วันอังคารที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2568

สวนเกษตร “โคก–หนอง–นา โมเดล” เกษตรผสมผสาน–พอเพียง “กิน–เหลือ–ขาย”

📗 สวนเกษตร “โคก–หนอง–นา โมเดล” เกษตรผสมผสาน–พอเพียง “กิน–เหลือ–ขาย”

ไอเดียการผสมผสานทรัพยากรให้คุ้มค่า มีที่ดอน (โคก) มีแหล่งน้ำ (หนอง/สระ) และมีนาข้าว (นา) เชื่อมด้วยคันดิน–ร่องน้ำ–ถนนสวน ทำให้ ดิน–น้ำ–ป่า–คน เกื้อกูลกัน เกิดผลผลิตหลากหลาย “กินก่อน–เหลือค่อยขาย” เริ่มจาก…
.
🔰 1) สระน้ำ–เลี้ยงปลา
- สระน้ำ คือหัวใจน้ำของทั้งแปลง ใช้กักเก็บ–หมุนเวียนรดผัก/สวนผลไม้

- เลี้ยงปลาคู่ไปด้วย สร้างโปรตีนประจำบ้าน เศษพืชจากแปลงเป็นอาหารปลาได้ สร้างรายได้ได้ตลอด
.
🔰 2) นาข้าว
- แปลงนาสีเขียวติดสระ ลดต้นทุนข้าวสาร เกี่ยวข้าวแล้วเหลือฟางไว้ใช้ประโยชน์ ไว้คลุมดิน–ทำปุ๋ยหมัก

- คันนาเป็นแนวเดิน–แนวชะลอน้ำ และปลูกพืชริมคันได้อีกชั้น
.
🔰 3) สวนผลไม้
- ปลูกไม้ผลคละรุ่น (เช่น กล้วย–มะม่วง–ไม้ผลยืนต้นอื่น) ให้ร่มเงา–รายได้ระยะกลาง–ยาว

- แซมพืชดอก/พืชล่อแมลงดี ช่วยผสมเกสร
.
🔰 4) ผักให้ผลผลิต “รายวัน–รายสัปดาห์”
- แปลงยกร่องด้านล่างขวา เก็บกินทุกวัน (กูด/คะน้า/ถั่ว/เครื่องเคียง ฯลฯ)

- ถัดไปเป็นพืชรอบเก็บสั้น 1–2 สัปดาห์ เก็บขายได้ทั้งปี
.
🔰 5) เลี้ยงสัตว์ + โรงผลิตปุ๋ย
- คอกสัตว์เลี้ยง (โค–แพะ–ไก่) เพื่อเก็บมูลทำปุ๋ยหมัก/น้ำหมัก ส่งกลับสู่แปลง → ปิดวงจรธาตุอาหาร สามารถขายได้เป็นผลผลิตรายปี

- เศษพืช–ผลผลิตเกิน ที่ไม่ได้ขาย นำเล้าให้สัตว์กินลดของเสียเป็นศูนย์ กลายเป็นปุ๋ย
.
🔰 6) สวนป่า = โรงอาหาร–ธนาคารชีวิต
- แนวไม้ยืนต้นชิดขอบป่า ทำหน้าที่กันลม–กักความชื้น–เป็นที่อยู่อาศัยของแมลงดี–นก

- เก็บของป่าใช้สอย/เชื้อเพลิง ลดรายจ่ายจิปาถะ สร้างรายได้รายวัน/ลดค่าใช้จ่าย ขึ้นอยู่กับความขยัน
.
🔰 7) มะม่วง/ไม้ผลที่ชอบ
- ปลูก “ของกินที่ชอบตามแนวทาง” นำหน้าความแปลกใหม่ → ครัวเรือนอิ่มก่อน เหลือค่อยขาย
.
🔰 8) กระท่อม–ที่พักผ่อนจากการทำสวน
- ตั้งกลางงานสวน ใกล้น้ำ–ใกล้แปลง เพื่อดูแลง่าย
.
♻️ วงจร “กิน–เหลือ–ขาย” ในแปลง
- รายวัน : ผักครัว/ไข่ไก่/ปลาบางส่วน มีส่วนป่าไว้สร้างรายได้รายวันอีกมากมาย

- รายสัปดาห์ : ผักรอบเก็บ 7–14 วัน แปรรูปง่าย ๆ (น้ำพริก–ดอง–ชาใบสมุนไพร)

- รายเดือน : ลูกแพะ/โค/เห็ด/สมุนไพรแห้ง

- รายปี : ข้าว–ไม้ผลหลัก (มะม่วง/กล้วย/ลำไย ฯลฯ)
.
🧭 หลักพอเพียงที่ภาพนี้ทำอยู่
- พอประมาณ : จัดสัดส่วนพื้นที่ตามศักยภาพดิน–น้ำ–แรงงานบ้าน

- มีเหตุผล : แปลงผักอยู่ใกล้บ้าน–ใกล้น้ำ ลดแรง–ลดต้นทุน

- ภูมิคุ้มกัน : ความหลากหลายลดความเสี่ยงตลาด/อากาศ พึ่งตนเองได้เมื่อวิกฤต
.
✅ เคล็ดลัดลงมือ
- เริ่มจาก “น้ำ” ขุดสระให้พอฤดูแล้ง วางคันดินชะลอน้ำ

