วันอาทิตย์ที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2568

6 กลยุทธ์​ในการใช้​ ChatGPT. ช่วยวางแผน​การตลาด

[1] ตอนนี้ธุรกิจไม่ใช่แค่ปรับตัว ไม่ใช่แค่รอด 
แต่ต้องโตด้วย
.
ผมเชื่อว่าหลายคนกำลังเผชิญวิกฤตธุรกิจ
ยอดขายตก ค่าแอดแพง คู่แข่งจากจีนเข้มข้น
เจอ AI เข้ามาเปลี่ยนไวเกิน 
ทำอะไรก็รู้สึกว่าไม่ทันคนอื่น
.
แต่ มีธุรกิจหลายรายที่กำลังโตแบบก้าวกระโดด
ในช่วงเวลาเดียวกันนี้แหละ
.
พวกเขาไม่ได้ทำอะไรพิเศษ
แค่เปลี่ยน “วิธีคิด” และใช้ “AI” ตั้งคำถาม
ให้ได้มาซึ่งผลลัพธ์
.
ซึ่งผมได้รวบรวม 6 กลยุทธ์ที่ใช้ AI
ร่วมทำงานกับคุณ
จากเคสที่เพิ่งแก้ธุรกิจจากขาดทุนพลิกมากำไร
.
เพื่อที่ธุรกิจของคุณ พลิกวิกฤตให้กลายเป็นโอกาส
.
ถ้าคุณพร้อมแล้ว เรามาลุยกันเลย 🔥

[2] กลยุทธ์ที่ 1 Mindset การใช้ AI 
เปลี่ยนความคิด เปลี่ยนชีวิตธุรกิจ
.
AI ไม่ใช่เครื่องมือ แต่คือ “พาร์ทเนอร์” ของคุณ
.
หลายคนมองว่า AI เป็นแค่เครื่องมือช่วยงาน
พิมพ์คำสั่ง แล้วก็เอาผลลัพธ์ไปใช้
.
แต่จริงๆแล้ว AI คือ “พาร์ทเนอร์ที่ฉลาดที่สุด”
ที่คุณสามารถพูดคุย ปรึกษา และพัฒนาไปด้วยกันได้
.
ผมอยากให้คิดว่า AI เหมือน 
“ผู้ช่วยที่มีความรู้มหาศาล”
แต่ต้องการคำแนะนำจากคุณ ว่าควรทำอะไร
.
เลิกกลัวว่า AI จะแย่งงาน 
ให้เริ่มกลัวว่า “คนที่ใช้ AI เป็น” จะแย่งงานคุณ
.
ความจริงที่หลายคนไม่อยากยอมรับคือ
AI ไม่ได้มาแย่งงานเรา
.
แต่ “คนที่ใช้ AI เป็น” กำลังแย่งงานคนที่ไม่ใช้
.
ยุคนี้ผมเห็นคนหนึ่งคนทำงานได้เท่ากับทีม 10 คน
เพราะเขาใช้ AI ช่วยคิด ช่วยวิเคราะห์ 
ช่วยทำคอนเทนต์ รวมถึงตอบแชทไปในตัว
.
Mindset ที่ผมแนะนำลองค่อยๆฝึกในการใช้ AI
.
1. AI คือผู้ช่วยที่ต้องการการฝึกสอน
.
อย่าคาดหวังว่าครั้งแรกที่ใช้ AI 
จะได้ผลลัพธ์สมบูรณ์แบบ
เขาเหมือนการฝึกพนักงานใหม่
ยิ่งคุณสอนมาก คุยมาก AI ก็จะเข้าใจคุณมากขึ้น
.
2.ใส่ข้อมูลดี ได้ผลลัพธ์ดี
.
AI จะดีแค่ไหน ขึ้นอยู่กับว่าคุณให้ข้อมูลดีแค่ไหน
ถ้าคุณให้คำสั่งแบบคร่าวๆ ก็จะได้ผลลัพธ์แบบคร่าวๆ
แต่ถ้าคุณให้รายละเอียด บริบท เป้าหมาย
AI จะสร้างผลลัพธ์ที่เกินความคาดหมาย
.
3. AI ไม่ได้มาแทนที่ความคิดสร้างสรรค์ของคุณ
.
AI มาช่วยให้คุณมีเวลามากขึ้น
เพื่อโฟกัสกับสิ่งที่สำคัญจริงๆ
.
เช่น กลยุทธ์ การคิดไอเดียใหม่ๆ
การสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า
.
เริ่มต้นใช้ AI อย่างไรให้ได้ผล
.
ผมแนะนำให้เริ่มจาก “ปัญหาเล็กๆ” ก่อน
.
อย่าพยายามจะใช้ AI แก้ทุกอย่างในวันเดียว
ลองเริ่มจากงานที่ซ้ำซาก เช่น
.
- ตอบคำถามลูกค้าที่ถามบ่อยๆ
- เขียนแคปชั่นโพสต์
- สรุปข้อมูลจากรีวิวลูกค้า
.
พอคุณเห็นผลลัพธ์ คุณจะเริ่มเข้าใจว่า
AI ช่วยอะไรได้บ้าง แล้วค่อยขยายไปเรื่อยๆ

