1. ผู้ประกอบการไทยจำนวนมากกำลังเผชิญกับภาวะ กลืนไม่เข้าคายไม่ออก เพราะแพลตฟอร์มแอปจีนเป็นเจ้าของกติกา ทำให้การขายออนไลน์ที่เคยง่ายและสะดวกนั้นถูกบีบด้วยกฎเกณฑ์ใหม่ๆ มีตัวอย่างการขายที่ได้ยอด 8 ล้านกว่าบาท แต่ต้องโดนหักค่าธรรมเนียมสูงถึง 2 ล้านบาท สุดท้ายแล้ว กำไรที่เข้ากระเป๋าเหลือไม่ถึง 10,000 บาท แม้จะขายได้หลักแสน ทำให้เราต้องถามตัวเองว่า เราเป็นเจ้าของธุรกิจจริงๆ หรือเป็นแค่ลูกจ้างของแอปกันแน่
2. แอปจีนใช้คนไทยเป็น หมาก หรือเครื่องมือในการหาเงิน และดูดเงินออกไปจากประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง การหักค่าธรรมเนียมซ้ำๆ นี้ทำให้ผู้ประกอบการไทยรู้สึกว่า เลือดไหลซิบๆ หากไม่ปรับตัวตามสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป เราอาจจะกลายเป็นลูกจ้างของแอปจีนทั้งประเทศในที่สุด เกมที่เรากำลังเผชิญอยู่นี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่เป็นสิ่งที่เคยเกิดขึ้นที่ประเทศจีนมาแล้ว
3. ที่ประเทศจีนมีการเล่าให้ฟังว่า หากผู้ขายไม่ยอม ยิงแอด หรือจ่ายเงินให้กับแพลตฟอร์ม (สเปนเงิน) แพลตฟอร์มจะ ปิดการมองเห็น ถึง 100% เลยค่ะ สถานการณ์นี้แสดงให้เห็นว่าเขาเป็นเจ้าของกติกาอย่างแท้จริง และเราไม่สามารถหนีพ้นเกมนี้ได้ การจ่ายเงินจึงกลายเป็นเงื่อนไขสำคัญในการเข้าถึงลูกค้าบนแพลตฟอร์มเหล่านั้น
4. คนไทยกำลังเจอภาวะที่ กลืนไม่เข้าคายไม่ออก และ กลับไม่ได้ ไปไม่ถึง แม้ในอดีตเราอาจจะเคยวิจารณ์คนที่ปรับตัวไม่ทัน เช่น อากง อาม่า ที่ไม่ยอมมาขายออนไลน์ แต่ตอนนี้เรากำลังเจอสถานการณ์คล้ายกัน ในเมื่อเราไม่สามารถลบแพลตฟอร์มเหล่านี้ออกไปได้ เราจึงต้องปรับตัวให้รอดและมองหาโอกาสในสิ่งที่กำลังมีอยู่
5. เหตุผลที่คนจีนเข้ามาในตลาดไทยอย่างหนัก เพราะตลาดในประเทศจีน (โต่วอิน) มีความ แดงเดือด และการขายยากลำบากมาก สินค้าของพวกเขาค่อนข้าง ล้นสต๊อก จึงต้องขยายตลาดมาที่ไทยและประเทศอื่นๆ พวกเขาจึงเข้ามาโดยใช้ความสามารถในการทำ TikTok (โต่วอิน) ที่พวกเขามีความเก่งอยู่แล้ว
6. กองทัพของคนจีนไม่ได้มาแค่ไทยเท่านั้น แต่พวกเขาจะ ตาม TikTok ไปทุกประเทศ ที่แพลตฟอร์มเปิดตลาด พวกเขาจะตามไปสร้างกองทัพในตลาดใหม่ๆ เพื่อนำสินค้าที่มีราคาถูกเข้ามาขาย การเคลื่อนทัพนี้เป็นเพราะพวกเขาต้องการเปิดตลาดใหม่เมื่อตลาดในจีนแน่นแล้ว