- ปลูกแปลงผักรายวันใกล้บ้านก่อน แล้วค่อยขยายสวนผลไม้

- เลี้ยงสัตว์เพื่อเป็นคอกสัตว์ติดโรงผลิตปุ๋ย ให้ของเสียวนกลับเป็นอาหารดิน

- บันทึกปฏิทินปลูก–เก็บ เพื่อล็อกกระแสเงินสดรายสัปดาห์–รายเดือน
.
นี่คือแปลงตัวอย่างของ โคก–หนอง–นา โมเดล ที่แปลงทรัพยากรธรรมชาติให้เป็น “ความมั่นคงอาหาร + รายได้หลายทาง” บนวิถีเรียบง่ายและยั่งยืน 🌾🌳🐟🐓
.
บทความโดย : เพจ เกษตร นานา

#เกษตรนานา #เกษตรผสมผสาน #โคกหนองนา #โคกหนองนาโมเดล

Google DeepMind ได้เปิดตัว Genie 3 เครื่องมือ AI ใหม่ ช่วยให้ผู้ใช้สร้างโลกจำลองเสมือนจริง

[สนามเด็กเล่น] อาจเรียกได้ว่าเป็นโลกจำลองที่สั่งการได้ด้วย Prompt แบบ Realtime หลังทาง Google DeepMind ได้เปิดตัว Genie 3 เครื่องมือ AI ใหม่ ช่วยให้ผู้ใช้สร้างโลกจำลองเสมือนจริง และเข้าไปเคลื่อนที่ในโลกดังกล่าวได้อิสระ
.
ย้อนกลับไปช่วงต้นเดือนธันวาคมปีที่แล้ว Google DeepMind ได้เปิดตัว Genie 2 บริการ AI สร้างโลก 3 มิติ โดยมาครบทั้งแสงเงาและฟิสิกส์ ถือเป็นเครื่องมือ AI ที่ล้ำยุคมาก ๆ แล้ว แต่มันยังพัฒนาต่อได้อีก จนเกิดเป็นภาคต่ออย่าง "Genie 3" นี่เอง
.
Genie 3 รอบนี้สามารถสร้างโลก 3 มิติได้คมชัดที่ 720p จากเดิมเพียง 360p กับเสถียรขึ้น ใช้ได้นานขึ้น และสร้างโลกจำลองแบบ Realtime ได้เลย โดยในที่นี้ทาง DeepMind เผยมี "World Memory" หรือตัวโลกจำลอง จะจดจำสิ่งที่สร้างผ่าน Prompt เอาไว้
.
ตัวอย่างเช่น สั่งให้ Genie 3 สร้างภาพคนทาสีกำแพงในโลกจำลอง (มุมมองบุคคลที่ 1) จากนั้นให้ลองหันไปรอบ ๆ แล้วกลับมาดูที่บริเวณทาสีอีกที ก็จะพบตัวสีที่ทาบนกำแพงเมื่อครู่ ยังคงอยู่ครบถ้วนนั้นเอง ง่าย ๆ คือ หากมีการเปลี่ยนแปลงในโลกจำลอง การเปลี่ยนแปลงนั้นก็ยังคงอยู่
.
และด้วยความสามารถนี้เอง ก็ทำให้ Genie 3 สามารถฝึก AI ตัวอื่นได้ด้วย เช่น สร้างสบานบินจำลองและให้มีเครื่องบินภายในนั้นด้วย ก็จะช่วยให้ฝึก AI เรียนรู้การบินได้นั้นเอง ไม่ต้องเอาไปบินบนฟ้าจริง ๆ ที่อาจมีค่าใช้จ่ายมหาศาล
.
หลังเปิดตัว Genie 3 ก็อาจทำให้ผู้ใช้หลาย ๆ คน (กับคู่แข่งอีกหลายราย) มองเลยว่า Google เป็นบริษัทที่มีความก้าวหน้าด้าน AI อย่างยิ่ง โดยทาง DeepMind ของ Google ก็ได้นำเสนอความสามารถที่ก้าวล้ำ นั่นคือการ "ควบคุม" และ "เปลี่ยนแปลง" ความเป็นจริงเสมือนได้ทันทีด้วยคำสั่งง่าย ๆ ซึ่งนี่ไม่ใช่การสร้างวิดีโอเกม แต่คือการสร้าง "สนามฝึกซ้อม" ที่ดีที่สุด เพื่อฝึกฝน AI Agent ให้ฉลาดขึ้น , ปลอดภัยขึ้น และพร้อมสำหรับโลกแห่งความจริงในอนาคต...หรือเร็ว ๆ นี้แล้ว
.
ที่มา : https://www.techhub.in.th/deepmind-genie-create-world-3d-ai/
.
#DeepMind #Genie3 #AI #Google #techhub 
.
——————
⭐️ ติดตามอัปเดตข่าวไอที How To , Tips เทคนิคใหม่ ๆ ได้ทุกวัน
ค้นหาข่าวที่อยู่ในความสนใจได้ที่ >> www.techhub.in.th
มีข้อสงสัยทัก LINE Techhub : https://lin.ee/Sietmnt

