วันศุกร์ที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2568

วิธีดูจิต จุดรู้ จิตผู้รู้ รู้จิตเคลื่อนโดยหลวงพ่อชา สุภัทโท


ให้กลั้นลมหายใจ มันจะ จุกอยู่ประมาณ กลางทรวงอก ให้ จดจ่อความรู้สึกไว้ที่ จุดรู้เอา จุดรู้เป็นที่ตั้งของใจ

ประคองความรู้สึกไว้ที่ จุดรู้ให้มันอยู่ ให้มันติดตรง จุดรู้นั้นให้ได้ ทำ ใจให้สงบให้รู้อยู่ใน จุดรู้ อยู่อย่างเดียว ประคองเข้าสู่จุดรู้ รักษา ความรู้สึกไว้ใน จุดเดียว
ถือเอาความรู้สึกนั้น ให้ ไปรวมอยู่ในที่จุดเดียว

เมื่อได้ ที่ตั้ง แล้ว ให้ จำตรง นั้น ประคองความรู้สึกไว้ที่ตรงนั้น ให้มันอยู่ ให้มันติดตรงจุดนั้นให้ได้

เมื่อตั้งจนชำนิชำนาญ จิตมันจะติดตรงนั้น
เมื่อใจมันติดตรงจุดนั้นได้ มันก็วางข้างนอก 
มันไม่ไปต่อข้างนอก มันจะต่อจุดนั้นอย่างเดียว

เมื่อมันแน่วอยู่ในจุดเดียวแล้ว รักษาจิต ให้อยู่ในจุดนั้นมากขึ้นเท่าใด ใจก็จะ มั่นคง มากขึ้นเท่านั้นเป็นเอกัคตาจิต

ผู้รู้อยู่นั้นแหละเป็นใจไม่ต้องไปละเวทนา
มันหรอก เข้าไปสู่จุดดวงรู้ ประคองใจให้มันรู้อยู่เพียง จุดเดียวเท่านั้นใจ คือรู้ เท่านั้น

ครั้งแรกให้ รวมลงเสียก่อน รวมไว้ใน จุดเดียว
ทั้ง เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณรวมไว้ในจุดเดียว
ใจ น้อมเข้ามาหา ใจ

กำหนดลมหายใจเข้าออก รักษาใจไว้ที่ลมหายใจเข้าออก จนใจมันสงบลงไป เข้ารวมจุด เป็นจุดรู้
หรือดวงรู้ จึงวางลม ลมดับไป จึงมารู้จัก ตัวเอง มารู้จักใจ

เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เป็นเครื่องประกอบไว้ที่ ใจ แต่ ไม่ใช่ใจ ไม่ใช่ตัวเอง เป็นเครื่องห่อหุ้มดวงรู้นั้นเท่านั้น

อยู่ในจุดดวงรู้อย่างเดียวก็ได้ เมื่อมันเป็น ตัวเองเฉพาะ แล้ว ท่านให้เอาดวงรู้
 เป็นตัว กำหนดรู้วิปัสสนาปัญญา

เมื่อจิตเคลื่อนเมื่อใด
ก็เป็นสมมุติสังขารเมื่อนั้น

ท่านจึงให้พิจารณาสังขาร
คือจิตมันเคลื่อนไหวนั่นเอง

เมื่อมันเคลื่อนไหวออกไป
ก็เป็นอนิจจัง  ทุกขัง  อนัตตา

เมื่อผู้รู้
รู้ตามความเป็นจริง  ของจิต
หรือเจตสิกเหล่านี้

จิตก็ไม่ใช่เรา
สิ่งเหล่านี้มีแต่ของทิ้งทั้งหมด
ไม่ควรเข้าไปยึด  ไปหมายมั่นทั้งนั้น

เมื่อจิตเคลื่อนเมื่อใด
ก็เป็นสมมุติสังขาร  

เมื่อนั้นท่านจึงให้พิจารณาสังขาร
คือจิตมันเคลื่อนไหวนั่นเอง
เมื่อมันเคลื่อนไหวออกไป
ก็เป็นอนิจจัง  ทุกขัง  อนัตตา

เมื่อผู้รู้รู้ตามความเป็นจริง  
ของจิต หรือเจตสิกเหล่านี้
จิตก็ไม่ใช่เรา
สิ่งเหล่านี้  มีแต่ของทิ้งทั้งหมด
ไม่ควรเข้าไปยึด  ไปหมายมั่นทั้งนั้น

เหมือนกับตะเกียง   เป็นตัวผู้รู้
แสงสว่างของตะเกียง มันจะเป็นอย่าง
ก็ช่างมัน  
มันเกิดจากผู้รู้  อันนี้
ถ้าจิตนี้  ไม่มี
ผู้รู้  ก็ไม่มีเช่นกัน  มันคืออาการของพวกนี้