[3] กลยุทธ์ที่ 2 การคิดธุรกิจ 
Business Model is King

ธุรกิจที่โตในยุคนี้ ไม่ได้โตเพราะขายดี 
แต่โตเพราะ “คิดธุรกิจเป็น”
.
ผมเห็นธุรกิจหลายรายที่ขายดีมาก
วันละหลายร้อยออเดอร์
แต่พอหักต้นทุนออกแล้ว กลับขาดทุน
.
ทำไมถึงเป็นแบบนี้
เพราะพวกเขาไม่ได้วางแผนธุรกิจตั้งแต่แรก
แค่เห็นของอะไรขายดี ก็เอามาขาย
.
แต่ธุรกิจที่ยั่งยืน ต้องเริ่มจาก
“Business Model ที่ชัดเจน”
.
5 คำถามที่ต้องตอบก่อนเริ่มธุรกิจ
.
คำถามที่ 1 กลุ่มเป้าหมายของคุณคือใคร?
.
อย่าพูดว่า “ทุกคน”
เพราะถ้าขายให้ทุกคน แปลว่าไม่ได้ขายให้ใครเลย
.
ต้องชัดเจนว่าลูกค้าของคุณคือใคร
.
- อายุเท่าไหร่
- รายได้เท่าไหร่
- มีปัญหาอะไร
- ต้องการแก้ปัญหาอะไร
.
คำถามที่ 2: คุณแก้ปัญหาอะไรให้ลูกค้า?
.
สินค้าหรือบริการของคุณ
ต้องแก้ปัญหาที่ลูกค้ามีอยู่จริง
.
ไม่ใช่แค่ขายฟังก์ชั่น
แต่ต้องขาย “การแก้ปัญหา”
.
ยกตัวอย่าง
ลูกค้าไม่ได้ซื้อสว่านเพราะต้องการสว่าน
แต่เขาต้องการ “ซ่อมบ้าน”
.
คำถามที่ 3 ช่องว่างตลาด (Market Gap) คืออะไร?
.
ตลาดไหนๆ ก็มีคู่แข่งเยอะ
แต่ที่สำคัญคือต้องหา “ช่องว่าง”
.
คู่แข่งทำอะไรไม่ดี? ลูกค้าบ่นเรื่องอะไร?
เราจะทำอะไรที่ดีกว่าหรือแตกต่างได้บ้าง?
.
อาจจะเป็น
- บริการดีกว่า
- ส่งเร็วกว่า
- ราคาเหมาะสมกว่า
- มีการันตีที่ดีกว่า
.
คำถามที่ 4 คุณจะทำเงินได้อย่างไร?
.
อย่าคิดแค่ว่า “ขายของแล้วได้กำไร”
ต้องคิดระยะยาว
.
- ลูกค้าซื้อซ้ำได้ไหม?
- มีสินค้าอื่นขายต่อได้ไหม?
- มีรายได้จากแหล่งอื่นได้ไหม? 
(เช่น Affiliate, โฆษณา)
.
คำถามที่ 5 ธุรกิจนี้ Leverage ได้ไหม?
.
ธุรกิจที่ดีต้อง Leverage ได้
ไม่ใช่ติดอยู่กับเจ้าของคนเดียว
.
ถ้าวันนี้คุณทำเองได้ 10 ออเดอร์
พรุ่งนี้จะขยายเป็น 100 ออเดอร์ได้ไหม?
ต้องจ้างคนเพิ่มกี่คน? ต้นทุนเพิ่มเท่าไหร่?
.
ใช้ AI ช่วยวิเคราะห์ธุรกิจ
นี่คือจุดที่ AI จะช่วยได้มากๆ
.
คุณสามารถใช้ AI วิเคราะห์
- คู่แข่งในตลาด
- ราคาที่เหมาะสม
- กลุ่มเป้าหมายที่ชัดเจน
- ช่องทางการตลาดที่เหมาะสม
.
แค่ให้ข้อมูลที่ดี AI จะช่วยวิเคราะห์
และเสนอแนะแนวทางที่คุณอาจไม่เคยคิดถึง

