทำให้เรามีพื้นที่เติบโตแบบไม่มีใครจับตา พอถึงวันที่ถึงเวลาจริง ทุกคนจะทึ่งว่าเราไปไกลขึ้นขนาดไหน.

#ทฤษฎีลาโง่
#คิดแบบง่ายแต่ไปได้ไกล
#ปรัชญาชีวิตสไตล์เพื่อน
#อ่านแล้วโตขึ้น

แนะนำให้อ่านเล่มนี้ 
https://s.shopee.co.th/7plgz2Dgwt
https://s.lazada.co.th/s.Z0X9Qk?cc

กฎทองของชีวิตที่ไม่มีใครบอกคุณ



1. เลิกคาดหวังให้คนเข้าใจคุณ
ชีวิตจะเบาขึ้นทันทีเมื่อคุณยอมรับว่าไม่ใช่ทุกคน
ต้องเข้าใจ และคุณไม่จำเป็นต้องอธิบายตัวเองให้ทุกคนฟัง

2. รับผิดชอบชีวิตตัวเองให้มากที่สุด
ไม่มีใครพาคุณไกลได้เท่าความพยายามของ
คุณเองการเลือกวันนี้กำหนดเส้นทางวันพรุ่งนี้เสมอ

3. ใช้ความเงียบปกป้องพลังของตัวเอง
หลายครั้งการนิ่งคือคำตอบที่ดีที่สุด เพราะช่วยให้คุณ
เก็บแรงไว้ใช้กับสิ่งที่มีค่ากว่า

4. เริ่มก่อนแม้ยังไม่พร้อม
โอกาสมักตกเป็นของคนที่กล้าเริ่มต้น
เพียงก้าวเล็ก ๆวันนี้จะทำให้คุณไปไกลกว่าเดิมมาก

5. หยุดคิดมากเพื่อหยุดเหนื่อยเกินจำเป็น
ความฟุ้งซ่านทำให้ชีวิตหนักขึ้น ลองโฟกัสที
ละเรื่องคุณจะพบว่าหลายปัญหาไม่ได้ใหญ่เท่าที่คิด

6. เลือกคนให้ถูก ชีวิตจะดีขึ้นเร็วมาก
อยู่ใกล้คนพลังดี ชีวิตจะพุ่ง อยู่ใกล้คนพลังลบ
ชีวิตจะถอยนี่คือกฎที่แม่นยำที่สุดข้อหนึ่ง

7. ความสำเร็จต้องแลกเสมอ
ทุกคนที่ดูเหมือน “โชคดี” ล้วนผ่านความพยายาม
ที่คนอื่นไม่เห็น อย่าเทียบตัวเองกับผลลัพธ์ของใคร

8. ความกลัวคือสัญญาณของการเติบโต
ถ้ากล้าก้าวผ่านความกลัว คุณจะเข้าใกล้โอกาส
ที่ซ่อนอยู่เสมอ เพราะสิ่งยิ่งใหญ่ไม่มีวันอยู่ในพื้นที่สบาย

9. พูดน้อยลง แล้วให้ผลงานพูดแทน
การทำจริงสร้างพลังมากกว่าการอธิบาย
คนที่ลงมือเงียบ ๆ มักเป็นคนที่ไปได้ไกลที่สุด

10. คนอื่นไม่ได้คิดถึงคุณมากเท่าที่คิด
ทุกคนยุ่งกับชีวิตตัวเอง อย่าให้ความคิดของ
คนอื่นควบคุมชีวิตที่คุณต้องรับผิดชอบเอง

11. ความสัมพันธ์ดีต้อง “ใส่ใจ” ไม่ใช่แค่ “อยู่ด้วยกัน”
รายละเอียดเล็ก ๆ อย่างการฟัง การจำ หรือการใส่ใจ
ทำให้ความสัมพันธ์ดีขึ้นแบบจับต้องได้จริง

12. ความมั่นใจเกิดจากตัวคุณ ไม่ใช่คำชม
ยิ่งคุณทำได้จริง คุณจะมั่นใจจริง ๆ แบบที่ไม่มีคำไหน
มาให้หรือมาพรากไปได้

13. พักเมื่อเหนื่อย ไม่ใช่ถอยเมื่อกลัว
การพักช่วยให้สมองกลับมาคมชัด พลัง
กลับมาเต็มและช่วยให้เดินต่อได้ไกลขึ้นกว่าฝืน

14. หยุดอธิบายตัวเองให้คนที่ไม่ฟัง
เลือกใช้พลังกับคนที่เห็นคุณค่าของคุณ
ไม่ใช่คนที่ตัดสินคุณตั้งแต่ยังไม่รู้จักตัวตนจริง ๆ

15. เงินแก้ปัญหาได้หลายอย่าง แต่นิสัยแก้ไม่ได้
วินัย ความรับผิดชอบ และนิสัยดี ๆ คือฐานของชีวิต
มั่นคงที่แท้จริง ไม่ใช่ตัวเลขในบัญชี

16. เวลาจะตอบแทนคนที่ไม่หยุดพัฒนา
ไม่ต้องรีบ ไม่ต้องดัง แต่ขอให้สม่ำเสมอ
สุดท้ายความสำเร็จจะวิ่งเข้าหาเองโดยไม่ต้องไล่ตาม

17. ตัวตนวันนี้คือผลจากการเลือกของเมื่อวาน
การตัดสินใจเล็ก ๆ ทุกวันสะสมจนเปลี่ยนทิศชีวิตได้จริง
อย่ามองข้ามสิ่งเล็ก ๆ ที่ทำเป็นประจำ

18. ชีวิตเปลี่ยนทันทีเมื่อคุณหยุดรอ และเริ่มลงมือ
วันที่ลุกขึ้นทำด้วยตัวเองคือวันที่ชีวิตเริ่มเปลี่ยนแบบจริงจังที่สุด ไม่มีโชคไหนแรงเท่าความกล้าครั้งแรกของตัวเอง

#กฏทองของชีวิต

วันพุธที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568

รวม 7 ช่อง เปลี่ยน YouTubeเป็น “โรงเรียนสอนไอเดียหาเงิน”