100 AI. ที่ควรรู้​

📍สาย POD (Print on Demand)
 1. Ideogram – AI สร้างลายเสื้อ + Typography สวย ๆ
 2. Playground AI – ทำ Mockup / ลาย POD ขายได้จริง
 3. Mystic POD – เครื่องมือออกแบบ + วิเคราะห์ Niche สำหรับ POD โดยเฉพาะ
 4. DALL·E 3 – ออกแบบลายเสื้อ พื้นหลังโปร่งใสได้
 5. Canva AI – ทำ Mockup + Presentation สำหรับ POD ง่าย ๆ
 6. Leonardo AI – ทำ Concept Art / Element สำหรับ POD
 7. Remove.bg – ตัดพื้นหลังไฟล์ PNG สำหรับเสื้อ/แก้ว/โปสเตอร์
 8. Fotor AI – ทำ Avatar, Logo สำหรับแบรนด์ POD
 9. Designs.ai – ออกแบบ Logo / Infographic ให้สินค้า POD
 10. AdCreative.ai – ทำ Ads Banner ขายงาน POD

📍สาย Digital Product
 11. ChatGPT – ผู้ช่วยคิด, เขียน, ทำไอเดีย eBook / Template
 12. Notion AI – จัดระบบคอร์ส/โน้ต/คอนเทนต์ Digital Product
 13. Canva AI – ทำ eBook, Infographic, Social Post
 14. Tome AI – ทำ Presentation / Digital Course สวย ๆ
 15. Murf AI – สร้างเสียงประกอบ Digital Course
 16. ElevenLabs – ทำเสียงหลายภาษา ใส่ใน eBook เสียง
 17. Descript – ตัดต่อวิดีโอคอร์ส/Workshop
 18. Opus Clip – แปลงคลิปยาวเป็น Short คอนเทนต์ขายคอร์ส
 19. Jasper AI – Copywriting สำหรับ Landing Page / Digital Product
 20. Perplexity AI – หาข้อมูลตลาด + งานวิจัยทำ Digital Product
สายธุรกิจ + Startup
21. Notion AI – บริหารงาน + Note อัจฉริยะ
 22. ClickUp AI – Project Management
 23. Motion – วางแผนเวลาอัตโนมัติ
 24. Slite AI – สรุปเอกสารทีม
 25. Tome – สร้าง Pitch Deck อัตโนมัติ
 26. Coda AI – บริหาร Workflow
 27. Airtable AI – จัดการฐานข้อมูล
 28. HubSpot AI – CRM + Marketing Automation
 29. Zapier AI – เชื่อม Workflow อัตโนมัติ
 30. Pitch – สร้างสไลด์ทีม Startup
📍สาย Productivity
 31. Claude AI – อ่านและสรุปเอกสาร
 32. Grammarly – ตรวจแกรมม่า
 33. Perplexity AI – ค้นหาข้อมูลพร้อมอ้างอิง
 34. Otter.ai – ถอดเสียงประชุม
 35. Fireflies.ai – ผู้ช่วยประชุม
 36. Tome AI – ทำพรีเซนเทชัน
 37. Motion AI – จัดตารางเวลาอัจฉริยะ
 38. Timely AI – จับเวลา + Productivity
 39. SaneBox – จัดอีเมลอัตโนมัติ
 40. Xembly – ผู้ช่วยประชุม AI
📍สาย Data & Marketing Analytics
 41. GA4 + AI Insights – วิเคราะห์เว็บ + Conversion
 42. HubSpot AI – วิเคราะห์ลูกค้า + CRM
 43. Tableau GPT – Dashboard Data
 44. Power BI Copilot – Visualization + Insight
 45. SimilarWeb – วิเคราะห์คู่แข่ง
 46. SEMrush – SEO/Ads Tools
 47. Crimson Hexagon – Social Analytics
 48. Brandwatch + AI – Social Listening
 49. MonkeyLearn – วิเคราะห์ข้อความรีวิว
 50. Jasper AI – วิเคราะห์ Content
📍สายทำภาพ
 51. MidJourney – งานอาร์ตขั้นสูง
 52. Stable Diffusion – Customize ละเอียด
 53. Adobe Firefly – เติม/รีทัชใน Photoshop
 54. Runway Gen-2 (ภาพนิ่ง) – ภาพ Cinematic
 55. Canva AI (Magic Media) – คอนเทนต์ไว ๆ
 56. Leonardo AI – Game Asset / Mockup
 57. Remove.bg – ตัดพื้นหลัง
 58. Fotor AI – Avatar / Logo
 59. Designs.ai – โลโก้อัตโนมัติ
 60. DALL·E 3 – ภาพใน ChatGPT
📍สายตัดต่อวิดีโอ & Motion
 61. Runway Gen-2 (วิดีโอ) – จากข้อความเป็นคลิป
 62. Pika Labs – ทำ Animation
 63. Kaiber AI – Music Video / Motion
 64. Descript – ตัดต่อวิดีโอ + ลบคำ
 65. CapCut AI – ตัดต่อมือถือ Auto Caption
 66. Wondershare Filmora AI – ช่วยแก้สี
 67. Adobe Premiere (Sensei AI) – Auto Cut
 68. Synthesia – วิดีโอ AI Avatar
 69. Veed.io – ตัดต่อออนไลน์
 70. Opus Clip – ตัดคลิปยาวเป็น Shorts
📍สายสุขภาพ ไลฟ์สไตล์
 71. MyFitnessPal AI – คำนวณโภชนาการ
 72. Fitbod – วางแผนออกกำลัง
 73. Calm AI – ทำสมาธิ/นอน
 74. Replika – เพื่อนคุย AI
 75. Woebot – นักบำบัด AI
 76. Youper – Mental Health Coach
 77. Wysa – โค้ชสุขภาพจิต
 78. 8fit AI – วางแผนอาหาร
 79. Lifesum AI – การกินเพื่อสุขภาพ
 80. Sleep.io – ปรับการนอน
📍สายธุรกิจ / การตลาด
 81. Salesforce Einstein – วิเคราะห์ลูกค้า
 82. Zoho Zia – ผู้ช่วย CRM
 83. Drift AI – แชทบอทขายของ
 84. Tidio AI – บอทตอบลูกค้า
 85. ManyChat – บอท Facebook/IG
 86. AdCreative.ai – ทำโฆษณาแบนเนอร์
 87. Ocoya – สร้างโพสต์โซเชียล
 88. SocialBee AI – จัดตารางโพสต์
 89. Clickable – เขียน Ads Content
 90. HubSpot AI – เขียนอีเมล
📍สายเรียนรู้ / การศึกษา
 91. Khanmigo – ติวหนังสือ
 92. Quizlet AI – Flashcard อัตโนมัติ
 93. Socratic – ถามการบ้าน
 94. Photomath – ถ่ายโจทย์คณิต
 95. Mathway – คำนวณสมการ
 96. Perplexity Scholar – ค้นคว้าวิชาการ
 97. Elicit – หางานวิจัย
 98. Scholarcy – สรุปบทความวิชาการ
 99. DeepL Write – เขียน/แปลภาษา
 100. LingQ – เรียนภาษาใหม่