ฉะนั้น  สิ่งเหล่านี้รวมแล้วเป็นนามหมด
ท่านว่าจิตนี้  ก็ชื่อว่าจิต  มิใช่สัตว์ มิใช่บุคคล
มิใช่ตัว  มิใช่ตน  มิใช่เรา  มิใช่เขา
ธรรมนี้  ก็สักว่าธรรม  มิใช่ตัวตน  เรา  เขา
ไม่เป็นอะไร
พระพุทธเจ้าท่านให้เอาที่ไหน  
เวทนาก็ดี  สัญญาก็ดีสิ่งทั้งหลาย  เหล่านี้ 
ล้วนแต่เป็นขันธ์ห้า
ท่านให้วาง

สิ่งทั้งหลาย ที่จิตคิดไปทุกสิ่งทุกอย่างเหล่านี้
ล้วนแต่เป็นสังขารทั้งหมด
เมื่อรู้แล้วท่านให้วาง
เมื่อรู้แล้วท่านให้ละ
ให้รู้  สิ่งเหล่านี้ตามความเป็นจริง
ถ้าไม่รู้ตามความเป็นจริง  ก็ทุกข์
ก็ไม่วาง  สิ่งเหล่านี้ได้

เมื่อรู้ตามความเป็นจริงแล้ว
สิ่งเหล่านี้  ก็เป็นของหลอกลวง
สมกับที่  พระศาสดาตรัสว่า
จิตนี้ไม่มีอะไร
ไม่เกิดตามใคร  ไม่ตายตามใคร
จิตเป็นเสรี  รุ่งโรจน์โชติการ
ไม่มีเรื่องราวต่าง ๆ  เข้าไปอยู่ในนั้น
ที่จะมีเรื่องราว
ก็เพราะมันหลงสังขารนี่เอง หลงอัตตา นี่เอง

พระศาสดาจึงให้มองดู  จิตของเรา
เบื้องแรกมันมีอะไร  ไม่มีอะไรจริง ๆ
สิ่งเหล่านี้มิได้เกิดด้วย  มิได้ตายด้วย
ถูกอารมณ์ดีมากระทบ  ก็มิได้ดีด้วย
ถูกอารมณ์ร้ายมากระทบ  ก็มิได้ร้ายไปด้วย
เพราะรู้ตัวของตัวอย่างชัดเจน
รู้ว่าสภาวะเหล่านั้น
ไม่เป็น  แก่นสาร
ท่านเห็นเป็นอนิจจัง  ทุกขัง  อนัตตา

ตัวผู้รู้นี้  รู้ตามความเป็นจริง
ผู้รู้  มิได้ดีใจไปด้วย  มิได้เสียใจไปด้วย
อาการที่ดีใจไปด้วย  นั่นแหละเกิด
อาการที่เสียใจไปด้วย นั่นแหละตาย
ถ้ามันตาย ก็เกิด     ถ้ามันเกิด ก็ตาย
ตัวที่เกิดที่ตายนี่แหละ
เป็นวัฏฏะ
เวียนว่ายตายเกิด  อยู่ไม่หยุด

เมื่อจิต  ผู้ปฏิบัติเป็นอยู่อย่างนั้น
ไม่ต้องสงสัย  ภพมีไหม  ชาติมีไหม
ไม่ต้องถามใคร
พิจารณาอาการสังขาร  เหล่านี้แล้ว
จึงได้ปล่อยวางสังขาร  วางขันธ์เหล่านี้
เป็นเพียงผู้รับทราบไว้  เฉย ๆ
มันจะดีขึ้นมา  ท่านก็ไม่ดีกับมัน
เป็นคนดูอยู่  เฉย ๆ
ถ้ามันร้ายขึ้นมา   ท่านก็ไม่ร้ายกับมัน
เพราะมันขาดจากปัจจัยแล้ว

เมื่อรู้ตามความเป็นจริง
ปัจจัยที่จะส่งเสริมให้เกิด ไม่มี

เมื่อถูกอารมณ์ที่ไม่ชอบใจมากระทบ
มันก็เกิดเป็นอาการ  ขึ้นกับใจเรา
เราติดมันไหม
เราวางมันได้ไหม
อาการที่ไม่ชอบใจนั้นเกิดขึ้นมา
เรารู้แล้ว
ผู้รู้   เอาความไม่ชอบไว้ในใจหรือเปล่า
หรือว่าเห็นแล้ววาง

ถ้าเห็นสิ่งที่ไม่ชอบใจแล้ว
ยังเอาไว้ในใจของเรา  ให้เรียนใหม่
เพราะยังผิดอยู่
ยัง ไม่ยิ่ง
ถ้ามันยิ่งแล้ว   
มันวาง
ให้ดูอย่างนี้

หลวงพ่อชา  สุภัทโท   วัดหนองป่าพง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

10 สิ่งที่โคตรเสียเวลาชีวิต

1. เถียงเพื่อชนะคนที่ไม่อยากเข้าใจ เขาใช้พลังไปกับการอธิบายให้คนที่ไม่ตั้งใจฟังเข้าใจทั้งที่อีกฝ่ายไม่ได้อยากเข้าใจตั้งแต่แรกแล้...