.
คนไทยดู YouTube เฉลี่ยวันละ 2.5 ชั่วโมง แต่มีเพียง 3% เท่านั้นที่ใช้เวลาดูเนื้อหาเพื่อเรียนรู้การสร้างรายได้ ส่วนที่เหลือ 97% ยังคงใช้เป็นแหล่งความบันเทิงเท่านั้น 
ข้อมูลจาก YouTube Analytics เผยว่า คนส่วนใหญ่เลือกดูคลิปเพลง วิดีโอตลก หรือรีวิวสินค้า มากกว่าคลิปที่สอนทักษะการหาเงิน แม้ว่าคลิปการศึกษาจะมีอัตราการกลับมาดูซ้ำสูงกว่า 340% และมีเวลาการรับชมเฉลี่ยนานกว่าคลิปบันเทิงถึง 2 เท่า 
สถิติแสดงให้เห็นว่า ช่อง YouTube ที่สอนเกี่ยวกับการหาเงินมีอัตราการเติบโตของผู้ติดตาม 45% ต่อปี และมีมูลค่าโฆษณาสูงกว่าหมวดหมู่อื่น 8 เท่า นั่นแสดงว่าเนื้อหาเหล่านี้มีคุณภาพและมีความต้องการสูง แต่คนส่วนใหญ่ยังไม่รู้ว่าต้องดูช่องไหน 
วันนี้จะมาแนะนำ 7 ช่อง YouTube ที่สอนวิธีการหาเงินแบบเป็นขั้นตอน โดยแต่ละช่องมีจุดเด่นเฉพาะด้านที่ต่างกันออกไป พร้อมเทคนิคที่ผู้ชมนำไปปฏิบัติแล้วสร้างรายได้เพิ่มได้จริง 
.
1. ช่อง Mark Tilbury 
มีผู้ติดตาม 3.9 ล้านคน และยอดรับชมรวมกว่า 1.44 พันล้านครั้ง
เป็นศูนย์รวมความรู้ด้านการเงินส่วนตัวและการลงทุนระยะยาว
.
Mark เป็นนักธุรกิจอังกฤษที่มีมูลค่าทรัพย์สินประมาณ 250 ล้านบาท (8 ล้านดอลลาร์) ในปี 2025 
.
Mark เริ่มต้นจากการออกจากโรงเรียนตอนอายุ 16 ปี แล้วสร้างธุรกิจของเล่นควบคุมระยะไกลชื่อ Model World Ltd ในปี 1988 ปัจจุบันเขาดำเนินธุรกิจหลายแห่ง รวมถึง Century UK Ltd และ Mark Tilbury Coaching Ltd สร้างรายได้ประมาณ 2 ล้านบาทต่อสัปดาห์ (60,000 ดอลลาร์) จากแหล่งรายได้หลากหลาย 
.
จุดเด่นของช่องนี้คือการสอนแบบเป็นขั้นตอนตั้งแต่การเริ่มต้นธุรกิจ การลงทุนในตลาดหุ้น การจัดการการเงินส่วนตัวอย่างมีประสิทธิภาพ การสร้างกระแสรายได้เสริม รวมถึงการสร้าง mindset ที่เหมาะสมกับการสร้างความมั่งคั่ง ด้วยภาษาง่าย อารมณ์เป็นกันเอง เหมือนพ่อสอนลูก มีอารมณ์ขัน และแชร์ทั้งความสำเร็จและความผิดพลาดในอดีต วิดีโอเฉลี่ย 17 นาทีต่อคลิป 
.
2. ช่อง Jordan Bown
ของนักธุรกิจวัย 24 ปี จากรัฐยูทาห์ที่เริ่มทำธุรกิจตั้งแต่จบมัธยมศึกษา
.
แทนที่จะเลือกเส้นทางเรียนต่อ Jordan สร้างรายได้มากกว่า 7 หลักด้วยธุรกิจ dropshipping และ e-commerce โดยได้กำไรสุทธิเกือบ 10 ล้านบาทต่อเดือน (300,000 ดอลลาร์) 
Jordan รู้สึกไม่ถูกกับงานในระบบการศึกษา เขาจึงออกจากมหาวิทยาลัยและเริ่มทำงานบริการ ทำงานเคาะประตูขายของ แต่เขาต้องการมากกว่านั้น จนได้พบกับ dropshipping และการตลาดออนไลน์ 
จุดเด่นของช่องคือ การนวบรวมเทมเพลต Shopify, คู่มือ FAQ, เทมเพลตอีเมล และคู่มือ PDF อื่นๆ ในชุมชน Jordan's Library เขาสอน dropshipping แบบ step-by-step อย่างละเอียด การค้นหาผลิตภัณฑ์ที่ขายดี การตั้งค่าร้านค้า การทำโฆษณา และการขยายธุรกิจ เปิดเผยตัวเลขรายได้จริง และเน้นว่าคนธรรมดาก็เริ่มได้ไม่ต้องมีทุนเยอะ โดยได้รับการสนับสนุนจาก AutoDS เป็นพาร์ทเนอร์ 
.
3. ช่อง Chad Kimball
ผู้เชี่ยวชาญด้าน Local SEO และ Google Maps marketing
ที่มีประสบการณ์กว่า 20 ปี
.
Chad สร้างรายได้มากกว่า 900 ล้านบาท (30 ล้านดอลลาร์) ในช่วง 6 ปีที่ผ่านมาจากการจัดอันดับและให้เช่าสินทรัพย์ดิจิทัล
ธุรกิจหลักของ Chad คือการสร้างเว็บไซต์และ Google Business Profiles ให้ติดอันดับสูงใน Google Maps แล้วให้เช่ากับเจ้าของธุรกิจท้องถิ่นเป็นรายเดือน ปัจจุบันเขาดำเนินธุรกิจผ่าน Local AutoPilot ในชิคาโก มีนักเรียนกว่า 1,800 คน 
ช่องนี้เน้นการโฟกัสวิธีการทำเงินแบบ niche ที่คนอื่นไม่ค่อยสอน ภาษาเข้าใจง่าย กระชับ เน้น "ทำตามได้เลย"
.
4. ช่อง Sean Dollwet
ผู้เชี่ยวชาญด้าน Amazon Kindle Direct Publishing
ที่เริ่มทำธุรกิจตั้งแต่อายุ 21 ปี
.
ภายใน 5 ปี เขาเปลี่ยนจากมือใหม่ที่ไม่มีเงินเป็นนักธุรกิจที่สร้างรายได้มากกว่า 33 ล้านบาท (1 ล้านดอลลาร์) ตอนอายุ 26 ปี 
Sean ขายธุรกิจ KDP แรกในราคาประมาณ 26 ล้านบาท (800,000 ดอลลาร์) และในเดือนมกราคม ปีนี้ เขาสร้างบัญชี KDP ใหม่เพื่อพิสูจน์ว่าความสำเร็จครั้งแรกไม่ใช่แค่โชค ปัจจุบันเขาสร้างรายได้ประมาณ 190,000 บาทต่อเดือน (6,000 ดอลลาร์) จากการขายหนังสือออนไลน์ 