[4] กลยุทธ์ที่ 3 Unique Value Proposition 
ทำไมลูกค้าต้องเลือกคุณ?
.
Unique Value Proposition หรือ UVP
คือ “เหตุผลที่ชัดเจน” ว่าทำไมลูกค้าควรเลือกคุณ
.
ไม่ใช่แค่บอกว่า “สินค้าดี ราคาถูก บริการดี”
เพราะทุกคนก็บอกแบบนี้
.
UVP ต้องเป็น “สิ่งที่แตกต่าง” จริงๆ
ที่ลูกค้าจับต้องและรู้สึกได้
.
สร้าง UVP ของคุณเอง ใน 4 ขั้นตอน
.
ขั้นตอนที่ 1 หาปัญหาหลักของลูกค้า
.
ลูกค้าของคุณมีปัญหาอะไรที่เจ็บปวดจริงๆ?
ไม่ใช่ปัญหาเล็กน้อย แต่ต้องเป็นปัญหาที่
ถ้าแก้ได้ ลูกค้ายอมจ่ายเงิน
.
ขั้นตอนที่ 2 ดูว่าคู่แข่งแก้ปัญหานี้ยังไง
.
คู่แข่งทำดีตรงไหน? ทำไม่ดีตรงไหน?
ลูกค้าบ่นเรื่องอะไร?
.
ขั้นตอนที่ 3 หาจุดที่คุณทำได้ดีกว่า
.
อาจจะเป็น
- ส่งเร็วกว่า
- บริการดีกว่า
- มีการันตีดีกว่า
- มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน
- ราคาคุ้มค่ากว่า (ไม่ใช่ถูกที่สุด)
.
ขั้นตอนที่ 4 เขียนให้กระชับและชัดเจน
.
UVP ต้องอ่านแล้วเข้าใจได้ทันที
ภายใน 5 วินาที
.
สูตร UVP ที่ใช้ได้ดี
“เรา [ทำอะไร] ให้กับ [กลุ่มเป้าหมาย] โดย [วิธีการที่แตกต่าง] เพื่อ [ผลลัพธ์ที่ได้]”
.
ใช้ AI ช่วยสร้าง UVP
AI สามารถช่วยคุณ
- วิเคราะห์คู่แข่ง
- หาจุดแตกต่าง
- เขียน UVP หลายๆ แบบให้เลือก
.
แต่อย่าลืมว่า AI เป็นแค่ผู้ช่วย
ตัวคุณเองต้องเป็นคนตัดสินใจ
ว่า UVP แบบไหนที่เหมาะกับแบรนด์คุณ

[5] กลยุทธ์ที่ 4 Branding และอัตลักษณ์ 
จดจำได้ ขายง่าย
.
แบรนด์ไม่ใช่แค่โลโก้ แต่คือ “ความรู้สึก”
.
หลายคนคิดว่าทำแบรนด์ คือทำโลโก้สวยๆ
แต่จริงๆแล้ว แบรนด์คือ
.
“ความรู้สึกที่ลูกค้ามีต่อธุรกิจของคุณ”
.
เวลาลูกค้าเห็นชื่อแบรนด์คุณ
เขานึกถึงอะไร? รู้สึกยังไง?
.
- น่าเชื่อถือ
- มั่นใจว่าได้ของดี
- รู้สึกพิเศษ
- ราคาถูก
- หรูหรา
.
นี่คือแบรนด์
.
ทำไมต้องสร้างแบรนด์?
.
เหตุผลที่ 1 ขายได้ง่ายกว่า
.
แบรนด์ที่แข็งแรง ลูกค้าซื้อเพราะ “เชื่อใจ”
ไม่ต้องไปเทียบราคาหรือไตร่ตรองนาน
.
เหตุผลที่ 2 ขายได้ราคาสูงกว่า
.
สินค้าเดียวกัน แบรนด์ดีขายได้แพงกว่า
เพราะลูกค้ารู้สึกว่า “คุ้มค่า”
.
เหตุผลที่ 3 ลูกค้าภักดี
.
แบรนด์ที่ดี ลูกค้าจะกลับมาซื้อซ้ำ
บอกต่อให้คนอื่นด้วย
พร้อมที่จะปกป้องแบรนด์ให้คุณ
.
4 องค์ประกอบของแบรนด์ที่แข็งแรง
.
1. Brand Identity (ตัวตน)
.
แบรนด์ของคุณคือใคร?
- เป็นแบรนด์หรูหรา หรือ แบรนด์ราคาย่อมเยา?
- เป็นแบรนด์เป็นกันเอง หรือ เป็นทางการ?
- สำหรับคนรุ่นไหน? ไลฟ์สไตล์แบบไหน?
.
2. Brand Voice (น้ำเสียง)
.
วิธีพูดคุยกับลูกค้า
- พูดแบบเป็นกันเอง หรือ สุภาพเป็นทางการ?
- ใช้ภาษาแบบไหน? มีคำเฉพาะไหม?
- Tone & Manner เป็นอย่างไร?