วันจันทร์ที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2568

วิธีแนะนำตัวใน 1 นาทีที่จะทำให้จำคุณได้ตลอดไป

วิธีแนะนำตัวใน 1 นาที
ที่จะทำให้จำคุณได้ตลอดไป
ให้พูด ชื่อ + บทบาทที่ทำ
ไม่ใช่ชื่อตำแหน่ง
.
เมื่อ Elon Musk เดินเข้าห้องประชุม SpaceX ครั้งแรกในปี 2002 เขาไม่ได้เริ่มต้นด้วยการบอกว่าตัวเองเป็น “ผู้ประกอบการด้านเทคโนโลยี” เขากล่าวว่า “ผมอยากทำให้มนุษย์กลายเป็นสิ่งมีชีวิตหลายดาวเคราะห์” จากประโยคเดียวนั้น ทุกคนในห้องจดจำเขาได้ตลอดไป
.
งานวิจัยจากมหาวิทยาลัย Stanford เผยว่า คนเราใช้เวลาเพียง 7 วินาทีในการตัดสินใจครั้งแรกเกี่ยวกับคนที่เพิ่งพบ และความประทับใจแรกนั้นจะจดจำเกี่ยวกับคนๆ นั้นได้ดีกว่า
.
หลายคนในตำแหน่งผู้บริหารมักพบว่าตัวเองออกจากห้องประชุมไปโดยไม่มีใครจดจำ แม้จะมีความสามารถโดดเด่นและประสบการณ์มากมาย พวกเขากลมกลืนไปกับคนอื่น เหมือนหยดน้ำในมหาสมุทร ทั้งที่ควรจะเป็นคลื่นที่สร้างความเปลี่ยนแปลง
.
เพราะอะไร ผู้บริหารส่วนใหญ่จึงไม่น่าจดจำ
.
การแนะนำตัวแบบดั้งเดิมมักเริ่มต้นด้วยตำแหน่งและคุณสมบัติ “สวัสดีครับ ผมชื่อสมชาย ผมเป็น VP Strategy ของบริษัทฟินเทค มีประสบการณ์ 15 ปีในการนำทีมข้ามสายงาน” มันถูกต้องในเชิงข้อมูล แต่น่าเบื่อในเชิงอารมณ์
.
ปัญหาของการแนะนำตัวแบบนี้คือ มันบอกเฉพาะสิ่งที่คุณทำ ไม่ได้บอกว่าทำไมมันถึงสำคัญ ไม่ได้สร้างภาพในใจผู้ฟัง และไม่ได้เชื่อมโยงทางอารมณ์ เพื่อให้คนจดจำได้ คุณต้องสร้างความรู้สึกร่วม ไม่ใช่แค่ส่งข้อมูล
.
สูตรการแนะนำตัวที่ติดใจใน 1 นาที
.
ผู้บริหารระดับสูง โค้ชส่วนตัว และวิทยากร TED ใช้กรอบ 4 ส่วนนี้ ชื่อและบทบาท ทำไมถึงทำ เรื่องราวจุดเริ่มต้น และคุณค่าที่สร้างให้ผู้อื่น
.