จุดเด่นของช่องคือการสอนกลยุทธ์ "Book Stacking" ซึ่งเป็นการสร้างหนังสือหลายเล่มในหัวข้อเดียวกัน สร้างแบรนด์ และสร้างผู้ติดตามที่จะซื้อหนังสือ โดยไม่ต้องเขียนเองด้วยการใช้ ghostwriter และนักออกแบบ สอนการค้นหา keyword ที่ขายดี การวิเคราะห์คู่แข่ง การสร้างหนังสือ eBooks, Paperbacks และ Audiobooks การทำ email marketing และการขยายไปสู่ตลาด audiobook เขาแสดงผลลัพธ์ตัวเองให้เห็นชัด มีเนื้อหาลึกถึงขั้นตอนเล็กๆ ที่คนอื่นข้าม และสร้าง community + support system ให้ผู้เรียนผ่านคอร์ส Royalty Hero 
.
5. ช่อง Wisdom Speaks
จากสหราชอาณาจักร มีผู้ติดตาม 323,000 คน และยอดรับชมรวม 11.9 ล้านครั้ง
.
เป็นช่องที่เน้นการสร้างแรงบันดาลใจและพัฒนา mindset ผ่านเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับการเงินส่วนบุคคลและการเป็นผู้ประกอบการ 
ช่องนี้มุ่งเป้าให้ผู้ชมบรรลุความเป็นอิสระทางการเงินและใช้ชีวิตตามความต้องการของตนเอง โดยสำรวจหัวข้อต่างๆ เช่น การหาเงินออนไลน์ การตลาดแบบ affiliate กระแสรายได้แบบ passive income และการหลุดพ้นจากแบบแผนการจ้างงานแบบดั้งเดิม 
จุดเด่นของช่องคือการนำเสนอเนื้อหา ด้วยภาษาที่สั้น กระชับ เน้น emotional impact และผสม spiritual/inspirational message ทำให้คนดูรู้สึก "มีกำลังใจ" และพร้อมที่จะเปลี่ยนแปลงชีวิต ให้คำแนะนำและกลยุทธ์สำหรับบุคคลที่ต้องการเติบโตทางการเงินและมีวิถีชีวิตที่สมบูรณ์มากขึ้น 
.
6. ช่อง Wholesale Ted
ของ Sarah Crisp ผู้ประกอบการจากนิวซีแลนด์
ที่เริ่มทำธุรกิจตั้งแต่อายุ 15 ปี ขณะทำงานเป็นแคชเชียร์ในซูเปอร์มาร์เก็ต
.
ปัจจุบันช่องนี้มีผู้ติดตามมากกว่า 1.3 ล้านคนบน YouTube และ Sarah มีมูลค่าทรัพย์สินหลายล้านดอลลาร์
Sarah เริ่มต้นด้วยการค้นพบ 'hack' ที่ช่วยให้เธอใช้ประโยชน์จากนโยบายเกมมือสองของ Gamestop เธอซื้อเกมจากต่างประเทศแล้วนำไปขายให้ Gamestop สร้างรายได้ 33,000 บาทในวันเดียว (1,000 ดอลลาร์) หลังจากนั้นเธอก็ขยายไปสู่ e-commerce และค้นพบ dropshipping และ print-on-demand 
ในปี 2015 Sarah ร่วมสร้างช่อง YouTube ชื่อ Wholesale Ted ที่กลายเป็นหนึ่งในช่อง e-commerce ที่ใหญ่ที่สุด เธอยังเป็น Shopify Education Partner Approved course และมีคอร์สเรียน The Ecomm Clubhouse ในราคา 2,200 บาทต่อเดือน (67 ดอลลาร์) เธอสร้างรายได้หลักจากรายได้โฆษณา YouTube และการเป็น Shopify partner ประมาณ 330,000 บาทต่อเดือน (10,000 ดอลลาร์) 
ช่องนี้มีจุดเด่นคือการใช้ตัวอย่างจริงจากร้านค้า ไม่ใช่แค่ทฤษฎี และมี honesty/reality check บอกทั้งด้านบวกและลบของธุรกิจ 
.
7. ช่อง Alex Hormozi 
นักธุรกิจที่สร้างมูลค่าทรัพย์สิน 3.3 พันล้านบาท (100 ล้านดอลลาร์) ก่อนอายุ 32 ปี 
.
เขาเริ่มต้นด้วยการนอนบนพื้นยิม แต่วันนี้ดำเนินธุรกิจที่มีมูลค่า 100 ล้านดอลลาร์ผ่าน Acquisition .com ที่สร้างรายได้ประมาณ 2.8 พันล้านบาทต่อปี (85 ล้านดอลลาร์) 
Alex เริ่มต้นจากการซื้อยิมเมื่ออายุ 20 กว่า และขยายเป็น 6 สาขาภายใน 3 ปี ต่อมาเขาขาย Gym Launch ในราคา 1.5 พันล้านบาท (46.2 ล้านดอลลาร์) ในปี 2021 ช่อง YouTube ของเขามีผู้ติดตามกว่า 2 ล้านคน และสร้างรายได้จากโฆษณาประมาณ 10 ล้านบาทต่อปี (300,000 ดอลลาร์) 
ปัจจุบัน Alex และภรรยา Leila ดำเนินธุรกิจ Acquisition .com ซึ่งลงทุนในบริษัทที่มีรายได้ 1-10 ล้านดอลลาร์ในส่วนของ EBITDA โดยเน้นบริษัทที่นำโดยผู้ก่อตั้งและใช้โมเดลการเติบโตที่พิสูจน์แล้ว กลยุทธ์การลงทุนในบริษัทที่ทำกำไรได้ส่งผลให้เขามีอัตรากำไร 80% ทั่วทั้งพอร์ตการลงทุน 
ช่องนี้มีจุดเด่นคือการใช้ data + case study จริง ไม่ขายฝัน พูดตรง หนักแน่น ไม่อ้อมค้อม และมีทั้ง short form (reels, shorts) และ long form (podcast, lecture) เนื้อหาเน้นการ scaling ธุรกิจ การสร้าง offers ที่ขายดี และการลงทุน 
.
นี่คือ 7 ช่อง YouTube ที่จะเปลี่ยนวิธีคิดของคุณเกี่ยวกับการสร้างรายได้ แต่ละช่องมีจุดเด่นเฉพาะด้านที่แตกต่างกัน ตั้งแต่การลงทุนระยะยาว การทำ e-commerce การ SEO ไปจนถึงการพัฒนา mindset หากคุณเลือกเรียนรู้อย่างจริงจัง ไม่ใช่แค่ดูเพื่อความบันเทิง โอกาสที่จะเปลี่ยนชีวิตทางการเงินก็อยู่เพียงแค่การคลิกเดียว 
.
.
เขียนและเรียบเรียงโดย 100WEALTH 
——— 
100WEALTH l ไปให้ถึง100ล้าน 
#Business #Money
#100WEALTH 
#ไปให้ถึง100ล้าน