7. สิ่งที่คนจีนมาพร้อมสินค้า แต่ไม่มี คือ คนขาย ดังนั้น จึงต้องการ Affiliate หรือนายหน้ามาช่วยขายสินค้าจำนวนมาก นี่เป็นจุดที่คนไทยสามารถฉวยโอกาสได้ เพราะแบรนด์จีนมีสินค้าเยอะเกินกว่าที่พวกเขาจะขายเองได้ทั้งหมด
8. ในช่วงที่แพลตฟอร์มเปิดใหม่ๆ พวกเขาจะแจกโค้ดส่วนลดจำนวนมากเพื่อ ล่อเหยื่อ เงินกำไรที่เราเคยได้มานั้น หลายครั้งไม่ใช่กำไรที่แท้จริงจากตัวสินค้า แต่เป็นเงินที่แอปสนับสนุนโค้ดให้แก่ลูกค้า (Subsidize) การใช้โค้ดเหล่านี้ทำให้ลูกค้าติดพฤติกรรมการซื้อที่ต้องมีส่วนลด
9. กลยุทธ์ของแพลตฟอร์มแบ่งเป็น 2 ยุค คือ ยุคเอาใจ และยุคเอาคืน ตอนนี้เราเข้าสู่ยุคเอาคืนแล้ว โดยแพลตฟอร์มจะลดการสเปนโค้ดลงอย่างเห็นได้ชัด ในขณะเดียวกันก็จะเพิ่มค่าธรรมเนียมให้สูงขึ้น เพื่อนำเงินไปชดเชยสิ่งที่เคยเสียไปในยุคเอาใจ
10. แพลตฟอร์มมองว่าการขึ้นค่าธรรมเนียมเป็น เกมที่ต้องเดิน และเป็นเรื่องปกติของธุรกิจที่มุ่งแสวงหาผลกำไร พวกเขาสามารถขึ้นค่าธรรมเนียมได้ถึง 30% หรือเท่ากับห้างสรรพสินค้าเลยทีเดียว เพราะอำนาจต่อรองอยู่ที่พวกเขา เนื่องจากลูกค้าจำนวนมากได้มารวมกันอยู่ในมือของแพลตฟอร์มแล้ว
11. ทางรอดที่ยั่งยืนคือการเก็บ Private Traffic หรือลูกค้าที่เป็นของเราอย่างแท้จริงไว้ให้ได้ Private Traffic คือกลุ่มลูกค้าที่เราสามารถสื่อสารกับพวกเขาได้โดยตรง โดยไม่ต้องผ่านตัวกลางหรือแพลตฟอร์มใดๆ การมี Private Traffic ทำให้คุณอยู่รอดในทุกสถานการณ์ ไม่ว่าแพลตฟอร์มจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรก็ตาม
12. TikTok เป็นแพลตฟอร์มที่ทำให้ไวรัลได้ง่าย และเกิดฮีโร่ข้ามคืนได้ เราจึงควรใช้ TikTok เป็น สะพาน เพื่อพาคนไปสู่ช่องทางอื่น ที่เราสามารถควบคุมได้และสร้างชุมชน (Community) ของตัวเอง ใครที่ออกแบบการดึงคนออกจากแพลตฟอร์มได้เก่ง คนนั้นจะชนะในตลาด
13. คีย์สำคัญในการสร้างชุมชนให้เกิดขึ้นและมีความเหนียวแน่น คือการ ให้ก่อน คุณควรให้ทุกอย่างที่คุณให้ได้โดยไม่กั๊ก ให้ผู้คนรู้สึกอิ่มเอมใจ เมื่อคุณสร้างความสัมพันธ์และความเชื่อใจได้แล้ว เวลาที่คุณจะขายอะไรก็ตาม พวกเขาก็พร้อมที่จะสนับสนุนคุณ
14. เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บ Private Traffic ได้แก่ Line Open Chat, Line OA หรือ กลุ่ม Facebook Line Open Chat เป็นที่นิยม เพราะสามารถเกิดการพูดคุยสื่อสารกันสองทางได้ ทำให้ Community เกิดขึ้นอย่างแท้จริง แต่ต้องระวังและใส่ใจในการดูแลกลุ่มอย่างมาก