[6]3. Brand Visual (ภาพลักษณ์)
.
สีสัน รูปแบบ การออกแบบ
- สีหลักของแบรนด์คืออะไร?
- ฟอนต์ที่ใช้เป็นแบบไหน?
- สไตล์รูปภาพและรูปเป็นอย่างไร?
.
4. Brand Experience (ประสบการณ์)
.
ลูกค้าได้ประสบการณ์อะไรจากแบรนด์คุณ?
- ตั้งแต่เห็นโฆษณา
- เข้ามาในเว็ปไซต์หรือร้านค้า
- สั่งซื้อสินค้า
- ได้รับสินค้า
- บริการหลังการขาย
.
ทุกจุดสัมผัสต้องสร้างประสบการณ์ที่ดี
และสอดคล้องกัน
.
สร้างอัตลักษณ์ให้โดนใจลูกค้า
.
ทำให้ลูกค้าจำได้
.
ใช้สิ่งที่เป็นเอกลักษณ์
- สีที่จำได้
- คำพูดที่จำได้ (Slogan)
- เรื่องราวในของกลุ่มลูกค้าของเรา
- วิธีพูดคุยที่จำได้
.
ทำให้สม่ำเสมอ
.
ทุกช่องทาง ทุกคอนเทนต์
ต้องมี “ความเป็นคุณ” เหมือนกัน
.
ไม่ใช่วันนี้พูดแบบนี้ พรุ่งนี้พูดแบบนั้น
ลูกค้าจะสับสน
.
ใช้ AI ช่วยสร้างแบรนด์
.
AI ช่วยได้หลายอย่าง
- คิดชื่อแบรนด์
- สร้าง Slogan
- กำหนด Brand Voice
- เขียน Brand Guideline
- สร้างคอนเทนต์ที่สอดคล้องกับแบรนด์
.
แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือ
คุณต้อง “ฝึก AI” ให้เข้าใจแบรนด์คุณ
ยิ่งให้ข้อมูลเยอะ AI จะสร้างคอนเทนต์
ที่เป็นสไตล์คุณได้ดีขึ้น