แจกสูตร Prompt ใช้ Nano Banana Pro สร้างภาพโฆษณา ด้วยภาพสินค้าแค่รูปเดียว จากคู่มือ Google - MarketThink

แจกสูตร Prompt ใช้ Nano Banana Pro สร้างภาพโฆษณา ด้วยภาพสินค้าแค่รูปเดียว จากคู่มือ Google - MarketThink
- ล่าสุด Google เพิ่งปล่อย Nano Banana Pro ที่เป็นเครื่องมือ AI สำหรับสร้างรูปภาพเวอร์ชันใหม่ออกมา ทำให้คนทำงานในวงการกราฟิกและงานโฆษณาตื่นเต้นกันมาก ๆ 

เพราะ Nano Banana Pro สามารถใส่ข้อความภาษาไทยได้โดยที่ไม่เพี้ยน แถมประสิทธิภาพในด้านอื่น ๆ ก็ถูกอัปเกรดขึ้นจากเวอร์ชันเก่าพอสมควร

โดยภาพที่ Nano Banana Pro สร้างขึ้น จะอยู่ในจุดที่แทบจะใช้งานได้จริงเลย อย่าง Artwork ขายปลาเผาสวย ๆ ในบทความนี้ก็ได้จาก Nano Banana Pro เช่นกัน 

**ทั้งนี้ต้องหมายเหตุว่า ภาพโฆษณาที่ดี โดยเฉพาะภาพสินค้า ควรเป็นภาพที่เราถ่ายขึ้นด้วยตัวเอง เป็นภาพสินค้าจริง ไม่ควรใช้สร้างภาพที่สร้างขึ้นมาจาก AI ทั้งหมด เพราะอาจจะทำให้สินค้าของเรา ดูขาดความน่าเชื่อได้**

แล้วถ้าอยาก Prompt ให้ได้แบบนี้บน Nano Banana Pro บ้างต้องทำอย่างไร ? 

MarketThink สรุปแนวทางการ Prompt จากคู่มือ Google DeepMind ที่เหมาะสำหรับใช้กับ Nano Banana Pro หลังอัปเดตเอาไว้ให้แล้วในโพสต์นี้

- ไฮไลต์เด่น ๆ ของ Nano Banana Pro คือเราจะสามารถใส่ข้อความบนรูปภาพได้ โดยข้อความที่ออกมาแทบจะไม่เพี้ยนเลย และยังสามารถกำหนดอัตราส่วน และองค์ประกอบอื่น ๆ ของภาพได้มากขึ้น เมื่อเทียบกับเวอร์ชันก่อน

ดังนั้น แนวทางการ Prompt เลยจะแบ่งออกเป็น 2 ส่วน ได้แก่

1. Prompt ที่บอกไอเดียงาน Artwork ของเรา 
2. Prompt ที่บอกองค์ประกอบรูปภาพงาน Artwork ของเรา 

- สำหรับ Prompt ที่บอกไอเดียในงาน Artwork ของเรา จะสามารถกำหนดได้หลัก ๆ 3 ข้อตามความสามารถของ Nano Banana Pro ดังนี้
 
1. การใส่ข้อความบนรูป

ใน Prompt ควรระบุชัดเจนว่า ข้อความที่เราใส่ควรอยู่ตรงไหนของรูปภาพและตัวหนังสือควรเป็นแบบใด เช่น

ส่วนพาดหัวใส่ข้อความว่า “ปลาทับทิมเผาอย่างดี”
ส่วนกลางของรูปภาพใส่ข้อความว่า “ราคา 299 บาท”
และส่วนล่างของรูปภาพใส่ข้อความว่า “ฟรีน้ำจิ้มและชุดผัก” 

ทั้งหมดใช้ฟอนต์ที่ดูสนุก, อ่านง่าย, โทนสีของรูปภาพเป็น สีขาว-แดงสด และเพิ่มขอบตัวหนารอบ ๆ ตัวหนังสือ 

2. การใช้หลายรูปภาพมาผสมกัน

ถ้าเราต้องการใช้หลายรูปภาพมาผสมกันใน Prompt เราต้องบอก “บทบาท” ของแต่ละรูปให้ชัดเจนที่สุด  

ยกตัวอย่างเช่น ถ้าเรามีภาพปลาเผาธรรมดา และมี Artwork ต้นฉบับ ที่เราต้องการให้งานของเราออกมาเป็นแบบนั้น 

วิธี Prompt คือ ให้กำหนดภาพปลาเผาเป็น “ภาพ A” และงาน Artwork ที่เราต้องการใช้เป็นต้นฉบับเป็น “ภาพ B” 

จากนั้นให้ Prompt ว่า ใช้สไตล์ของภาพ B และใช้ตัวสินค้าของภาพ A เป็นหลัก
เพื่อกำหนดบทบาทให้ชัดไปเลยว่ารูปไหนทำหน้าที่อะไร ? 

3. สำหรับการแก้ไขภาพที่มีอยู่

ในส่วนนี้ให้ระบุไปเลยว่า เราต้องการแก้รูปภาพในส่วนไหน อย่างตรงไปตรงมาและเจาะจงไปเลย เช่น เพิ่มควัน “บริเวณปลาเผา” ให้ดูน่ากิน 

- สำหรับ Prompt ที่กำหนดองค์ประกอบของงาน Artwork

เราจะสามารถกำหนดได้หลัก ๆ จากความสามารถของ Nano Banana Pro ได้ดังนี้ 

1. จุดประสงค์ของงาน ให้เราบอกให้ชัดเจนว่า เราต้องการเอาภาพไปทำอะไร

เพราะ Nano Banana Pro จะสามารถสร้างภาพออกมาได้หลายแบบ ไม่ว่าจะเป็น อินโฟกราฟิก, งาน Artwork และ Storyboard ดังนั้นให้ระบุให้ชัดไปเลยตั้งแต่ตอนนี้ 

เช่นในเคสนี้ MarketThink พิมพ์ Prompt ว่าจะทำ Artwork โปรโมตสินค้าปลาเผาผ่านโซเชียลมีเดีย ชื่อแบรนด์ว่า “เจ๊ดำ”

2. มุมมองและการจัดองค์ประกอบภาพ

ให้ลองนึกภาพว่า ภาพของเราเป็นภาพถ่าย แล้วเราอยากได้ภาพถ่ายจากระยะไหน ก็ให้บอกให้ชัดเจนไปเลย

เช่น ภาพถ่ายระยะใกล้ เน้นโฟกัสที่ตัวปลาเผาที่เป็นสินค้าหลัก

3. การกระทำ

บอกใช้ชัดเจนว่าเกิดอะไรขึ้นในรูปภาพ เช่น คนกำลังวิ่ง, คนชงกาแฟ ให้บอกให้ละเอียด 

อย่างในเคสนี้ ถ้าเราคิดว่าภาพดูโล่ง ๆ เราอาจจะเพิ่มการกระทำว่า “มีมือคนกำลังใช้ส้อมจิ้มที่ตัวปลาเผา” ให้ภาพออกมาสมบูรณ์ได้มากขึ้น 

4. สไตล์

ตรงนี้จะหมายถึงสไตล์ของรูปภาพว่า เราต้องการให้ภาพออกมาเป็นแบบไหน เช่น ให้ทำออกมาเป็น ภาพการ์ตูน, ทำเป็นภาพสไตล์ Pop Art, ทำเป็นภาพถ่ายฟิล์ม หรือทำเป็นภาพสมจริง 
 