ส่วนแรกคือชื่อและบทบาท ใช้เวลา 5 วินาที ข้ามศัพท์เฉพาะไป พูดให้เป็นมนุษย์ “ผมชื่อสมชาย ผมเป็นผู้นำด้านกลยุทธ์การเติบโตของบริษัทฟินเทค” รวดเร็ว ชัดเจน เข้าใจง่าย
.
ส่วนที่สองคือทำไมถึงทำ ใช้เวลา 10-15 วินาที อธิบายแรงผลักดันที่ลึกกว่าตำแหน่งงาน “ผมหลงใหลการช่วยให้บริษัทเติบโตได้โดยไม่สูญเสียสิ่งที่ทำให้พวกเขายอดเยี่ยมตั้งแต่แรก ไม่ว่าจะเป็นวัฒนธรรม ความไว้วางใจ หรือนวัตกรรม” สิ่งนี้แสดงความฉลาดทางอารมณ์ ไม่ใช่แค่ความสามารถในงาน
.
ส่วนที่สามคือเรื่องราวจุดเริ่มต้น ใช้เวลา 20-30 วินาที เล่าว่าคุณมาถึงจุดนี้ได้อย่างไร “ผมเริ่มต้นจากงานที่ปรึกษา เห็นทีมเก่งๆ หลายทีมล้มเหลว ไม่ใช่เพราะขาดกลยุทธ์ แต่เพราะสื่อสารกันไม่ได้และปรับตัวช้า นั่นทำให้ผมหันมาศึกษาจิตวิทยาทีมและการปฏิบัติงานเชิงกลยุทธ์” ตอนนี้คุณเป็นมนุษย์แล้ว ไม่ใช่แค่รายการคุณสมบัติ
.
ส่วนสุดท้ายคือคุณค่าที่สร้างให้ผู้อื่น ใช้เวลา 10-15 วินาที “ตอนนี้ผมช่วยทีมผู้นำเติบโตอย่างชัดเจน เพื่อให้พวกเขาเคลื่อนไหวได้รวดเร็ว ทำงานสอดคล้องกัน และไม่ทำให้คนเก่งที่สุดหมดไฟ” นี่คือสิ่งที่คนจะจดจำ
.
ตัวอย่างการแนะนำตัวที่สมบูรณ์

“สวัสดีครับ ผมชื่อ โอ ผมเป็นผู้นำด้านกลยุทธ์การเติบโตของบริษัทฟินเทค ผมหลงใหลการช่วยให้องค์กรเติบโตได้โดยไม่สูญเสียสิ่งที่ทำให้พวกเขายอดเยี่ยม ไม่ว่าจะเป็นวัฒนธรรม ความไว้วางใจ และนวัตกรรม ผมเริ่มต้นจากงานที่ปรึกษาและเห็นทีมฉลาดๆ หลายทีมพังทลายภายใต้เป้าหมายที่ไม่ชัดเจนและการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า นั่นทำให้ผมหันมาศึกษาการปฏิบัติงานเชิงกลยุทธ์และประสิทธิภาพทางพฤติกรรม ตอนนี้ผมช่วยทีมผู้นำเติบโตอย่างรวดเร็วแต่ยั่งยืน เพื่อให้พวกเขาบรรลุเป้าหมายใหญ่โดยไม่ทำให้คนเก่งที่สุดหมดไฟ”
.
ตอนนี้โอไม่ใช่แค่ตำแหน่งงานอีกต่อไป เขาเป็นภารกิจที่มีชื่อ เป็นคนที่มีเรื่องราว มีจุดยืน และมีคุณค่าที่ชัดเจน
.
วิธีสร้างแผนการแนะนำตัวของคุณใน 15 นาที

เริ่มด้วยการตอบคำถาม ผมช่วยแก้ปัญหาอะไรที่ผมใส่ใจอย่างลึกซึ้ง อะไรที่ทำให้คุณรู้สึกไม่พอใจเกี่ยวกับอุตสาหกรรมของคุณ คุณอยากเห็นการเปลี่ยนแปลงแบบไหนมากขึ้น
.
จากนั้นค้นหาช่วงเวลาแห่งจุดเริ่มต้น ช่วงเวลาส่วนตัวใดที่อธิบายได้ว่าผมมาถึงจุดนี้ได้อย่างไร อาจเป็นลูกค้าที่คุณเคยช่วย ความผิดพลาดที่เรียนรู้ หรือการเปลี่ยนมุมมองต่องานของคุณ
.
สุดท้ายกำหนดความโดดเด่นเฉพาะตัว ผลลัพธ์ที่แท้จริงที่ผมช่วยให้ผู้คนหรือธุรกิจสร้างขึ้นคืออะไร ไม่ใช่แค่งานที่ต้องทำ แต่คือผลลัพธ์ คือการเปลี่ยนแปลง
.
ทำไมการแนะนำตัวที่ดี ถึงจะทำให้สิ่งต่างๆ เปลี่ยนแปลงไป
.
หลังจากที่คุณนำการแนะนำตัว 1 นาทีไปใช้ ผู้คนจะเริ่มจดจำคุณในห้องที่แออัด คุณจะถูกขอให้ขึ้นพูดในการประชุมผู้นำ ชื่อเสียงภายในจะเปลี่ยนจากคนทำงานเงียบๆ สู่พันธมิตรทางความคิดเชิงกลยุทธ์ คุณจะเริ่มเป็นที่ปรึกษาให้คนอื่นและได้รับการโปรโมตเร็วขึ้น
.
นี่ไม่ใช่เพราะคุณทำงานหนักขึ้น แต่เป็นเพราะคุณกลายเป็นคนที่มองเห็นได้ มีคุณค่า และกล้าแสดงออก คุณสามารถใช้การแนะนำตัวนี้ได้ทุกที่ ตั้งแต่การประชุมทีมผู้นำ การโทรหานักลงทุน งานประชุมอุตสาหกรรม จนถึงงานเลี้ยงอาหารค่ำ
.
การแนะนำตัวที่ติดใจไม่ใช่แค่เครื่องมือภายนอก มันกลายเป็นกระจกสะท้อนตัวตน เมื่อคุณพูดมันบ่อยๆ คุณก็จะใช้ชีวิตตามนั้น มันจะกลายเป็นเลนส์ที่คุณใช้กรองเวลา พลังงาน และการตัดสินใจ
.
.
เขียนและเรียบเรียงโดย 100WEALTH
———
100WEALTH l ไปให้ถึง100ล้าน
.
#SelfDevelopment
#100WEALTH
#ไปให้ถึง100ล้าน