[7] กลยุทธ์ที่ 5 การทำคอนเทนต์ 
Top to Bottom Funnel + Content Matrix
.
Funnel คือ “เส้นทางการซื้อ” ของลูกค้า
ตั้งแต่ยังไม่รู้จักแบรนด์คุณ
จนกระทั่งตัดสินใจซื้อ
.
แบ่งเป็น 3 ระดับหลัก
.
Top of Funnel - ระดับบน
.
ลูกค้ายังไม่รู้จักคุณ
แต่เขามี “ปัญหา” หรือ “ความต้องการ”
.
เป้าหมาย ให้เขารู้จักคุณ
.
ประเภทคอนเทนต์
- ให้ความรู้
- แก้ปัญหา
- สร้างความบันเทิง
- แชร์ประสบการณ์
.
ตัวอย่าง
“5 วิธีแก้ปัญหาผมร่วง ที่ทำได้ง่ายๆ ที่บ้าน”
.
Middle of Funnel - ระดับกลาง
.
ลูกค้ารู้จักคุณแล้ว
กำลังพิจารณาว่าจะซื้อหรือไม่
.
เป้าหมาย สร้างความเชื่อถือ
.
ประเภทคอนเทนต์
- เปรียบเทียบสินค้า
- รีวิวจากลูกค้าจริง
- Case Study
- Q&A ตอบคำถามที่ลูกค้าสงสัย
.
ตัวอย่าง
“ลูกค้าใช้แล้วผมหนาขึ้นจริง รีวิว 100 คนจริง”
.
Bottom of Funnel - ระดับล่าง
.
ลูกค้าพร้อมซื้อแล้ว
แค่ต้องการ “แรงผลักดัน” สุดท้าย
.
เป้าหมาย ปิดการขาย
.
ประเภทคอนเทนต์
- โปรโมชั่น
- Limited Time Offer
- การันตี คืนเงิน
- ของแถม
.
ตัวอย่าง
“สั่งวันนี้ ลด 50% + ของแถมมูลค่า 500 บาท
จำกัดสิทธิ์ 49 ท่านเท่านั้น”
.
Content Matrix วางแผนคอนเทนต์ให้ครบทุก Funnel
.
หลายคนทำผิดพลาด โดยทำแค่
“คอนเทนต์ขายของ” อย่างเดียว
.
แต่ลูกค้าส่วนใหญ่ยังไม่พร้อมซื้อ
เขาต้องการ “ความรู้” และ “ความเชื่อถือ” ก่อน
.
ดังนั้น ต้องมีคอนเทนต์ครบทุก Funnel
.
สัดส่วนคอนเทนต์ที่แนะนำ
- ToFu 60% - ให้ความรู้ สร้างการรับรู้
ที่ปิดการขายได้ในตัว
- MoFu 30% - สร้างความเชื่อถือ
- BoFu 10% - ขายของ
.
ถ้าคุณทำคอนเทนต์วันละ 10 ชิ้น
- 6 ชิ้น ควรเป็นคอนเทนต์ให้ความรู้ที่ปิดการขายในตัว
- 3 ชิ้น ควรเป็นรีวิว เปรียบเทียบ
- 1 ชิ้น ควรเป็นขายหรือโปรโมชั่น
.
วิธีใช้ AI สร้าง Content Matrix
ขั้นตอนที่ 1 ให้ AI วิเคราะห์ Customer Journey
.
บอก AI ว่า
- กลุ่มเป้าหมายคุณคือใคร
- สินค้าคืออะไร
- ปัญหาที่แก้ได้คืออะไร
.
ให้ AI วิเคราะห์ว่า ลูกค้าเดินทางจากไหนมาไหน
ก่อนตัดสินใจซื้อ
.
ขั้นตอนที่ 2 ขอให้ AI สร้างแผนคอนเทนต์
.
ขอให้ AI สร้าง Content Matrix
แยกตาม Funnel แต่ละระดับ
.
ยกตัวอย่างคำสั่ง
“สร้าง Content Matrix 30 วัน สำหรับแบรนด์ [ชื่อแบรนด์] ที่ขาย [สินค้า] ให้กลุ่มเป้าหมาย [กลุ่มเป้าหมาย] โดยแบ่งเป็น ToFu 60%, MoFu 30%, BoFu 10%”

[8]ขั้นตอนที่ 3 ปรับแต่งให้เข้ากับแบรนด์
.
AI จะให้ไอเดียดีๆ มา
แต่คุณต้องปรับให้เข้ากับ Brand Voice
และความเป็นตัวคุณ
.
ขั้นตอนที่ 4: ให้ AI เขียนคอนเทนต์ร่วมกับคุณ
.
เมื่อมีแผนแล้ว ก็ให้ AI เขียนคอนเทนต์
ตามหัวข้อที่วางไว้
.
สำคัญ ต้องเทรน AI ให้รู้จัก
- สไตล์การเขียนของคุณ
- คำที่ใช้บ่อย
- โครงสร้างคอนเทนต์ที่คุณชอบ
.
เคล็ดลับคอนเทนต์ให้ปัง
1. ใช้หลักการ “อยากขายแต่ไม่ขาย”
.
คอนเทนต์ ToFu และ MoFu
อย่าเร่งขายมากเกินไป
.
ให้ “คุณค่า” ก่อน
ยอดขายจะตามมาเอง
.
2. เล่าเรื่องให้น่าสนใจ (Storytelling)
.
อย่าทำคอนเทนต์แบบ “ขายดิบ”
เล่าเป็นเรื่องราว
- เคสลูกค้า
- ประสบการณ์ส่วนตัว
- Behind the scene
.
3. ทำให้ลูกค้ามีส่วนร่วม
- ถามคำถาม
- ให้โหวต
- ขอความเห็น
- จัดกิจกรรม
.
คอนเทนต์ที่ลูกค้ามีส่วนร่วม
จะเข้าถึงคนได้มากกว่า
.
4. รีไซเคิลคอนเทนต์
.
คอนเทนต์ดีๆ 1 ชิ้น สามารถทำได้หลายรูปแบบ
- บทความ → วิดีโอสั้น
- วิดีโอ → Infographic
- Podcast → บทความ
.
ประหยัดเวลา และเข้าถึงคนได้หลากหลายช่องทาง