ซึ่งในเคสนี้ ทดลองใช้ข้อความว่า เลือกใช้สีเหลือง-แดง ตามสไตล์โฆษณาอาหารให้ดูน่ากินเป็นพื้นหลัง พร้อมทำเวกเตอร์ที่สื่อถึงความตื่นเต้นรอบ ๆ ปลาเผา 

5. สถานที่

ให้บอกสถานที่ว่าเราต้องการให้สินค้าของเราอยู่ในสถานที่ตรงไหน อย่างในเคสนี้ ใช้ Prompt ว่า ปลาเผาถูกวางอยู่บนถาดไม้สาน ที่อยู่บนผ้าลายสกอตสีขาว-แดง มาพร้อมชุดผักและน้ำจิ้มดูน่ากิน 

6. อัตราส่วนภาพ

กำหนดอัตราส่วนของรูปภาพตามแพลตฟอร์มที่เราต้องการนำไปใช้ เช่น ภาพขนาด 1:1 (เพราะต้องการเอาไปใช้กับโพสต์บน Facebook)

7. สีและแสง

ข้อนี้อาจจะต้องใช้ความรู้เฉพาะทางเกี่ยวกับ เรื่ององค์ประกอบของสีมากหน่อย 

- แสง เราสามารถกำหนดแสงในรูปภาพว่า ต้องการแสงแบบไหน
เช่น แสงธรรมชาติ, แสงสตูดิโอ แถมยังกำหนดว่าจะให้แสงมาในทิศทางไหนได้ด้วย 

- สี เราสามารถกำหนดโทนสีที่เราต้องการในรูปภาพได้
เช่น ถ้าอยากให้ภาพดู “สดใส” หรือ “หมองหม่น” ไปจนถึงโทนพาสเทล ก็สามารถใส่รายละเอียดไปใน Prompt ได้เลย

ตามตัวอย่าง จะใช้ Prompt ว่า “แสงไฟสตูดิโอแบบ High Key ส่องจากด้านข้าง เน้นรายละเอียดของตัวสินค้าให้โดดเด่น ส่วนโทนสีเน้นสดใส มีชีวิตชีวา”

อ่านมาถึงตรงนี้ สำหรับคนที่อยากเอาแนวทางการ Prompt ตรงนี้ไปใช้ เพื่อนำไปสร้างภาพโฆษณาของตัวเอง ก็สามารถคัดลอกข้อความนี้ แล้วเอาไปเปลี่ยนรายละเอียดต่าง ๆ ในช่อง [ ] ตามที่ต้องการได้เลย 

1. จุดประสงค์ของงาน : [ทำ Artwork โปรโมตสินค้าปลาเผาผ่านโซเชียลมีเดียชื่อแบรนด์ว่า “เจ๊ดำ”]

2. มุมมองและการจัดองค์ประกอบภาพ : [ภาพถ่ายระยะใกล้ เน้นโฟกัสที่ตัวปลาเผาที่เป็นสินค้าหลัก]

3. สถานที่ : [ปลาเผาถูกวางอยู่บนถาดไม้สาน ที่อยู่บนผ้าลายสกอตสีขาว-แดง มาพร้อมชุดผักและน้ำจิ้มดูน่ากิน]

4. อัตราส่วนภาพ : [ภาพขนาด 1:1]

5. สีและแสง : [แสงไฟสตูดิโอแบบ High Key ส่องจากด้านข้าง เน้นรายละเอียดของตัวสินค้าให้โดดเด่น ส่วนโทนสีเน้นสดใส มีชีวิตชีวา]

6. การใส่ข้อความบนรูป :

[ส่วนพาดหัวใส่ข้อความว่า “ปลาทับทิมเผาอย่างดี”, ส่วนกลางของรูปภาพ
ใส่ข้อความว่า “ราคา 299 บาท” และส่วนล่างของรูปภาพใส่ข้อความว่า “ฟรีน้ำจิ้มและชุดผัก”

ทั้งหมดใช้ฟอนต์ที่ดูสนุก, อ่านง่าย ขอสีขาว-แดงสด และเพิ่มขอบตัวหนารอบ ๆ ตัวหนังสือ]

7. สไตล์ : [เลือกใช้สีเหลือง-แดง ตามสไตล์โฆษณาอาหารให้ดูน่ากินเป็นพื้นหลัง พร้อมทำเวกเตอร์ที่สื่อถึงความตื่นเต้นรอบ ๆ ปลาเผา]

8. การแก้ไขภาพที่มีอยู่ : [เพิ่มควัน “บริเวณปลาเผา” ให้ดูน่ากิน]

และถ้าเรา Prompt ตามนี้แล้วยังไม่ถูกใจ ก็สามารถเอาภาพที่ได้ไปแต่งเพิ่มผ่านโปรแกรมอื่น ๆ เพื่อให้ได้ภาพที่สมบูรณ์ที่สุดได้..

#Gemini
#แจกPrompt
#Google

วันอังคารที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568

4 ขั้นตอน Manifest ให้ได้ผลจริง



บางที…
ชีวิตเราไม่ได้ติดอยู่ตรงที่ “ไม่มีโอกาส”
แต่ติดอยู่ตรงที่
เราไม่เคยเชื่อจริง ๆ ว่า
โอกาสมันเป็นของเรา

และนั่นคือจุดเริ่มต้นของการ Manifest ที่ได้ผลจริง
ไม่ใช่การฝัน
ไม่ใช่การบอกตัวเองแบบลอย ๆ
แต่คือการตั้งพลังงาน
ให้ตรงกับชีวิตที่อยากมี
ตั้งแต่ด้านในที่สุดของหัวใจ

เพราะชีวิต…
มันจะเคลื่อนตามพลังงานที่เราเชื่อเสมอ

1. เชื่อ : จุดติดไฟให้ความเป็นไปได้เกิดขึ้นจริง

ทุกการเปลี่ยนแปลงเริ่มจากความเชื่อ
ไม่ใช่ความหวัง
ไม่ใช่ความฝัน
แต่คือความเชื่อแบบลึก ๆ ที่บอกกับตัวเองว่า
“เรื่องนี้เป็นของเรา”

ความเชื่อคือสนามพลังงานตั้งต้น
ถ้าในใจยังลังเล
โลกภายนอกก็จะส่งสัญญาณที่สั่นคลอนกลับมา
แต่เมื่อเราเชื่อจริง
ทุกโอกาสจะค่อย ๆ เดินเข้ามา
เหมือนรู้หน้าที่ของมันดีอยู่แล้ว

2. จินตนาการ : เห็นมันก่อนที่มันจะเกิดขึ้นจริง

ลองหลับตา
แล้วเห็นตัวเองในชีวิตที่สมหวังที่สุด
ไม่ใช่ภาพลอย ๆ
แต่เป็นภาพที่ “รู้สึกได้จริง”
เหมือนเหตุการณ์นั้นกำลังเกิดขึ้นตรงหน้า