33 กลยุทธ์จิตวิทยา เอาชนะสงครามชีวิตที่โคตรใช้ได้ในชีวิตจริง


“ชีวิตก็เหมือนสนามรบ ชนะได้ด้วยสมอง”
---
สรุป 33 ข้อคิดจากสนามรบชีวิต
.
1. อย่าลงรบทุกศึก เลือกศึกที่คุ้มจะสู้
2. ชนะใจตัวเองก่อนชนะใคร
3. ศัตรูที่อันตรายที่สุดคือความลังเลในหัวเรา
4. ปล่อยให้คนอื่นเคลื่อนไหวก่อน เพื่ออ่านเกม
5. ใช้ความเงียบเป็นอาวุธ
6. ทำให้ศัตรูคิดว่าเขาควบคุมเกม
7. สร้างภาพลวงตาให้คู่แข่งประมาท
8. อย่าแสดงไพ่ทั้งหมดตั้งแต่ต้น
9. ทำให้คู่แข่งเหนื่อยล้า ก่อนลงมือจริง
10. สร้างจังหวะและควบคุมเวลา
11. ทำให้คนอื่นรู้สึกว่าคุณ “คาดเดาไม่ได้”
12. ใช้ศัตรูบางคนเป็นเครื่องมือ
13. สร้างพันธมิตร แม้จะไม่ถูกกัน
14. ใช้ข้อมูลเล็กน้อย สร้างผลลัพธ์ใหญ่
15. ให้คู่แข่งติดกับดักที่เขาเลือกเอง
16. สร้างภาพลักษณ์ว่าแข็งแกร่งแม้ในวันที่อ่อนแอ
17. ใช้ความกลัวเป็นเกราะป้องกัน
18. รู้ว่าเมื่อไหร่ควรถอยเพื่อกลับมาชนะ
19. สร้าง “สนามรบ” ที่คุณถนัดเอง
20. ทำให้คู่แข่งตัดสินใจผิดด้วยข้อมูลไม่ครบ
21. ใช้จังหวะโต้กลับแทนการเปิดเกม
22. ทำให้คนอื่นต่อสู้กันเอง
23. ใช้ความอดทนชนะความเร่งรีบ
24. ให้รางวัลเล็กเพื่อดึงสิ่งใหญ่
25. ทำให้คู่แข่งเสียสมดุลทางอารมณ์
26. ซ่อนเจตนาที่แท้จริง
27. อย่าให้ใครรู้ว่าคุณคิดอะไรอยู่
28. สร้างแรงกดดันจนคู่แข่งพลาด
29. ปกป้องจุดอ่อนของตัวเองเหมือนชีวิต
30. ใช้ความไม่แน่นอนเป็นเครื่องมือ
31. ทำให้ทุกการเคลื่อนไหวมีเป้าหมาย
32. อย่าติดอยู่กับแผนเดียว ปรับตลอดเวลา
33. ชนะโดยไม่ต้องสู้ คือชัยชนะสูงสุด

Cr.อ่านไปเรื่อยๆ

วันอาทิตย์ที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2568

คลื่นไหนดีที่สุด !!?



1. คลื่นรบกวนในชีวิตประจำวัน
ทุกวันนี้รอบตัวเรามีคลื่นวิทยุเต็มไปหมด เช่น

มือถือ (700, 900, 1800, 2100, 3500 MHz)

Wi-Fi, Bluetooth (2400 MHz, 5000–6000 MHz)

คลื่นพวกนี้คือ “เสียงรบกวนในอากาศ” ที่ร่างกายเราหลีกเลี่ยงไม่ได้

2. คลื่นแม่
คลื่นแม่ เช่น 144, 177, 188 MHz (รวมถึงตัวอื่นๆ เช่น 333, 432, 443 ฯลฯ) คือ “ความถี่อ้างอิง” ที่มีคุณสมบัติพิเศษตรงที่ มันหารลงตัวกับคลื่นรบกวน

👉 พูดง่ายๆ เหมือน “แม่กุญแจ” ที่เข้ากับ “ลูกกุญแจ” ของคลื่นรบกวนพอดี

3. ฮาร์มอนิก (คลื่นลูก)
เวลาเอาคลื่นแม่ไปเทียบกับคลื่นรบกวน บางครั้งมันจะ “ลงตัวแบบพอดี” หรือ “ใกล้เคียงมาก” → อันนี้เรียกว่าเกิด ฮาร์มอนิก

ผลคือ คลื่นแม่สามารถเข้าไปสั่นตาม หรือดึงพลังงานของคลื่นรบกวนออกมาได้ (เหมือนเครื่องดนตรีที่จูนคีย์ตรงกัน จะสั่นตอบสนองกันเอง)

4. ประโยชน์คืออะไร?