[9] กลยุทธ์ที่ 6 การตั้งเป้าและวัดผล 
ไม่วัดไม่รู้ ไม่รู้ไม่ดี
.
หลายคนทำคอนเทนต์ไป ยิงแอดไป
แต่ไม่รู้ว่าได้ผลหรือเปล่า
.
เหมือนขับรถปิดตา
อันตรายมาก
.
การวัดผลจะบอกคุณว่า
- อะไรได้ผล อะไรไม่ได้ผล
- ควรทำอะไรต่อ
- ควรปรับอะไร
- ควรหยุดอะไร
.
เป้าหมายที่ดีต้องเป็น SMART
.
S - Specific (ชัดเจน)
.
อย่าตั้งเป้าว่า “อยากได้ยอดขายเยอะๆ”
แต่ต้องชัดเจนว่า “ยอดขาย 500,000 บาท/เดือน”
.
M - Measurable (วัดได้)
.
ต้องวัดได้ว่าบรรลุหรือไม่
ไม่ใช่เป้าหมายแบบ “อยากมีลูกค้าเยอะ”
แต่ต้องเป็น “ลูกค้าใหม่ 100 คน/เดือน”
.
A - Achievable (ทำได้จริง)
.
เป้าหมายต้องท้าทาย แต่ไม่เพ้อฝัน
ถ้าเดือนนี้ขายได้ 100,000
เป้าเดือนหน้าควรเป็น 120,000-150,000
ไม่ใช่กระโดดเป็น 1,000,000 ทันที
.
R - Relevant (เกี่ยวข้องกับเป้าใหญ่)
.
เป้าหมายย่อยต้องนำไปสู่เป้าหมายใหญ่
ถ้าเป้าใหญ่คือ “มีกำไร 1 ล้าน/เดือน”
เป้าย่อยอาจเป็น
.
- ลดต้นทุนการผลิต 10%
- เพิ่มยอดขาย 30%
- เพิ่มลูกค้าซื้อซ้ำ 20%
.
T - Time-bound (มีกำหนดเวลา)
.
ต้องมีเดดไลน์ชัดเจน
“ภายใน 3 เดือน” หรือ “สิ้นปี 2025”
.
ตัวชี้วัดสำคัญที่ต้องดู (KPI)
.
1. ยอดขาย (Revenue)
.
วัดเป็นรายวัน รายสัปดาห์ รายเดือน
.
2. กำไร (Profit)
.
อย่าดูแต่ยอดขาย อันตรายมาก
ต้องดูว่าหักต้นทุนแล้วเหลือกำไรเท่าไหร่
.
3. ต้นทุนต่อการขาย
.
ใช้เงินเท่าไหร่ในการหาลูกค้า 1 คน
.
ยิงแอดไป 10,000 บาท 
ได้ลูกค้า 100 คน= 100 บาท/คน
.
4. มูลค่าลูกค้าตลอดชีพ (LTV - Lifetime Value)
.
ลูกค้า 1 คน ซื้อสินค้าของเราไปทั้งหมดเท่าไหร่
ตลอดระยะเวลาที่เป็นลูกค้า
.
5. อัตราการแปลงเป็นการซื้อ (Conversion Rate)
.
จากคนที่เข้ามาดู มีกี่เปอร์เซ็นต์ที่ซื้อจริง
.
100 คนเข้าร้าน 10 คนซื้อ
Conversion Rate = 10%
.
6. การเข้าถึง (Reach) และ ยอดผู้ติดตาม
.
คอนเทนต์เข้าถึงคนกี่คน
มีคนติดตามช่องเท่าไหร่
แนวโน้มเพิ่มหรือลด
.
7. Engagement (การมีส่วนร่วม)
.
- ยอดไลค์
- ยอดคอมเมนต์
- ยอดแชร์
- ยอดบันทึก
.
Engagement สูง = คอนเทนต์โดนใจ
[10]เครื่องมือวัดผล
1. Facebook Ads Manager 
TikTok Ads Manager (GMV รอระบบตัวใหม่)
.
ดูผลโฆษณา
- ค่าใช้จ่าย
- ยอดขาย
- ROAS
- การเข้าถึง
.
2. Google Analytics
.
ดูพฤติกรรมคนเข้าเว็ปไซต์
- เข้ามาจากไหน
- อยู่นานแค่ไหน
- ดูหน้าไหนบ้าง
- Conversion Rate
.
3. Excel / Google Sheet
.
สำคัญมาก! ต้องมีไฟล์ Excel ติดตามผล
- ยอดขายรายวัน
- ต้นทุน
- กำไร
- ค่าแอด
.
4. CRM / LINE OA
.
ดูฐานลูกค้า
- มีลูกค้าทั้งหมดกี่คน
- ซื้อซ้ำกี่เปอร์เซ็นต์
- ลูกค้าที่ไม่กลับมาซื้อ
.
วิเคราะห์ผลและปรับกลยุทธ์
.
ทุกสัปดาห์ ดู Quick Win
- คอนเทนต์ไหนปัง? ทำแบบนั้นต่อ
- แอดไหนกำไร? สเกลต่อ
- แอดไหนขาดทุน? ปิดหรือปรับ
.
ทุกเดือน: ดูภาพรวม
- บรรลุเป้าหรือไม่?
- ถ้าไม่บรรลุ ปัญหาอยู่ตรงไหน?
- เดือนหน้าจะทำอะไรต่อ?
.
ทุกไตรมาส ดู Long Term
- ธุรกิจเติบโตไปทิศทางไหน?
- ควรปรับกลยุทธ์ใหญ่ไหม?
- ควรเพิ่มทีมงาน หรือ ช่องทางใหม่ไหม?
.
ใช้ AI ช่วยวิเคราะห์ผล
- รวบรวมข้อมูลจากหลายแหล่ง
- วิเคราะห์เทรนด์
- คาดการณ์ยอดขาย
- เสนอแนะแนวทางปรับปรุง
.
แค่ป้อนข้อมูลให้ AI
.
“เดือนนี้ยอดขาย X บาท ค่าแอด Y บาท 
ลูกค้าใหม่ Z คน”
.
AI จะวิเคราะห์และแนะนำว่า
- ควรทำอะไรต่อ
- ควรหยุดอะไร
- มีโอกาสตรงไหน