15. แทนที่จะ ถลุงแอด (ใช้เงินจำนวนมากไปกับการยิงโฆษณา) ผู้ประกอบการควรเปลี่ยนงบประมาณมาจ้างทีมงาน Customer Service (CS) เพื่อดูแลชุมชน (Community) แทน การดูแลชุมชนอย่างดีนี้ จะมีค่าใช้จ่ายถูกกว่าการยิงแอดมาก และสามารถสร้างสายสัมพันธ์ที่แข็งแกร่งกับลูกค้าได้
16. หากเราไม่มีเงินทุนหนา การเปลี่ยนจากการทำแบรนด์มาเป็นนายหน้า (Affiliate/Creator) ถือเป็นทางเลือกที่ฉลาด นายหน้าจะได้รับแค่ค่าคอมมิชชันและไม่ต้องแบกรับความเสี่ยงเรื่องค่าผลิตหรือค่าใช้จ่ายอื่นๆ การทำนายหน้าเป็นโอกาสสำหรับผู้ที่ไม่มีเงินทุนหนา แต่สามารถปรับตัวและขยันได้
17. อำนาจที่แท้จริงไม่ได้อยู่ที่แพลตฟอร์ม หรือตัวสินค้าที่คุณขาย แต่อยู่ที่ คน ที่คุณถือไว้ในมือ เมื่อคุณถือคนไว้มากพอ คุณสามารถขับเคลื่อนธุรกิจอะไรก็ได้ และมีอำนาจต่อรองกับแบรนด์ ความมั่นคงของธุรกิจจึงอยู่ที่ ความสัมพันธ์ ที่เรามีกับผู้คน
18. Shopee กำลังโฟกัสอยู่ 2 เรื่องหลักเพื่อสู้กับ TikTok คือ 1) การส่งเร็ว โดยพยายามให้ลูกค้าได้รับของภายในวันเดียว และ 2) Affiliate เพื่อเพิ่มคนมาช่วยขาย Shopee พยายามผันตัวเป็น Entertainment Platform เหมือน TikTok แต่เป็นเรื่องที่ทำได้ยากกว่า
19. ตอนนี้ Shopee เปิดโอกาสให้ร้านค้าที่เป็น Seller สามารถทำ Affiliate ได้ฟรี คุณสามารถเพิ่มสินค้ากระแสจากร้านอื่นเข้ามาขายในตะกร้าของคุณเองได้ เพื่อรับค่าคอมมิชชัน นี่คือโอกาสในการเพิ่มกำไรมหาศาล และไม่ควรยึดติดกับการขายแต่สินค้าของตัวเองเท่านั้น
20. เมื่อแพลตฟอร์มปรับตัว ผู้ประกอบการต้องกล้าที่จะ รีนธุรกิจ (Lean) ให้รวดเร็ว ต้องกล้าที่จะ กระจายความเสี่ยง และสร้าง Curve ใหม่ๆ ให้กับตัวเอง เช่น การที่แม่ทัพหรือเจ้าของกิจการต้องกล้าออกมาทำคอนเทนต์หรือออกกล้องด้วยตัวเอง
21. อย่ามองตัวเองว่าเป็นเหยื่อ เพราะจะทำให้คุณปิดกั้นความคิดสร้างสรรค์และมองว่าทุกอย่างผิดไปหมด ในทุกการเปลี่ยนแปลง ย่อมมีโอกาสซ่อนอยู่เสมอ เราต้องใช้แพลตฟอร์มเป็นเครื่องมือของเราเอง และที่สำคัญ อย่ารอให้ชีวิตเป็นขาขึ้น ค่อยลงมือทำ แต่ให้ลงมือทำทันที
ขอบคุณ คุณ MaggieF8 ที่สรุปให้นะคะ
สามารถดูเนื้อหาสัมภาษณ์ฉบับเต็มใน Comment
ได้เลยนะคะ 😊
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น