การจินตนาการคือการจัดคลื่นพลังงานให้ตรงกับสิ่งที่อยากได้
สมองจะไม่แยกระหว่างภาพในหัวกับความจริง
และเมื่ออารมณ์ของเราไปอยู่ในเวอร์ชันที่ “ได้รับแล้ว”
โลกภายนอกก็จะค่อย ๆ ขยับตัวเอง
ให้ตรงกับภาพนั้นอย่างน่าอัศจรรย์

3. ลงมือทำ : ส่งสัญญาณให้จักรวาลรู้ว่าเราเอาจริง

Manifest ไม่ได้หมายถึงการนั่งรอ
แต่คือการลงมืออย่างสอดคล้อง
กับสิ่งที่เราขอ

ไม่ต้องเริ่มใหญ่
ไม่ต้องพยายามทำทุกอย่างในวันเดียว
เพียงแค่ขยับทีละนิด
เปลี่ยนทีละอย่าง
ลบสิ่งที่ไม่ใช่
ทำสิ่งที่ใช่
ทุกการขยับคือการประกาศต่อจักรวาลว่า
“เรากำลังไปหาอนาคตที่ดีกว่านี้จริง ๆ”

4. ได้รับ : เปิดประตูให้สิ่งดี ๆ เข้ามาแบบไม่ต้องเขิน

หลายคน Manifest เกือบสำเร็จ
แต่พอสิ่งดี ๆ มาถึง
กลับไม่กล้ารับ
เพราะคิดว่าตัวเองยังไม่คู่ควร
หรือกลัวว่าจะเสียมันไป

แต่การได้รับคือบทสุดท้ายของ Manifest
คือการเปิดใจ
ยอมให้ความสุขเข้ามา
ยอมให้ความสำเร็จเกิดขึ้น
ยอมให้ชีวิตดีขึ้น
โดยไม่ผลักมันออกไปเองด้วยความกลัว

เมื่อเรา “รับได้” จริง ๆ
พลังงานของเราจะสอดคล้องกับสิ่งที่ต้องการอย่างสมบูรณ์
และนั่นคือช่วงที่ปาฏิหาริย์เริ่มชัดที่สุด

Manifest ไม่ใช่เรื่องลึกลับ
ไม่ใช่เรื่องเหนือธรรมชาติ
มันคือศิลปะของการจัดพลังงาน
ผ่านการเชื่อ
จินตนาการ
ลงมือทำ
และเปิดใจรับ

ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นได้
เมื่อเรากล้าซื่อสัตย์กับหัวใจตัวเอง
และกล้าส่งพลังงานในแบบที่ “ชีวิตที่เราต้องการ” ใช้จริง

ชีวิตจะค่อย ๆ ถักทอสิ่งดี ๆ เข้ามา
ในจังหวะที่เหมาะสมที่สุดเสมอ

และจำไว้
บางครั้งปาฏิหาริย์…
ก็เกิดขึ้นในวันที่เรา “ไม่ยอมยกเลิกความหวังของตัวเอง”

– “พลังงานของเรา คือบทสนทนาที่จักรวาลฟังเสมอ”

วันอาทิตย์ที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568

คนค่าตัวแพง

คนค่าตัวแพงคิดแบบนี้
1. รู้คุณค่าตัวเอง
เขาเชื่อว่าความสามารถของตัวเองมีราคา เพราะผ่านการล้มเหลวและการฝึกมานับไม่ถ้วน จึงตั้งราคาที่คู่ควรแบบไม่ต้องอายใคร

2. ไม่กลัวโดนปฏิเสธ
เขาเข้าใจว่าทุกงานไม่จำเป็นต้องใช่ และลูกค้าที่ไม่เห็นค่าก็ไม่จำเป็นต้องรั้งไว้ทำให้เขาเจอคนที่พร้อมจ่ายเพื่อคุณภาพจริง ๆ

3. งานต้องเลือกได้
เขาไม่รับทุกอย่างเพื่อเอาปริมาณ แต่เลือกงานที่เหมาะ
กับฝีมือและจริตตัวเอง เพื่อส่งงานที่ดีที่สุดออกไปทุกครั้ง

4. พูดความจริงเสมอ
เขากล้าบอกตรง ๆ ว่าอะไรดีที่สุดให้ลูกค้า แม้ว่าจะไม่
ถูกใจในตอนแรก แต่มันสร้างความน่าเชื่อถือในระยะยาว

5. ลงทุนกับตัวเองตลอดเวลา
เขายอมจ่ายเพื่อเรียนรู้ ไม่หยุดอยู่กับที่ เพราะรู้ว่า
ค่าตัวจะขึ้นได้ ก็ต่อเมื่อของในตัวเขา “ดีขึ้นกว่าเมื่อวาน”

6. ทำละเอียดมากกว่าทำเร็ว
เขาไม่เร่งงานจนพัง แต่ค่อย ๆ เกลาให้คม
จนลูกค้ารู้สึกว่า “คุ้มกับทุกบาทที่จ่าย”

7. ไม่แข่งราคา แข่งคุณภาพ
เขาเชื่อว่าของดีไม่ต้องลดราคา คนที่รู้เห็น
ค่าจะเลือกเอง และลูกค้ากลุ่มนี้คือฐานที่ยืนยาวที่สุด

8. ตัวเขาคือแบรนด์
เขาใส่ใจภาพลักษณ์ วิธีพูด วิธีคิด
เพราะรู้ว่าแรกพบสำคัญไม่แพ้งานที่ทำออกมา

9. ปฏิเสธอย่างนุ่มนวล
เขากล้าบอกว่า “ไม่สะดวก” กับงานที่ไม่คุ้มค่า
เพราะรู้ว่าพื้นที่ว่างในตารางเขามีค่ามากกว่าเงินระยะสั้น

10. มีวินัยโหดกับตัวเอง
เขารู้ว่าค่าตัวแพงต้องมาพร้อมความตรงเวลา
และความเนี๊ยบ ทำให้ลูกค้าเชื่อถือแบบไม่ต้องพูดเยอะ

11. ลงมือก่อน ไม่รอแรงบันดาลใจ
เขารู้ว่าคนที่เริ่มก่อนคือคนที่ชนะ เพราะความสำเร็จ
ไม่รอให้ใครพร้อมก่อนถึงจะมา

12. ให้ค่ากับเวลาเหมือนทองคำ
เขาไม่ยอมให้ใครใช้เวลาของเขาฟรี ๆ เพราะเข้าใจ
ว่าเวลาไม่เคยเกิดซ้ำ และคืองานของเขาที่แลกได้มากที่สุด

13. คิดระยะยาวมากกว่าวันนี้
เขาเลือกงานที่ต่อยอดอนาคต มากกว่างานที่ได้เงิน
เร็ว เพราะรู้ว่าการเติบโตต้องใช้มุมมองไกล

14. ไม่กลัวถูกมองไม่ดี
เขาไม่เสียเวลาพิสูจน์ตัวเองกับทุกคน แต่พิสูจน์
ผ่านคุณภาพงาน ที่แม้คนไม่ชอบก็ยังต้องยอมรับ