144, 177, 188 MHz → ครอบคลุมทั้งมือถือ, Wi-Fi, 5G

432, 443 MHz → ตรงกับ Wi-Fi/5G แบบใกล้เคียงมาก

333, 764 MHz → เด่นใน Wi-Fi เจนใหม่ (5–6 GHz)

133 MHz → เด่นในมือถือ (900/1800 MHz)

👉 สรุปง่ายๆ: แต่ละคลื่นเหมือน “เครื่องมือ” ที่ทำงานกับสัญญาณรบกวนคนละกลุ่ม

5. ทำไมต้องหลายคลื่น?
เพราะแต่ละคลื่นแม่ทำหน้าที่ต่างกัน

เหมือนมียาหลายขนาน → ตัวไหนแก้หวัด, ตัวไหนแก้ปวด, ตัวไหนแก้แพ้

ดังนั้น “ไม่มีตัวเดียวที่ดีที่สุด” แต่ 144, 177, 188 ถือว่าครอบจักรวาลสุด เพราะมันเชื่อมโยงกับทั้งมือถือและ Wi-Fi ที่เราใช้เยอะที่สุด

✅ ถ้าจะอธิบายกับคนทั่วไป ให้พูดสั้นๆ ว่า:

> คลื่นแม่คือคลื่นพื้นฐานที่จูนพอดีกับคลื่นรบกวนในชีวิตประจำวัน พอจูนตรงกันมันก็ไปหักล้าง หรือดึงเอาพลังงานรบกวนออกมาได้ คลื่น 144, 177, 188 MHz ถูกใช้เพราะมันครอบคลุมมือถือและ Wi-Fi ซึ่งเราต้องเจอทุกวัน

#ความรู้จากrb22

วันเสาร์ที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2568

พูดยังไงให้เข้าหู


1. พูดด้วยน้ำเสียงที่ใจเย็น
เขาเข้าใจว่าคนฟังไม่ได้ต้องการแค่ คำแต่ต้องการความรู้สึก
ที่แฝงมากับน้ำเสียง เขาจึงไม่พูดด้วยความรีบเร่งหรืออารมณ์ แต่ใช้โทนเสียงสงบ ฟังแล้วอุ่นใจ เหมือนเวลาพ่อแม่ปลอบลูกให้หยุดร้อง คำพูดที่มาพร้อมความใจเย็นจึงเข้าถึงหัวใจได้ง่าย

2. พูดด้วยสายตาที่จริงใจ
เขารู้ว่าคำพูดที่ไม่มีสายตาสนับสนุนก็เหมือนจดหมายที่ไม่มีลายเซ็น เขาจึงมองตาคนตรงหน้าเสมอเมื่อพูด ทำให้ผู้ฟังรู้สึกว่าได้รับความสำคัญ เหมือนเวลาคนที่เรารักพูดกับเราโดยไม่ละสายตา มันจึงซึมลึกมากกว่าคำพูดธรรมดา

3. พูดด้วยภาษาง่ายๆ
เขาไม่ใช้ถ้อยคำซับซ้อนเพื่ออวดความรู้ แต่เลือกใช้ภาษาธรรมดาที่ใครก็เข้าใจ เพราะเขารู้ว่าความหมายสำคัญกว่าความหรูหรา เหมือนเพื่อนที่อธิบายเรื่องยากให้เราเข้าใจได้
ในไม่กี่คำ คำพูดแบบนี้จึงเข้าหูมากกว่าการพูดให้ดูฉลาด

4. พูดด้วยการเล่าเรื่อง
เขาไม่โยนข้อมูลก้อนใหญ่ให้ฟัง แต่เล่าผ่านเรื่องราวที่คน
เห็นภาพและเชื่อมโยงได้ทันที เหมือนนักเล่าที่ทำให้คนหัวเราะ ร้องไห้ และอินไปกับเหตุการณ์ เรื่องเล่าคือสะพานที่ทำให้ข้อความเดินทางตรงเข้าสู่ใจคนฟัง

5. พูดด้วยการฟังกลับ
เขาไม่เอาแต่พูดเพื่อตัวเอง แต่ฟังเพื่อเข้าใจอีกฝ่ายด้วย 
แล้วจึงตอบกลับด้วยความใส่ใจ ทำให้บทสนทูกลายเป็นสองทาง เหมือนเวลาคุยกับคนที่พยักหน้า รับฟัง และทวนสิ่งที่เราเพิ่งพูด ความรู้สึกที่ได้รับการฟังนั้นมีค่ามากกว่าการพูดให้เก่งเสียอีก

6. พูดด้วยการยกตัวอย่าง
เขาไม่พูดลอยๆ แต่เสริมด้วยตัวอย่างที่จับต้องได้เหมือนการบอกว่า เก็บเงินวันละ 100 วันละปีคุณจะมี 36,500 บาท
คนฟังจึงเห็นภาพจริง ไม่ใช่แค่ทฤษฎีที่ลอยไปในอากาศ

7. พูดด้วยความจริงใจ
เขาไม่เสแสร้ง ไม่พูดเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว แต่พูดตรงไปตรงมา เพราะเขารู้ว่าความจริงใจคือภาษาสากลที่ทุกคนเข้าใจได้ คนฟังจึงสัมผัสได้ทันทีว่า นี่คือคำที่มาจากใจ ไม่ใช่การแสดง