[11] ก้าวแรกที่คุณควรทำวันนี้
อย่ารอให้สมบูรณ์แบบ เริ่มทำวันนี้เลย
.
หลายคนอ่านมาถึงตรงนี้แล้ว
อาจจะรู้สึกว่า “เยอะมาก ไม่รู้จะเริ่มยังไง”
.
ผมบอกเลยว่า
ไม่ต้องทำทุกอย่างในวันเดียว
.
แค่เริ่มทำ “สิ่งเดียว” วันนี้
พรุ่งนี้ก็ทำอีกอัน
สะสมไปเรื่อยๆ
.
ภายใน 3 เดือน คุณจะเห็นผลชัดเจน
.
Action Plan 30 วันแรก
สัปดาห์ที่ 1: วางรากฐาน
.
วันที่ 1-2 ตอบ 5 คำถามธุรกิจ
- กลุ่มเป้าหมายคือใคร?
- แก้ปัญหาอะไร?
- ช่องว่างตลาดคืออะไร?
- จะทำเงินอย่างไร?
- สเกลได้ไหม?
.
วันที่ 3-4 สร้าง UVP
- ทำไมลูกค้าต้องเลือกคุณ?
- เขียนให้ชัดเจนใน 1 ประโยค
.
วันที่ 5-7 กำหนด Brand Identity
- แบรนด์เป็นอย่างไร?
- พูดคุยกับลูกค้าแบบไหน?
- สีสัน สไตล์เป็นอย่างไร?
.
สัปดาห์ที่ 2: ลงมือทำคอนเทนต์
.
วันที่ 8-9 สร้าง Content Matrix 30 วัน
- แบ่งเป็น ToFu, MoFu, BoFu
- วางแผนว่าจะทำคอนเทนต์อะไรบ้าง
.
วันที่ 10-14 เริ่มทำคอนเทนต์
- ทำวันละ 3-5 ชิ้น
- ทั้งรูปภาพและวิดีโอ
- ลงทุกวันอย่างต่อเนื่อง
.
สัปดาห์ที่ 3: เพิ่มช่องทาง
.
วันที่ 15-17 ลองไลฟ์ครั้งแรก
- ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่มีคนดู
- ไลฟ์อย่างน้อยวันละ 2-3 ชม.
.
วันที่ 18-21 ลงสินค้าใน Marketplace
- Shopee, Lazada, TikTok Shop
- ติดตะกร้าครบทุกสินค้า
.
สัปดาห์ที่ 4 วัดผลและปรับ
.
วันที่ 22-24 รวบรวมข้อมูล
- ยอดขายเท่าไหร่?
- คอนเทนต์ไหนปัง?
- แอดไหนได้ผล?
.
วันที่ 25-27 วิเคราะห์ผล
- อะไรได้ผล ทำต่อ
- อะไรไม่ได้ผล ปรับหรือหยุด
.
วันที่ 28-30 วางแผนเดือนหน้า
- จะทำอะไรต่อ?
- มีโอกาสอะไรบ้าง?
- ตั้งเป้าเดือนหน้า
.
ข้อควรระวัง
1. อย่าทำทุกอย่างพร้อมกัน ถ้าทีมงานยังแข็งแรงพอ
.
เริ่มทีละอย่าง ค่อยๆ ขยาย
ทำมากเกินไป จะงง และเลิกกลางคัน
.
2. อย่าคาดหวังผลลัพธ์ทันที
.
การสร้างแบรนด์ สร้างฐานลูกค้า
ต้องใช้เวลา
.
3. อย่ายอมแพ้ง่ายๆ
.
หลายคนทำไป 1-2 ที
ไม่เห็นผล ก็เลิก
.
แต่คนที่ประสบความสำเร็จ
คือคนที่ทำต่อเนื่อง
ไม่ว่าจะเจอปัญหาอะไร