15. พักเป็น ไม่ฝืนจนพัง
เขารู้ว่าร่างกายและสมองคือทรัพย์สิน หากหมดไฟ 
งานจะตกทันที จึงพักอย่างมีคุณค่าเพื่อกลับมาคมยิ่งกว่าเดิม

16. ให้ผลงานพูดแทน
เขาไม่พูดโอ้อวด แต่ปล่อยให้คุณภาพพาให้ลูกค้า
ตามหาด้วยตัวเอง ซึ่งทรงพลังยิ่งกว่าการโปรโมทใด ๆ

17. รักษาคำพูดเสมอ
เขาทำตามที่ตกลงไว้ทุกครั้ง เพราะรู้ว่า
“ความน่าเชื่อถือ” คือสิ่งที่ทำให้ค่าตัวขึ้นเร็วที่สุด

18. เล่นเกมยาวเสมอ
เขาไม่เร่งรวย ไม่รีบดัง แต่สร้างชื่อแบบมั่นคง
เหมือนต้นไม้ใหญ่ที่โตช้าแต่ยืนยาวไม่มีวันล้มง่าย ๆ

แนะนำอ่านเล่มนี้
https://s.shopee.co.th/4LBlOjngrB
https://s.lazada.co.th/s.Z00TLv?cc

#คนค่าตัวแพงคิดแบบนี้
#คิดดี

ทฤษฎีคือเปลือกนอกปฏิบัติคือแก่นแท้


1. เริ่มก่อน
เขาค้นพบว่าไม่ต้องรู้ครบทุกอย่างถึงจะเริ่มได้ เพราะวันที่เขากล้าก้าวแรก แม้จะยังไม่พร้อม โลกก็เริ่มเปิดประตูให้เขาเดินต่อแบบที่ทฤษฎีเล่มไหนก็ให้ไม่ได้

2. ทำให้เห็น
เขารู้ว่าการพูดสวยแค่ไหนก็ไม่เท่าผลลัพธ์ที่จับต้องได้ และทุกครั้งที่เขาลงมือจริง คนรอบตัวก็เชื่อใจมากขึ้นโดยไม่ต้องใช้คำอธิบายใด ๆ

3. ลงสนามจริง
เขาเข้าใจว่าทฤษฎีทำให้คิดได้ แต่สนามจริงทำให้เขาเก่งขึ้น เพราะทุกครั้งที่ล้ม เขาได้บทเรียนที่หนังสือเล่มไหนก็ไม่เคยบอก

4. ลองก่อนรู้
เขาเคยคิดว่ารอให้พร้อมแล้วค่อยทำ แต่รอเท่าไรก็ไม่พร้อมสักที จนวันที่ลองไปก่อน แล้วค่อยเรียนรู้จากผลลัพธ์จริง เขาถึงรู้ว่าความกล้าสำคัญกว่าความรู้

5. ฝึกจนคล่อง
เขาไม่ใช่คนเก่งแต่กำเนิด แต่เขาเป็นคนที่ไม่หยุดฝึก และทุกครั้งที่เขาทำซ้ำ ๆ เขารู้สึกว่าตัวเองมั่นใจขึ้นทีละนิดจนแซงคนที่รู้เยอะแต่ไม่เคยเริ่ม

6. กล้าทำผิด
เขาเลิกกลัวความผิดพลาด เพราะทุกครั้งที่ผิด เขาได้สกิลใหม่เพิ่มขึ้นมาเสมอ และเขารู้ว่าคนที่กล้าพลาดมักเติบโตเร็วกว่าคนที่กลัวพลาด

7. ใช้มือทำ
เขารู้ว่าความรู้จะไม่มีค่าเลย ถ้าไม่ถูกลงมือทำจริง ๆ และวันที่เขาได้จับงานด้วยตัวเอง เขาเห็นความจริงชัดขึ้นกว่าทฤษฎีทุกบท

8. ลุยก่อนคิดมาก
เขาเลิกวางแผนจนเกินพอดี เพราะทุกแผนต้องลองจริงถึงจะรู้ว่าสิ่งไหนใช้ได้ และสิ่งไหนต้องทิ้ง เขาจึงเดินหน้าเร็วกว่าใคร

9. เรียนจากของจริง
เขาพบว่าประสบการณ์จริงจำได้นานกว่าการอ่านสิบรอบ และเหตุการณ์ที่ทำเขาเจ็บ มักสอนเขาได้ลึกกว่าคำแนะนำจากใครทั้งนั้น

10. ลงมือทุกวัน
เขาทำวันละนิดจนกลายเป็นผลลัพธ์ใหญ่ เพราะเขาเชื่อว่าสิ่งที่ทำซ้ำทุกวันคือสิ่งที่กำหนดอนาคต มากกว่าสิ่งที่รู้แล้วไม่ได้ใช้

11. ทำให้คุ้นมือ
เขารู้ว่าสิ่งที่ยาก จะง่ายขึ้นเสมอเมื่อทำบ่อยพอ และสิ่งที่น่ากลัว จะกลายเป็นเรื่องปกติเมื่อได้เผชิญมันจริง ๆ

12. พัฒนาจากการทำ
เขาเลิกถามว่าต้องเรียนอะไรเพิ่ม แต่หันมาดูว่าต้องทำอะไรเพิ่มแทน และเขาพบว่าการพัฒนาเร็วที่สุดคือการปรับตัวระหว่างที่ลงมือทำ

13. ให้ผลลัพธ์พูด
เขาไม่ต้องอธิบายตัวเองมากมาย เพราะผลงานที่เขาทำไว้อย่างหนักแน่น มักพูดแทนเขาได้ดังกว่าคำพูดทุกคำที่เคยพูดออกไป

14. ไม่รอให้พร้อม
เขาเริ่มในวันที่ยังไม่มั่นใจ และยิ่งทำก็ยิ่งมั่นใจมากขึ้นเรื่อย ๆ จนเขารู้ว่าความพร้อมเกิดหลังการเริ่ม ไม่ใช่เกิดก่อน

15. สู้ด้วยการทำ
เขาเคยหมดไฟบ่อยครั้ง แต่ทุกครั้งที่รู้สึกแย่ เขาผลักตัวเองให้ลงมือเล็ก ๆ แม้จะฝืนก็ตาม และนั่นทำให้เขากลับมาได้เร็วขึ้นเสมอ

16. ทำให้ชนะใจตัวเอง
เขารู้ว่าคนที่น่าชนะที่สุดไม่ใช่คนอื่น แต่คือตัวเองในเมื่อวาน และทุกครั้งที่เขาทำแม้ไม่อยากทำ เขาก็ชนะใจตัวเองขึ้นอีกนิด

17. ทำมากกว่าที่รู้
เขาเลิกหมกตัวอยู่ในทฤษฎี และออกมาลองจริงจนได้ผลลัพธ์ที่จับต้องได้ และเขาเพิ่งรู้ว่าการทำหนึ่งครั้งมีค่ามากกว่าการคิดหนึ่งร้อยครั้ง

