วันพุธที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2568

อวิชชา ที่ยังดับไปไม่ได้ เป็นปัจจัยให้เกิด "สังขาร"

"อวิชชา" ที่ยังดับไปไม่ได้ เป็นปัจจัยให้เกิด "สังขาร" คือเจตนาที่เป็นไปในบุญ (กามาวจรกุศล , รูปฌาน) หรือบาป (อกุศลกรรม) หรืออเนญชา (อรูปฌาน)
     สังขารเหล่านั้น เป็นปัจจัยให้เกิด "วิญญาณ" คือ "ปฏิสนธิวิญญาณ" คือเกิดในกามภูมิ , รูปภูมิ , อรูปภูมิ ตามแต่สังขาร

     "ปฏิสนธิวิญญาณ" เป็นปัจจัยให้เกิด "นามรูป" ในปวัตติกาล (หลีงปฏิสนธิ ถึง จุติ) ฯลฯ

     ส่วน "วิญญาณ" ในขันธ์ ๕ ได้แก่ จิต ๘๙ ดวง

     (เวทนา เป็นเวทนาขันธ์ สัญญา เป็นสัญญาขันธ์ เจตสืกที่เหลือ ๕๐ มีโลภะ โทสะ โมหะ สติ หิริ โอตตัปปะ เป็นต้น เป็นสังข่รขันธ์) 

     องค์ธรรมที่เป็นปฏิสนธิวิญญาณเหล่านั้น ได้แก่วิบากจิตที่นำสัตว์ไปเกิดในภพภูมิต่าง ๆ

     มหาวิบากจิต ๘ นำไปปฏิสนธิในมนุษย์ ๑ และเทวโลก ๖

     สันตีรณกุศลวิบาก นำไปเกิดเป็นมนุษย์ไม่ครบอาการ ๓๒ และเทพชั้นจาตุม ฯ

     สันตีรณอกุศลวิบาก นำไปเกิดในอบาย

     รูปาวจรวิบาก ๕ นำไปเกิดในรูปภูมิ

     อรูปาวจรวิบาก ๔ นำไปเกิดในอรูปภูมิ

     เมื่ออรหัตตมรรคดับอวิชชาได้เมื่อใด ย่อมไม่มีวิบากจิตที่นำไปเกิดในภพภูมิใดได้อีกเลย ฯ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

อวิชชา ที่ยังดับไปไม่ได้ เป็นปัจจัยให้เกิด "สังขาร"

"อวิชชา" ที่ยังดับไปไม่ได้ เป็นปัจจัยให้เกิด "สังขาร" คือเจตนาที่เป็นไปในบุญ (กามาวจรกุศล , รูปฌาน) หรือบาป (อกุ...