[12] ยุคที่แค่ยิงแอดก็ขายได้ ผ่านไปแล้ว
.
แต่ยุคที่มี “กลยุทธ์” ชัดเจน
ใช้ “AI” อย่างถูกวิธี
และ “ลงมือทำ” อย่างต่อเนื่อง
.
นี่คือยุคที่คุณสามารถประสบความสำเร็จได้
แม้เป็นคนเล็กๆ ที่เพิ่งเริ่มต้น
.
ขอให้ทุกคนประสบความสำเร็จ
.
ผมหวังว่าบทความนี้
จะเป็นประโยชน์กับทุกคน
.
ไม่ว่าคุณจะเป็น
- มือใหม่ที่กำลังเริ่มต้น
- คนที่ทำมาแล้วแต่ยังไม่ปัง
- คนที่กำลังประสบปัญหา
.
วันนี้เป็นวันที่คุณเปลี่ยนแปลงได้
แค่เริ่มทำ “สิ่งเดียว” วันนี้
.
สะสมไปเรื่อยๆ
ผลลัพธ์จะมาอย่างแน่นอน
.
ผมเชื่อในตัวคุณ
เชื่อว่าคุณทำได้
เชื่อว่าธุรกิจของคุณจะประสบความสำเร็จ
.
แค่คุณอย่ายอมแพ้
ลงมือทำ
และทำต่อเนื่อง
.
เราจะไปด้วยกันครับ 💪
.
ขอบคุณที่อ่านมาถึงตรงนี้
ถ้าชอบบทความนี้
อย่าลืมแชร์ให้เพื่อนๆ ที่กำลังต้องการด้วยนะครับ
.
ลุยยยยยยยยย 🔥🔥🔥
.
ขอบคุณครับ 🙏🏻

ที่มา
#หัวหน้าแบงค์fullfunnel


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

แจก AI-Prompt Frameworks

แจก AI-Prompt Frameworks : Marketing KPI Simulation 👉 เอา Frameworks นี้ไปคุยกับ ChatGPT ด้วย Prompt แบบนี้  -------!----- [ช่ว...