8. พูดด้วยรอยยิ้ม
เขารู้ว่ารอยยิ้มคือเครื่องปรุงของทุกบทสนทนาคำพูดที่อาจ
ฟังดูธรรมดาก็กลายเป็นอบอุ่นขึ้นทันทีเมื่อมีรอยยิ้มประกอบ เหมือนพนักงานที่ทักทายลูกค้าด้วยความยิ้มแย้ม จนคำพูดธรรมดากลายเป็นเหตุผลที่ทำให้ลูกค้าอยากกลับมาอีกครั้ง

9. พูดด้วยความกระชับ
เขาไม่เอาคำพูดมาถ่วงเวลา แต่สื่อสารตรงประเด็นฟังแล้วเข้าใจในทันที คนจึงอยากฟังจนจบ เหมือนหัวหน้าที่ประชุมเพียง 5 นาที แต่ทีมได้ใจความครบถ้วนมากกว่าประชุมทั้งชั่วโมง

10. พูดด้วยการใส่อารมณ์พอดี
เขาไม่พูดเรียบเสียจนจืด และไม่โอเวอร์เกินจนดูแสดง 
แต่เล่าให้มีน้ำหนักพอดี ทำให้ผู้ฟังอินตาม เหมือนนักพูดที่ใช้โทนเสียงสูงต่ำสอดคล้องกับเนื้อหา คำพูดจึงติดหูและติดใจ

11. พูดด้วยการเลือกจังหวะ
เขาเข้าใจว่าคำพูดที่ถูกต้อง แต่พูดผิดเวลา ก็กลายเป็นไร้ค่า เขาจึงเลือกพูดเมื่อบรรยากาศเหมาะสม เหมือนการบอกข่าวดีในช่วงที่คนพร้อมจะยิ้ม และเลือกเงียบเมื่ออีกฝ่ายยังไม่พร้อมฟัง

12. พูดด้วยคำชมก่อนตักเตือน
เขาไม่รีบบอกข้อผิดพลาดทันที แต่เริ่มด้วยคำชื่นชมเล็กๆ 
เพื่อทำให้อีกฝ่ายรู้สึกดี จากนั้นค่อยให้คำแนะนำอย่างอ่อนโยน เหมือนครูที่บอกว่า เธอทำได้ดีมาก แต่ถ้าเพิ่มตรงนี้จะสุดยอดไปเลยคนฟังยอมรับด้วยรอยยิ้มมากกว่าการต่อต้าน

13. พูดด้วยการยอมรับความรู้สึก
เขาไม่รีบปฏิเสธความคิดต่าง แต่เริ่มด้วยการบอกว่าฉันเข้าใจว่าคุณรู้สึกยังไงก่อนจะเสนอความเห็นของตัวเอง คำพูดแบบนี้ทำให้คนฟังรู้สึกว่าตัวเองมีค่า และพร้อมจะฟังต่อ

14. พูดด้วยการใช้คำถาม
เขาไม่พูดแบบยัดเยียด แต่ถามกลับให้คนคิดตาม เช่น แล้วคุณคิดว่าแบบไหนเวิร์กกว่ากันการตั้งคำถามทำให้ผู้ฟังมีส่วนร่วม และเปิดใจมากกว่าการถูกสั่ง

15. พูดด้วยการลดอัตตา
เขาไม่พูดในแบบที่ทำให้ตัวเองเหนือกว่า แต่ใช้คำที่เสมอภาค ฟังแล้วไม่รู้สึกถูกกดทับ เหมือนเพื่อนที่คุยกันอย่างเท่าเทียม ไม่ใช่เจ้านายสั่งลูกน้อง คนจึงยอมฟังโดยไม่รู้สึกต่อต้าน

16. พูดด้วยความมั่นใจ
เขาไม่พูดแบบสั่นคลอน แต่ใช้โทนที่หนักแน่นและมั่นคง 
ทำให้ผู้ฟังเชื่อมั่นในสิ่งที่ได้ยิน เหมือนผู้นำที่ประกาศแผน
การอย่างชัดเจน จนทุกคนพร้อมเดินตามโดยไม่ลังเล

17. พูดด้วยความเคารพ
เขาไม่พูดห้วน ไม่พูดดูถูก แต่ใช้ถ้อยคำสุภาพแม้จะเห็นต่าง เพราะเขารู้ว่าความเคารพคือรากฐานของการสื่อสารถ้อยคำสุภาพจึงกลายเป็นเกราะป้องกันความขัดแย้ง

18. พูดด้วยความสม่ำเสมอ
เขาไม่ได้พูดดีเฉพาะตอนอยากได้ประโยชน์ แต่พูดด้วยท่าทีจริงใจแบบเดียวกันทุกครั้ง เมื่อเวลาผ่านไป คนฟังจึงเชื่อว่า คำพูดของเขามีค่าเพราะมันไม่เปลี่ยนไปตามสถานการณ์

แนะนำให้อ่าน 
https://s.shopee.co.th/10sm4GgnGn
https://s.lazada.co.th/s.zbVOS?cc

#พูดยังไงให้เข้าหู

สวนเกษตร “โคก–หนอง–นา โมเดล” เกษตรผสมผสาน–พอเพียง “กิน–เหลือ–ขาย”

📗 สวนเกษตร “โคก–หนอง–นา โมเดล” เกษตรผสมผสาน–พอเพียง “กิน–เหลือ–ขาย” ไอเดียการผสมผสานทรัพยากรให้คุ้มค่า มีที่ดอน (โคก) มีแหล่งน้...