18. ทำให้ชีวิตเปลี่ยน
เขากลายเป็นคนใหม่ได้ไม่ใช่เพราะอ่านเยอะ แต่เพราะลงมือทำจนเปลี่ยนความคิด ความนิสัย และความเชื่อของตัวเองที
ละจุด จนชีวิตเขาไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป

แนะนำให้อ่านเล่มนี้ 
https://s.shopee.co.th/20np5XJKuE
https://s.lazada.co.th/s.Z0adME?cc

#ทฤษฎีคือเปลือกนอก
#ปฏิบัติจริง

30 Prompts

💰 [แจกสูตร] 30 Prompts Copywriting ระดับเทพ! ปั้นคำขายให้ Conversion พุ่ง!
คำขายที่ดี ไม่ได้มาจากการเดาสุ่ม แต่มาจากโครงสร้างที่ผ่านการพิสูจน์แล้ว! และตอนนี้ AI ก็เข้ามาช่วยให้เราสร้างโครงสร้างเหล่านั้นได้ง่ายกว่าเดิมเป็นร้อยเท่า!
แอดมินรวม 30 Prompts ที่โคตรเจาะลึกสำหรับการเขียนคำขายใน 3 ส่วนสำคัญที่สุดของการตลาดออนไลน์มาให้แล้วครับ:

✍️ เขียนคำโปรยสินค้า (10 Prompts): เน้นการแก้ปัญหา (Pain Point), ใช้หลักการ FOMO, หรือเล่าเรื่องแบบ Storytelling เพื่อให้สินค้าเชื่อมโยงกับผู้บริโภค

📄 เขียน Landing Page (10 Prompts): สร้างโครงสร้างตามสูตร AIDA, เขียน Headline ดึงดูด, และสร้าง Call-to-Action ที่ทรงพลังเพื่อปิดการขาย

📣 เขียนสโลแกน (10 Prompts): สร้างสโลแกนที่กระชับ, จดจำง่าย, และสื่อถึง Core Value หรือคุณค่าหลักของแบรนด์

เคล็ดลับจากแอดมิน: ไม่ต้องเป็น Copywriter มืออาชีพ แค่ใช้ Prompts เหล่านี้เป็น "แม่แบบ" ในการสั่ง AI ก็สามารถสร้างข้อความขายที่ทรงพลังได้แล้วครับ!

✅ #เซฟให้ครบ! แล้วบอกแอดมินหน่อยครับว่า Prompt ในโซนไหนที่คุณคิดว่ายากที่สุดในการเขียน?

🌍 แจก 5 Prompt AI! 'วิเคราะห์ข่าวเศรษฐกิจ' และ 'ตลาดโลก' เพื่อเทรด! 📰
นักเทรดมืออาชีพไม่พลาดข่าวใหญ่! AI สามารถวิเคราะห์ผลกระทบของ ปฏิทินเศรษฐกิจ และ Sentiment ของตลาด ได้รวดเร็วกว่ามนุษย์มาก ลองใช้ 5 Prompt นี้เพื่อนำหน้าตลาดในทุกการประกาศข่าวสำคัญ:

"วิเคราะห์ผลกระทบของ 'การปรับขึ้น/ลด อัตราดอกเบี้ย' โดย [ชื่อธนาคารกลาง เช่น Fed, ECB] ต่อราคา [ชื่อสินทรัพย์ เช่น คู่เงิน EURUSD/ทองคำ] ในระยะ 24 ชั่วโมง และในระยะ 1 เดือนข้างหน้า พร้อมเสนอ 'กลยุทธ์การเทรด' ที่ควรใช้" (เน้นนโยบายการเงิน)

"ให้ AI สรุป 'รายงานเศรษฐกิจที่สำคัญ' ในสัปดาห์หน้าจากปฏิทินเศรษฐกิจ (เช่น ตัวเลข NFP/CPI/GDP) พร้อมจัดอันดับ 'ระดับผลกระทบ' ต่อ [ชื่อสินทรัพย์] และแนะนำช่วงเวลาที่ควรหลีกเลี่ยงหรือเข้าเทรด" (เน้นปฏิทินเศรษฐกิจ)

"วิเคราะห์ 'สภาวะอารมณ์ตลาด' (Sentiment Analysis) ของ [ชื่อสินทรัพย์] จากข่าวเศรษฐกิจล่าสุดและบทวิเคราะห์ในโซเชียลมีเดีย พร้อมสรุปว่านักลงทุนส่วนใหญ่มีแนวโน้ม 'ซื้อ' หรือ 'ขาย' และข้อสรุปว่าเราควรทำตามหรือไม่" (เน้นอารมณ์ตลาด)

"เปรียบเทียบความสัมพันธ์ (Correlation) ในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา ระหว่าง [สินทรัพย์ A เช่น US Dollar Index] และ [สินทรัพย์ B เช่น ทองคำ] พร้อมอธิบายเหตุผลทางเศรษฐศาสตร์มหภาค และวิธีใช้ความสัมพันธ์นี้ในการหาจุดเข้าเทรด" (เน้นความสัมพันธ์ของสินทรัพย์)

"ให้ AI สวมบทบาทเป็น 'นักยุทธศาสตร์การเทรด' เพื่อประเมินความเสี่ยงจาก 'อัตราแลกเปลี่ยน' สำหรับการลงทุนในต่างประเทศ พร้อมเสนอวิธีการป้องกันความเสี่ยง (Hedging) ง่ายๆ สำหรับมือใหม่" (เน้นความเสี่ยงระหว่างประเทศ)

📈 AI ช่วยทำนายได้! แต่การเทรดด้วยความมั่นใจคือสิ่งที่คุณต้องสร้าง!

การตัดสินใจเทรดในช่วงที่มีข่าวผันผวนต้องอาศัยการวางแผนและทักษะ ถ้าคุณพร้อมที่จะ เรียนรู้วิธีเทรด จากผู้เชี่ยวชาญ, ฝึกฝนการตัดสินใจ ในตลาดจริงแบบไร้ความเสี่ยงผ่าน บัญชีทดลอง, และต้องการวิดีโอสั้นๆ ที่เข้าใจง่าย...

ใช้ AI วิเคราะห์ แล้วมาเสริมความมั่นใจให้แกร่งที่นี่: https://shorturl.asia/NlVLP (เริ่มเปลี่ยนข้อมูลเป็นการทำกำไรได้เลย!)

ยุคที่ 3 ของ E-Commerce กำลังมา เลิกหาปลา แล้วเลี้ยงปลาเองด่วน

1. สถานการณ์ปัจจุบันของ Flash Express ไม่ได้แย่หรือดีจนเกินไป ยังคงมีความหวังในการดำเนินธุรกิจอยู่นะคะ แต่สิ่งที่บริษัทกำลังเผชิ...